EP.21พิการแต่กำเนิด1
ณ เมืองหยินซาน เป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่ภายในเมืองยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงตะเกียง
ยามนี้ ชายหญิงในชุดขาดรุ่งริ่งคู่หนึ่งเดินโซซัดโซเซมาทางประตูเมือง หากไม่ใช่เพราะความงามของฉู่เหยา เกรงว่าสองคนนี้คงถูกผู้คนเข้าใจผิดว่าเป็นขอทานไปแล้ว
หลินมู่อวี่พยุงกายด้วยไม้เท้าที่ทำขึ้นจากกิ่งไม้ ส่วนมืออีกข้างกุมบาดแผลตรงหน้าอก แม้ใบหน้าและเสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ความหล่อเหลาอันโดดเด่นของใบหน้าเขา กลับไม่ได้ดูแย่มากนัก แถมยังสะพายคันธนูยาวและลูกธนูมาด้วย กอปรกับซากกระต่ายป่าสองตัวในมือ จึงดูไม่ต่างอะไรจากนายพราน ทหารรักษาประตูเมืองไม่ได้หาเรื่องพวกเขา คิดว่าทั้งคู่เป็นแค่นายพรานที่บาดเจ็บจากการล่าสัตว์ เลยปล่อยให้พวกเขาเข้าเมืองไป
กว่าจะกลับถึงร้านโอสถไป่หลิงก็ดึกมากแล้ว ทันทีที่ฉู่เหยาเคาะประตูเรียกท่านปู่ของนาง ประตูใหญ่ก็เปิดออกทันที ฉู่เฟิงเดินออกมาที่ลานหน้าบ้านด้วยสีหน้าเป็นกังวล ตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ทั่วร่างดูตึงเครียดไปหมด เมื่อเห็นว่าฉู่เหยาปลอดภัยดี ความตึงเครียดในใจก็ผ่อนคลายลง “อาเหยา…พวกเจ้าสองไปไหนกันมา หายไปสองวันสองคืน พวกข้าออกตามหาแทบจะทั่วเมืองหยินซานแล้ว…”
ฉู่เหยาพูดด้วยความอ่อนแรง “ท่านปู่ ข้ากับอาอวี่ได้รับบาดเจ็บ ท่านให้หลัวไคทำอาหารแล้วเอาไปให้ที่ห้องของอาอวี่ทีเจ้าค่ะ ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียดด้านใน”
ฉู่เฟิงพยักหน้า “อืม!”
หลัวไคเป็นศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดในร้านโอสถไป่หลิง แม้จะอายุแค่สิบเจ็ดปี แต่ไหวพริบดีเยี่ยม เขาตรงดิ่งไปเตรียมอาหารทันที ฉู่เฟิงเข้าไปพยุงฉู่เหยา ก่อนจะมองหลินมู่อวี่ และอดถามไม่ได้ว่า “อาอวี่ บาดแผลของเจ้า?”
หลินมู่อวี่ตอบ “เข้าไปคุยด้านในเถอะขอรับ”
หลังจากเข้ามาในห้อง หลินมู่อวี่กับฉู่เหยานั่งข้างกันตรงขอบเตียง ฉู่เฟิงเองก็ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้สาน ก่อนถามด้วยความกังวล “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พวกเจ้าถึงได้หายไปนานขนาดนี้?”
ฉู่เหยาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดสองวันให้ปู่ของนางฟังทันที
หลังจากฟังจบ ฉู่เฟิงก็กัดฟันด้วยความโกรธ “ไม่นึกเลย…ว่าคุณชายฮว๋าหวันจะไม่สนกฎบ้านกฎเมือง…ไอ้ทหารรับจ้างระยำพวกนั้นเห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลา เห็นกฎหมายของจักรวรรดิเป็นเกมเด็กเล่น บัดซบที่สุด!”
