เมื่อออกจากห้องวีไอพีแล้ว อวี๋กานกานพูดขึ้นมาทันที “ตอนนี้นายปล่อยฉันได้แล้ว”
แต่ฟังจือหันกลับไม่ปล่อยมือยังคงโอบเอวเธออย่างแน่นหนา จนกระทั่งเดินไปถึงหน้ารถยนต์ถึงจะยอมปล่อย
อวี๋กานกานเข้าไปนั่งในรถ พูดพลางพร้อมรัดเข็มขัดนิรภัย “หลังจากนี้นายอย่าทำแบบนี้อีก”
คนสองคนแนบชิดติดกันแบบนั้น ชวนให้เธอรู้สึกค่อนข้างอึดอัด
ฟังจือหันเบือนหน้ามาทางเธอ นัยน์ตาลึกซึ้งมองเธอโดยไม่กะพริบตา ราวกับว่าต้องการมองไปยังส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจของเธออย่างไงอย่างงั้น
อวี๋กานกานเมื่อถูกฟังจือหันมองแบบนี้ เธอรู้สึกกระอักกระอ่วน กะพริบตาปริบๆ มองสำรวจตัวเองรอบหนึ่ง ก่อนจะถาม “มองอะไร”
ฟังจือหันกล่าวเสียงเรียบออกมาประโยคหนึ่ง “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”
เกิดเส้นขีดสีดำพาดทั่วบริเวณศีรษะของอวี๋กานกาน “ฉันหมายถึงท่าทางสนิทสนมแนบชิดที่นายทำ ที่จริงมันไม่จำเป็นสำหรับพวกเราด้วยซ้ำ ต่อให้แสดงละครว่าเป็นคู่รักกัน แค่ทำตัวตามปกติก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ ทำแบบนี้ยิ่งดูเหมือนตั้งใจเกินไป คนอื่นมองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าเป็นการแสดง”
นัยน์ตาของฟังจือหันราวกับธารน้ำ มุมปากยิ้มเหยียด จ้องมองอวี๋กานกานด้วยความน่าสนใจ พูดเสียงเบา “คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”
อวี๋กานกานตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในสิ่งที่ฟังจือหันพูด จู่ๆ เธอก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรออกมาดี เมื่อครู่ตอนที่เธอมั่นใจแล้วว่าหยางเทียนโย่วเป็นคู่หมั้นกำมะลอ ทันใดนั้นก็พลันให้เธอนึกถึงสามีอย่างฟังจือหัน หากเธอไม่ได้ความจำเสื่อม ไม่มีคู่หมั้น นั้นย่อมหมายถึงไม่ได้มีสามีด้วยเช่นกัน
เพื่อคลินิกครอบครัวลุงใหญ่จึงหลอกเธอว่าเธอมีคู่หมั้น แล้วฟังจือหันละ? เขาอ้างว่าตัวเองเป็นสามีของเธอเพื่ออะไร
เธอไม่ได้จะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลอย่างที่ฟังจือหันพูด เพียงแค่ตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะต้องคุยกับฟังจือหันอย่างจริงจัง ผลคือเธอยังไม่ทันได้พูดอะไร เขากลับชิงพูดขึ้นมาก่อน ใช้วิธีพลิกเบี้ยล่างให้กลายมาเป็นเบี้ยบน[1] สังหารเธอในพริบตาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
อากาศในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาวมักจะแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ท้องนภาปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มหนาแน่น เสียงฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น เพียงเดี๋ยวเดียวฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาราวกับน้ำรั่ว
สายฝนตกระทบลงบนหลังคารถ เกิดเสียงดังเปาะแปะ อวี๋กานกานฟังเสียงฝน เท้าคางครุ่นคิดอย่างเงียบเฉียบ ส่วนฟังจือหันมีสมาธิอยู่กับการขับรถ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร
หลังจากที่เงียบสงัดอยู่นาน อวี๋กานกานหันหน้าไปมองฟังจือหัน ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีค่อนข้างอึมครึม ฟังจือหันใจจดใจจ่ออยู่กับการขับรถสายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า มองไม่ออกว่าเขามีสีหน้าอย่างไร
อวี๋กานกานครุ่นคิด กล่าวเสียงเบา “ฉันไม่รู้ว่าทำไมคุณปู่ถึงเขียนพินัยกรรมฉบับนั้น คำตอบนอกจากคุณปู่แล้วคงมีแต่อาจารย์ฉันเท่านั้นที่รู้ ลุงใหญ่ฉวยโอกาสที่อาจารย์หายตัวไปอย่างกะทันหัน คิดจะใช้สถานภาพที่ฉันจดทะเบียนสมรสแล้วยึดเอาคลินิกไป จากนั้นค่อยขายคลินิกทิ้ง เรื่องในวันนี้ฉันรู้ว่านายเป็นช่วยฉัน ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่รู้เรื่องทั้งหมดได้เร็วแบบนี้ ฉะนั้นฉันต้องขอบคุณนาย”
ฟังจือหันเบือนหน้ามามองอวี๋กานกานแวบหนึ่ง มุมปากหยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ยากจะตีความ นิ้วมือที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถ เคาะเบาๆ สองครั้ง
อวี๋กานกานกล่าวต่อ ไม่ถามหยั่งเชิงอ้อมค้อมพูดเข้าประเด็นทันที “แต่ด้วยเหตุนี้ก็สามารถยืนยันได้ว่าฉันไม่ได้ความจำเสื่อม ในเมื่อฉันไม่ได้ความจำเสื่อม งั้นเรื่องคู่หมั้นก็ต้องเป็นเรื่องโกหก เรื่องสามีก็เช่นกัน ในเมื่อทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น ฉันก็อยากถามนาย นายมีเหตุอะไรที่ต้องทำแบบนี้”
ด้านหน้าเป็นไฟแดง ฟังจือหันจอดรถเข้าเบรกเรียบร้อย เขาเอนร่างพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย จากนั้นเอียงศีรษะสบตากับอวี๋กานกาน น้ำเสียงหนักแน่น ทุกคำทุกประโยคพูดออกมาอย่างแน่วแน่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เหตุผลคือผมเป็นสามีของคุณ”
——
[1] พลิกเบี้ยล่างให้กลายมาเป็นเบี้ยบน หมายถึง เปลี่ยนจากสถานการณ์ที่เสียเปรียบเป็นได้เปรียบ