บทที่ 20 น้องสาวถูกลักพาตัว!

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

บทที่ 20 น้องสาวถูกลักพาตัว! Ink Stone_Fantasy

ตั้งแต่เล็กฉีหรูเสวี่ยก็ใช้ชีวิตและเติบโตที่อเมริกา หลังจากเรียนจบ ฉีชางเซิ่งผู้เป็นบิดาก็มาโน้มน้าวครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะยอมกลับมาประเทศจีน ส่วนเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเธอกับเย่เทียนเฉิน ไม่ได้ผ่านผู้เกี่ยวข้องอย่างพวกเขาสองคน เรื่องทั้งหมดมีผู้อาวุโสตระกูลฉีและผู้อาวุโสตระกูลเย่จัดการ สถานที่ที่มีตระกูลประเภทนี้และอิทธิพลต่างๆ อยู่มากมายอย่างเมืองหลวง การแต่งงานของลูกสาวลูกชายมักจะเกิดขึ้นเพื่อการสร้างคุณูปการให้กับวงศ์ตระกูล

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเมื่อก่อนฉีหรูเสวี่ยและเย่เทียนเฉินสองคนไม่เคยพบหน้ากันเลย ครั้งนี้ตระกูลฉีต้องการถอนหมั้นกับตระกูลเย่ บวกกับฉีหรูเสวี่ยก็กลับมาแล้ว จึงให้ฉีหรูเสวี่ยตรงมายังเครือไห่หวังหลังจากที่ลงจากเครื่องบิน เพื่อเซ็นหนังสือสัญญาถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉินต่อหน้า เช่นนี้ทั้งสองตระกูลก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันอีก ทุกคนต่างก็จบลงด้วยความสงบ

“หรูเสวี่ย เรื่องการถอนหมั้นนั้นพ่อได้ตัดสินใจแล้ว แล้วก็จัดการให้เธอไปพบกับฉินเหิงจากตระกูลฉินแล้วด้วย รีบเซ็นสัญญาถอนหมั้นฉบับนี้กับเย่เทียนเฉินซะ เพื่อไม่ให้ตระกูลเย่มายุ่งวุ่นวายได้อีกในภายหลัง” ฉีย่ากวงรู้นิสัยของน้องสาว ตั้งแต่เด็กก็ดื้อรั้น ทั้งยังถูกพ่อตามใจจนเสียคน เกิดเธอไม่ยอมเซ็นชื่อยกเลิกการหมั้นหมายกับเย่เทียนเฉินจริงๆ  ตนจะกลับไปชี้แจ้งกับพ่อได้อย่างไร

“ไม่เซ็น ฉันจะไม่ถอนหมั้น แล้วก็ไม่ไปเจอฉินเหิงอะไรนั่นด้วย ตระกูลเย่อยากจะมายุ่งวุ่นวายก็เป็นเรื่องของตระกูลเย่ เรื่องของฉันฉันจะตัดสินใจเอง” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวอย่างดื้อรั้น

“ฉันว่าทางที่ดีเธอควรจะทำให้มันชัดเจนนะ ตระกูลเย่ของฉันเองก็อยากจะถอนหมั้นกับตระกูลฉีของเธอมากเหมือนกัน ตอนนี้เธอดันที่ไม่ยอมถอนหมั้นกับฉัน หรือว่าอยากจะแต่งให้กับฉันกัน? งั้นก็ขอโทษด้วย ฉันไม่สนใจคนอัปลักษณ์อย่างเธอ” เย่เทียนเฉินส่ายหน้า พูดอย่างจนใจ

“นี่ เจ้าคนน่ารังเกียจ นายว่าใครอัปลักษณ์? นายนั่นแหละที่อัปลักษณ์ ฉันจะบอกนายอย่างเป็นทางการเลยว่าฉันจะไม่ถอนหมั้นกับนาย เพราะฉันไม่อยากจะไปเจอกับฉินเหิงแห่งตระกูลฉินอะไรนั่น อีกอย่าง ฉันอยากให้พ่อรู้ว่าเรื่องของฉัน ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายเลยแม้แต่นิดเดียว” ใบหน้ารูปไข่อันงดงามของฉีหรูเสวี่ยบูดบึ้ง กล่าวพลางใช้ดวงตาคู่งามถลึงมองเย่เทียนเฉิน

ท่าทางของเย่เทียนเฉินทำให้ฉีหรูเสวี่ยรู้สึกโมโหจริงๆ ความสวยงามของเธอดึงดูดลูกหลานผู้ดีเป็นจำนวนมากมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่แม้จะมีคนตามจีบตนเองเยอะขนาดนั้น แต่กลับไม่มีใครทำให้เธอใจเต้นได้สักคน แต่คนที่กล้าบอกว่าตนเองอัปลักษณ์ มีเย่เทียนเฉินเป็นคนแรก ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนต่างก็รักสวยรักงามทั้งนั้น เมื่อได้ยินผู้ชายคนหนึ่งว่าตนเองเช่นนี้ ย่อมรู้สึกไม่พอใจ อยากจะประเคนหมัดให้เย่เทียนเฉินสักหลายหมัด

“ฉันไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับเธอหรอกนะ ถ้าจะเซ็นก็รีบหน่อย เอาสัญญกับปากกามาให้ฉัน” เย่เทียนเฉินเดิมทีก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ยอยู่แล้ว บวกกับในชีวิตก่อน ผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินมีสัมพันธ์ด้วยล้วนแต่เป็นผู้หญิงชั้นยอด ดังนั้นเขาย่อมไม่ใช่คนที่เจอสาวงามก็ทำอะไรไม่ถูก

ใครจะทราบว่า ตอนที่เย่เทียนเฉินยื่นมือออกไปหยิบหนังสือสัญญาถอนหมั้นบนโต๊ะ เตรียมที่จะเซ็นชื่อลงไป ฉีหรูเสวี่ยก็ใช้มือจับหนังสือสัญญาบนโต๊ะเอาไว้ แสยะยิ้มบนใบหน้า ด้วยท่าทางขุ่นเคืองระคนพอใจ มองดูเย่เทียนเฉินอย่างชั่วร้าย แล้วกล่าวว่า “เจ้าคนน่ารังเกียจ นายกล้าว่าฉันอัปลักษณ์ นายอยากจะถอนหมั้นนักใช่ไหม? ฉันไม่ให้นายถอน ไม่ให้นายถอน….”

หนังสือสัญญาถอนหมั้นถูกฉีกทิ้ง เย่เทียนเฉินมองดูอย่างไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง แต่เดิมเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องถอนหมั้นอยู่แล้ว อยากจะถอนหมั้นก็ถอนหมั้นไปเถอะ ในช่วงสิ้นโลกเย่เทียนเฉินมีหญิงงามชั้นยอดตั้งมากมาย ในโลกนี้ทำไมจะหาหญิงงามมาเคียงข้างไม่ได้? ตอนแรกคิดว่าการถอนหมั้นเรียบร้อยดีแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูฉีหรูเสวี่ยคนนี้พอโมโหขึ้นมา ก็ทำให้เรื่องทั้งหมดพัง

“หรูเสวี่ย นี่เธอ….”

หน้าผากของฉีย่ากวงมีเหงื่อเย็นไหลออกมาเป็นสาย จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าการถอนหมั้นของตระกูลฉีกับตระกูลเย่ ซึ่งเดิมทีเป็นเรื่องที่กำหนดแน่นอนแล้ว กลับพังลงเพราะความดื้อรั้นของน้องสาว ต้องทราบว่าตระกูลฉีเพื่อถอนหมั้นกับตระกูลเย่ และร่วมมือกับตระกูลฉิน ต้องสิ้นเปลืองความคิดมากมาย และยังต้องชดเชยให้ตระกูลเย่ไปสองอย่าง ถ้าหากว่าน้องสาวไม่ยอมถอนหมั้น การชดเชยทั้งสองอย่างที่ตระกูลฉีมอบให้แก่ตระกูลเย่จะไม่เป็นการเสียเปล่าหรอกหรือ? แม้ว่ามันจะไม่นับเป็นอะไรก็เถอะ แต่หากว่าตระกูลฉีไม่สามารถร่วมมือกับตระกูลฉินได้ ก็จะทำให้แผนการใหญ่ของตระกูลฉีต้องยุ่งเหยิง

“ยังไงเรื่องนี้ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง!”

ฉีหรูเสวี่ยพูดจบก็เดินออกไปจากห้องประชุมใหญ่ด้วยความขุ่นเคือง ฉีย่ากวงกับเย่เทียนเฉินมองดูอย่างตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่าความอารมณ์ร้ายของฉีหรูเสวี่ย จะนำมาซึ่งการกระทำอันไร้เหตุผลเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นของเครือไห่หวังอีกสี่คน ต่างมองจนปากอ้าตาค้าง อยากจะเล่นงานเย่เทียนเฉินให้เออกจากเครือไห่หวัง ก็ถูกแก้ไขด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค อยากเห็นเรื่องตลกที่เย่เทียนเฉินถูกตระกูลฉีถอนหมั้น แต่การปรากฏตัวของฉีหรูเสวี่ยกลับกลายเป็นไม่ถอนหมั้นแล้ว ราวกับว่าฉีหรูเสวี่ยไม่เต็มใจที่จะถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากตึกใหญ่ของเครือไห่หวัง หาวครั้งหนึ่ง เตรียมที่จะหาสถานที่ทานอาหารสักเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนตามมา แม้ว่าตอนนี้การตื่นของพลังพิเศษจะยังอ่อนแอ อยู่เพียงแค่ระดับราชัน แต่เหตุการณ์ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรรอบๆ ตัว เย่เทียนเฉินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