หลินมู่อวี่ล้วงตำราเทพโอสถออกมาจากอกเสื้อ ด้ายที่เย็บตำราหลุดรุ่ยหมดแล้ว เขาประคองมันด้วยความระมัดระวัง
“ท่านปู่ ท่านดูหน่อยว่าท่านอ่านเข้าใจหรือไม่”
ฉู่เฟิงรับตำรามา เขามองเพียงแค่หน้าแรก เขาก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว เขาตื่นเต้นจนแทบคลั่ง ก่อนจะร้องออกมา “ตำราเทพโอสถ…ตำราเทพโอสถจริงๆ ด้วย…คัมภีร์เลื่องชื่อของอดีตเทพโอสถหวังอี้ชง สวรรค์! ผู้คนใต้หล้าต่างอยากครอบครองตำรานี้แทบแย่ แต่พวกเจ้ากลับได้มันมา!!”
ฉู่เหยาทำปากมุ่ย “ท่านปู่ อักษรหลายตัวในนั้นข้าไม่ค่อยเข้าใจ สูตรปรุงยาก็ดูล้ำลึกเกินไปสำหรับข้าด้วย”
ฉู่เฟิงยิ้ม “นั่นมันแน่นอน ตำรับโอสถพื้นฐานที่สุดในตำราอย่างน้อยก็เป็นระดับห้าหรือมากกว่านั้น เจ้าเข้าใจต่างหากถึงจะแปลก”
ขณะที่พูด ฉู่เฟิงก็ชูตะเกียงในมือขึ้น แล้วพูดกับหลินมู่อวี่ด้วยท่าทีเป็นห่วง “อาอวี่ ถอดเสื้อเจ้าออก ให้ข้าดูบาดแผลเจ้าหน่อย”
หลินมู่อวี่ถอดเสื้อออกอย่างเชื่อฟัง เผยให้เห็นบาดแผลรูปกากบาทนับสิบแห่งบนแผ่นอก ฉู่เฟิงมองแผลเหล่านั้นด้วยความสงสารแล้วถามว่า “เจ้าเด็กที่น่าสงสาร ตอนนั้นเจ้าต้องเจ็บมากแน่ๆ เลยใช่ไหม”
“ก็พอไหว…ข้าแค่ไม่อยากกลายเป็นมื้อเย็นของเจ้าหมาป่าวายุตัวนั้นมากกว่า”
“เจ้าฆ่าหมาป่าวายุอายุแปดร้อยปีด้วยมือเจ้าเองจริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะ” ฉู่เหยาพูดต่อ “ข้าจำได้ว่า ตอนนั้นอาอวี่เลือดโชกไปทั้งตัว เขาเผด็จศึกมันด้วยหมัดที่ร้ายกาจสุดๆ ข้าแทบไม่เชื่อสายตาตอนที่เห็นตับไตไส้พุงของหมาป่าวายุทะลักออกมาจากร่างเลยล่ะ ท่านปู่ ข้าคิดว่าศักยภาพของอาอวี่นั้นสูงกว่าข้ามาก บางที…เขาอาจจะเหมาะกับการฝึกยุทธ์ก็ได้นะเจ้าคะ”
“จริงรึ”
แววตาชราภาพสีขุ่นของฉู่เฟิงพลันเป็นประกาย ก่อนถามด้วยความดีใจ “อาอวี่ เจ้าอยากฝึกยุทธ์หรือไม่ หากเจ้าต้องการ พรุ่งนี้เช้าข้าจะพาเจ้าไปวัดระดับพลังที่วิหารสงครามศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองหยินซาน ไม่ว่าจะต้องเสียเงินแค่ไหน ข้าก็จะจ้างอาจารย์ที่ดีที่สุดในวิหารมาสอนยุทธ์เจ้าให้ได้ เจ้าว่าอย่างไร”
“ขอรับท่านปู่ ข้าอยากจะลองดู” หลินมู่อวี่พยักหน้าอย่างจริงจัง เขาตระหนักแล้วว่าในโลกที่ถ้ามีพลังไม่แกร่งพอ ผู้อ่อนแอมีแต่จะถูกผู้แข็งแกร่งเหยียบย่ำ
“ดี พรุ่งนี้พอฟ้าสางพวกเราออกเดินทางทันที จากนั้นช่วงบ่ายค่อยไปร่วมงานประลองตำรับโอสถ!”
