การเข้าใจผิดที่สวยงาม

 

 

 

“ศิษย์น้องมั่ว ไปกับข้าเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเพิกเฉยต่อความงงงันของมั่วชิงเฉิน เอ่ยอย่างสุขุมว่า

 

 

“อ้อ” มั่วชิงเฉินตอบรับอย่างเซ่อๆ ตากลับมองไปที่พวกต้วนชิงเกอ

 

 

ต้วนชิงเกอเดินเข้ามากุมมือของมั่วชิงเฉินไว้ “ศิษย์น้องชิงเฉิน เรื่องก่อนหน้านี้ขอบคุณเจ้ามาก ในเมื่อนักพรตเหอกวงรอเจ้าอยู่ ข้าและศิษย์พี่มั่วก็ขอกลับเขารั่วสุ่ยก่อน รอเจ้าว่างแล้วค่อยไปเยี่ยมเจ้า”

 

 

“อืม” มั่วชิงเฉินตอบรับต่ำๆ

 

 

ทันใดนั้นต้วนชิงเกอก็หัวเราะ “ศิษย์น้องชิงเฉิน ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงแต่งตัวเช่นนี้ตลอดแล้ว” พูดถึงตรงนี้เสียงต่ำลงไป ค่อยๆ ไม่ได้ยิน “สุดท้ายเจ้าก็ฉลาดกว่าข้ามาก”

 

 

ต้วนชิงเกอและมั่วหลีลั่วร่ำลาไปแล้ว นักพรตหานจางทนความอับอายไม่ไหวนานแล้ว จากไปอย่างโมโห เหลือเฉินเจียวซิ่งและเสี่ยวซย่าสองคน

 

 

เฉินเจียวซิ่งไม่พูดสักคำ กัดริมฝีปากมองมั่วชิงเฉิน สีหน้าคาดไม่ถูก

 

 

มั่วชิงเฉินเดิมทีก็อยู่ในความตกใจ ในชั่วเวลาหนึ่งก็ลืมพูด กลับเป็นเสี่ยวซย่าที่เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ยื่นมือขยี้ศีรษะของมั่วชิงเฉินว่า “น้องสาว เจ้ารีบไปเถอะ วันหน้าข้าไปเยี่ยมเจ้าที่เขาชิงมู่”

 

 

“ศิษย์น้องมั่ว ไปเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเหยียบกระบี่บิน แล้วลากมั่วชิงเฉินขึ้นไป

 

 

มั่วชิงเฉินที่อยู่ระดับสร้างรากฐานแล้วมีพลังวิญญาณคุ้มกายเอง ยืนอยู่บนอาวุธเวทเหินหาวไม่ต้องป้องกันโดยเฉพาะอีกแล้ว จึงสามารถสัมผัสความรู้สึกการโบยบินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

 

เมฆขาวรอบตัวบินผ่านไป แม่น้ำขุนเขาหมื่นลี้ล้วนอยู่ใต้เท้า สายลมพัดฟิ้วกระพือชุดคลุม มั่วชิงเฉินที่ทะยานอยู่ในฟ้าดิน ในที่สุดก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงจากหางตาเงียบๆ

 

 

ท่านปู่ ในที่สุดชิงเฉินก็สร้างรากฐานแล้ว หากท่านรับรู้ จะเมาเป็นเพื่อนชิงเฉินหัวเราะสามหมื่นจอกหรือไม่เจ้าคะ?

 

 

ทันใดนั้นนึกได้ว่าดูเหมือนชาติที่แล้วจะจำกลอนได้บทหนึ่ง

 

 

“วันใดชื่อเสียงขจรไกล คืนถิ่น เมาหัวเราะเป็นเพื่อนปู่สามหมื่นจอก

 

 

ไม่พล่ามการจากลา ดื่มอย่างสะใจด้วยการอื่น”

 

 

“แค่กๆ ศิษย์น้องมั่ว มาที่นี่เปลี่ยนป้ายประจำตัวเจ้าก่อนเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนไม่รู้จักดูสีหน้าตัดความระทมของมั่วชิงเฉินขาดสะบั้น แล้วกระโดดลงจากกระบี่บินก่อน

 

 

มั่วชิงเฉินถึงพบว่าพวกเขาถึงเขาโฮ่วเต๋อแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเดินนำเข้าโถงปฏิบัติงาน คนที่อยู่เวรยังคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนคนนั้น

 

 

“ศิษย์พี่เฉียน เหตุใดวันนี้จึงว่างมาที่นี่ได้?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยกตายิ้มว่า