เย่เทียนเฉินหมุนตัวไปอย่างดุร้าย พบว่าข้างหลังมีบอดีการ์ดสวมสูทสีดำอยู่สองคน ชายสองคนนี้แม้จะแสร้งทำเป็นพูดคุยกัน แต่กลับมองมาทางที่ตนอยู่เป็นครั้งคราว ราวกับกลัวว่าตนจะวิ่งหนีไป

ใครกันที่กำลังสะกดรอยตามเขา? แล้วเป็นคนที่ใครส่งมากัน?  เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว การถูกคนสะกดรอยตามไม่ใช่เรื่องดี ต้องระมัดระวังสักหน่อย

ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังเตรียมตัวเดินเข้าไปซัดพวกที่สะกดรอยตนเองให้หมอบ แล้วเค้นถามสักเล็กน้อย โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น โทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบัน เย่เทียนเฉินยังใช้ไม่ค่อยคุ้นมืออยู่บ้าง ในช่วงสิ้นโลกเพียงแค่สวมหูฟังแค่อันเดียว อยากจะติดต่อหาใครเรียกชื่อครั้งเดียวก็พอแล้ว เป็นแบบที่เชื่อมต่อกันทั้งโลก

“ฮัลโหล มีอะไรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินกดปุ่มรับสายถูกอย่างยากลำบาก แล้วกล่าวถามออกไป

“คุณ คุณเป็นพี่ชายของเชี่ยนเหวินใช่ไหม? เชี่ยน เชี่ยนเหวินเธอ เธอ….ฮือๆ!” ที่ปลายสายมีเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังขึ้น

“อะไร? เชี่ยนเหวินเป็นอะไร? เธอใจเย็นๆ ก่อน ค่อยๆ พูด ค่อยๆ พูด” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินใจเต้นตูมตาม มีลางสังหรณ์ไม่ดี อาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเชี่ยนเหวินก็เป็นได้ ในใจของเขาร้อนรนเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังพยามควบคุมอารมณ์ที่แปรปรวนให้สงบลงแล้วกล่าวถาม

“ฮือๆ….เชี่ยน เชี่ยนเหวิน เธอ เธอถูกคนลักพาตัวไปแล้ว ฉันอยู่หน้าประตูโรงเรียน….”

“โอเค เธออยู่ตรงนั้นอย่าขยับไปไหน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

เมื่อได้ยินว่าเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องถูกคนลักพาตัว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเครียดขึ้นมา ในใจก็เกิดไอสังหารลอยฟุ้ง ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเอ็นดูน้องสาวของเขาเป็นอย่างมาก ความรักของสองพี่น้องดีมาก การที่พี่ชายปกป้องน้องสาวก็เป็นหลักการที่ไม่สามารถแปรเปลี่ยนได้ อีกทั้งเมื่อได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้แล้ว เย่เทียนเฉินไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาทำให้คนที่เขารักต้องแปดเปื้อนเด็ดขาด ต่อให้เป็นเทพเจ้า เขาก็จะฆ่าทิ้งให้หมด

ตอนที่เย่เทียนเฉินมาถึงประตูโรงเรียนมัธยมเมืองหลวง เขาพบกับเสี่ยวชิงซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเย่เชี่ยนเหวิน เสี่ยวชิงร้องไห่กระซิกๆ รู้สึกหวาดหวั่นและสะพรึงกลัว นักเรียนหญิงคนหนึ่งไหนเลยจะเคยพบเหตุการณ์คนถูกลักพาตัว โดยเฉพาะคนที่ถูกลักพาตัวยังเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของตนเองอีกด้วย

“เสี่ยวชิง อย่าร้องเลย เล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฉันฟังสักรอบหนึ่งก่อน รายละเอียดอะไรก็ตามอย่าละเลยเด็ดขาด” เย่เทียนเฉินกล่าวปลอบใจเสี่ยวชิง

เสี่ยวชิงสะอึกสะอื้น สงบสติอารมณ์ลงอย่างยากลำบาก  กล่าวพลางสะอื้นว่า “หลังเลิกเรียน หนูกับเชี่ยนเหวิน สองคนออกไปทานอาหารกลางวันนอกโรงเรียน หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ กำลังเตรียมกลับมาทบทวนบทเรียนที่โรงเรียน เชี่ยนเหวินร่าเริงมาก บอกว่าจะตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับพ่อแม่และพี่ชาย ใครจะรู้ ใครจะรู้….พวกเราเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ก็มีรถตู้คันหนึ่งพุ่งเข้ามา มีชายหลายคนลงมาจากรถ ในมือถือมีดกันอยู่ทุกคน แล้วก็จับเชี่ยนเหวินขึ้นรถหนีไป….ฮือๆ”