“ยังต้องไปร่วมงานประลองตำรับโอสถอยู่หรือขอรับ”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ถ้าฮว๋าหวันจำฉู่เหยากับข้าได้ มันต้องไม่ปล่อยพวกเราไปแน่”
“เราต้องไปร่วมงานนี้!” ท่าทีของฉู่เฟิงเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “แต่อาอวี่ เจ้าวางใจได้ จะไม่มีใครทำอันตรายเจ้าสองคนในวันพรุ่งนี้ นอกจากนั้นถ้าโอสถของเราติดอันดับต้นๆ และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในตัวแทนร้านโอสถของจักรวรรดิละก็ พวกนั้นก็จะยิ่งทำอะไรพวกเราไม่ได้”
“ตัวแทนจักรวรรดิ?”
“ใช่” เมื่อเห็นพวกเขาทำหน้างง ฉู่เฟิงก็ยิ้ม แล้วอธิบายว่า “มีข่าวแพร่ไปทั่วเมืองหยินซานว่าเมืองหลวงจะส่งผู้แทนพิเศษมาร่วมงานประลองตำรับโอสถในปีนี้ และจะมีการแต่งตั้งร้านโอสถที่ได้สามอันดับแรกเป็นร้านโอสถหลวง ถ้าหากเราได้รับสิทธิ์นี้มาละก็ จะไม่มีใครแตะต้องพวกเราได้อีก แม้แต่ฮว๋าหวันกับพ่อของเขาฮว๋าเทียนก็ตาม นอกจากนั้นเพื่อนเก่าของข้าก็จะมาที่เมืองหยินซานพร้อมกับท่านผู้แทนคนนั้นด้วย!”
“งั้นก็ตกลงขอรับ ข้าเชื่อท่านปู่”
หลังจากนั้นไม่นาน หลัวไคก็ยกอาหารเย็นเข้ามา ฉู่เหยากับหลินมู่อวี่หิวโซมานาน จึงจัดการอาหารลงท้องอย่างรวดเร็ว แล้วแยกย้ายกันเข้านอน
กลางดึก ฉู่เฟิงไม่ได้นอนหลับ แต่กลับประคองตำราเทพโอสถไว้ราวกับต้องมนต์สะกด
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายชรามองขวดใบเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นขวดที่บรรจุเลือดของพยัคฆ์กระหายเลือดเอาไว้ เลือดดังกล่าวมีฤทธิ์แรงและไม่จับตัวเป็นก้อน แต่กลับมีฟองผุดราวกับเดือดอยู่ตลอดเวลา หลินมู่อวี่เป็นคนบรรจุเลือดพยัคฆ์กระหายเลือดหลังจากที่มันตายแล้ว ได้มาทั้งหมดสิบกว่าขวด โอสถชั้นยอดระดับห้าอยู่ตรงนี้แล้ว ฉู่เฟิงตัดสินใจหลอมโอสถพลังเทวะหนึ่งขวด
โอสถพลังเทวะเป็นโอสถเสริมพลังแบบเข้มข้น สามารถกระตุ้นพลังแฝงของผู้ใช้ได้ ทำให้ผู้ใช้ระเบิดพลังออกมาได้อย่างมหาศาลในระยะเวลาอันสั้นได้
ฉู่เฟิงศึกษาขั้นตอนการปรุงและสูตรยาที่บันทึกอยู่ในตำราเทพโอสถทั้งคืน
จนเมื่อแสงสว่างยามรุ่งสางมาเยือน โอสถพลังเทวะสองขวดที่ปรุงสำเร็จวางอยู่บนฝั่งหนึ่งของโต๊ะ