“คนที่พาเชี่ยนเหวินไปพูดอะไรบ้างไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามพลางขมวดคิ้ว

“ไม่ค่ะ!” เสี่ยงชิงร้องไห้ ตอบพร้อมกันส่ายหน้า

เย่เทียนเฉินชะงักไปชั่วครู่ รู้สึกตึงมือมาก ไม่ทราบว่าใครจับน้องสาวของตนไป อีกทั้งพลังรับรู้ของตนเองในตอนนี้ก็มีอาณาเขตเพียงหนึ่งร้อยเมตร ถ้าหากว่าสามารถฟื้นฟูกลับสู่ขอบเขตพลังระดับพระเจ้าได้ ก็จะสามารถขยายขอบเขตการรับรู้ให้กว้างมากขึ้น ซึ่งบางทีอาจจะหาตัวเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องพบก็เป็นได้

ตอนนี้ เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือของเย่เทียนเฉินก็ดังขึ้น พอดูก็พบว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องที่โทรมา เย่เทียนเฉินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนกดปุ่มรับสาย

“เย่เทียนเฉิน แกแม่งกล้ามาทำร้ายฉัน เบื่อชีวิตแล้วล่ะสิท่า น้องสาวแกอยู่ในมือฉัน จะอัดจะฆ่าจะข่มขืน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคำพูดของฉันแค่ประโยคเดียว”

“เฉินหาว ฉันขอเตือนแกว่าอย่าแตะต้องน้องสาวฉัน ไม่งั้นตาย” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเข้ม

“ฮ่าๆๆๆ แกแม่งถึงตอนนี้ยังกล้ามาขู่ฉันอีก ฉันเฉินหาวไม่กลัวหรอกโว้ย ถ้าหากอยากช่วยน้องสาวแกล่ะก็ มาที่โรงงานร้างในชานเมืองเขตตะวันตก มาคนเดียวล่ะ ไม่งั้นแกจะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวแกอีก” เฉินหาวกล่าวพลางหัวเราะอย่างยโสโอหัง

“ฉันต้องการคุยกับน้องสาวฉัน”

“ไม่มีปัญหา ยังไงแกก็ต้องตายอยู่แล้ว ให้แกฟังสักหน่อยก็แล้วกัน”

เฉินหาวเอาโทรศัพท์แนบกับใบหูของเย่เชี่ยนเหวิน ตอนนี้เย่เชี่ยนเหวินถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ตัวหนึ่ง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

“พี่ พี่ อย่ามา อย่ามานะ….มันอันตราย!” เย่เชี่ยนเหวินไม่ได้คิดเลยว่าตนเองจะเป็นอันตรายอะไรหรือไม่ เธอแค่ไม่อยากให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ต้องมาเสี่ยงอันตราย

“เชี่ยนเหวิน ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรหรอก มีพี่อยู่ทั้งคน” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างจริงจัง

“พี่ พี่ไม่ต้องมา มันอันตรายเกินไป กรี๊ด…..”

“เชี่ยนเหวิน….เชี่ยนเหวิน….”

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเย่เชี่ยนเหวิน ในกายของเย่เทียนเฉินมีไอสังหารพุ่งขึ้นมา ตั้งแต่ที่เขาเกิดใหม่ที่เมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่ความโกรธถูกจุดขึ้นในร่างกาย เกิดเป็นไอสังหาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิตนี้ เย่เทียนเฉินทะนุถนอมเป็นอย่างมาก ใครที่กล้ามายุ่งกับครอบครัวของเขา เขาจะไม่ปราณีเด็ดขาด

“เย่เทียนเฉิน ฉันให้เวลาแกครึ่งชั่วโมง ถ้ามาไม่ทัน น้องสาวแกคงจะต้องกลายเป็นผู้หญิงของฉันแล้วล่ะ” เฉินหาวแย่งโทรศัพท์มา ก่อนจะกล่าวอย่างดุร้ายพร้อมหัวเราะอย่างเย็นชา

“ถ้าแกกล้าแตะต้องน้องสาวฉันแม้แต่ปลายนิ้วล่ะก็ แกตายแน่”

หลังจากวางโทรศัพท์ เย่เทียนเฉินใช้ขาเตะคนที่ขี่มอเตอร์ไซด์ข้างๆ ลงไป ก่อนจะขึ้นไปขี่มอเตอร์ไซด์ ขับพุ่งไปยังโรงงานร้างชานเมืองเขตตะวันตกอย่างรวดเร็ว ไอสังหารในร่างกายของเขาค่อยๆ สั่นสะเทือนขึ้นมาแล้ว

…………………………………………..