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนสีหน้าได้ใจ “ข้าพาศิษย์น้องมั่วมาเปลี่ยนป้ายประจำตัวใหม่น่ะ”

 

 

“ศิษย์น้องมั่ว?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถามกลับ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนหลบออก มั่วชิงเฉินที่อยู่ด้านหลังจึงโผล่ออกมา

 

 

เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันแล้ว มั่วชิงเฉินคำนับด้วยการคารวะรุ่นเดียวกัน “ศิษย์พี่อู๋”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ที่อ่อนโยนและใจเย็นเป็นนิจชะงักอยู่ตรงนั้น พูดไม่ออกอยู่นาน

 

 

“แค่กๆ ศิษย์น้องอู๋ ศิษย์น้องมั่วทักทายเจ้าอยู่นะ เจ้าวางมาดศิษย์พี่เช่นนี้ไม่ค่อยดีหรอกกระมัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนตั้งใจล้อเล่นว่า

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋นี่ถึงได้สติคืนมา จ้องมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบปราดหนึ่งว่า “ศิษย์น้องมั่วอย่าถือสา ข้าตกใจมากจริงๆ พี่จำได้ว่าสามเดือนก่อนเจ้ายังอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดใช่หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกดีต่อศิษย์พี่อู๋ผู้อ่อนโยนสง่านี้นัก ตอบเสียงใสว่า “ศิษย์พี่อู๋พูดอะไรเช่นนั้น น้องเพียงแต่โชคดีเท่านั้น”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋หัวเราะหึๆ ขึ้นมา “ศิษย์น้องถ่อมตัวเกินไปแล้ว เวลาสั้นๆ ศิษย์น้องมั่วก็เลื่อนชั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ต้องมีพรสวรรค์เกินคนเป็นแน่ พี่ขอแสดงความยินดีกับเจ้านะที่นี้แล้ว”

 

 

“เอาล่ะ ศิษย์น้องอู๋ คำพูดเกรงใจก็ไม่ต้องพูดแล้ว รีบเปลี่ยนป้ายประจำตัวให้ศิษย์น้องมั่วเร็วๆ เถอะ เรายังรอกลับเขาชิงมู่อยู่นะ?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเร่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋พยักหน้า “แน่นอนแน่นอน”

 

 

พรรคเหยากวงรวมทั้งศิษย์จิปาถะ บวกขึ้นมาแล้วมีถึงหลายแสนคน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไม่ถึงพันคน ระดับการเห็นความสำคัญต่อศิษย์ระดับสร้างรากฐานไม่ว่าจะเป็นหุบเขาไหน ก็ไม่ใช่ศิษย์ระดับหลอมลมปราณที่จับทีก็จับได้กำเบ้อเร่อจะเทียบได้เด็ดขาด

 

 

มั่วชิงเฉินมอบป้ายประจำตัวเก่าขึ้นไป ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋รับไป แล้วบันทึกข้อมูลในนั้นลงในป้ายประจำตัวแผ่นใหม่ รอจะบันทึกเรื่องสร้างรากฐานลงไป จึงกวาดสายตาผ่านอายุนางปราดหนึ่ง แล้วก็อดชะงักงันไม่ได้

 

 

รอผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกระแอมอีกสองที ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถึงกลับสภาพเดิม ปลายพู่กันวิญญาณสั่นแผ่วเบา เขียนลงบรรทัดหนึ่ง

 

 

‘บัดนี้ศิษย์ฆราวาสแห่งเขาชิงมู่มั่วชิงเฉิน สร้างรากฐานสำเร็จด้วยวัยยี่สิบสองปี กลายเป็นศิษย์หัวกะทิแห่งสำนักเรา ย้ายที่พำนักเขาด้านในแห่งเขาชิงมู่’

 

 

จากนั้นบันทึกปี เงยหน้าบอกผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนว่า “ศิษย์พี่เฉียน ศิษย์น้องมั่วกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จึงมีที่พำนักของตนเองได้ เจ้าเป็นผู้ดูแลเขาชิงมู่ กำหนดไว้ที่ไหนแล้วแต่เจ้าจัดการ ถึงเวลามาแจ้งที่ข้านี่สักทีก็พอ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนลูบหนวดที่มีอยู่หร็อมแหร็มว่า “ศิษย์น้องอู๋ ศิษย์น้องมั่วไม่ใช่ย้ายไปเขาด้านในหรอกนะ แต่เป็นยอดเขารอง!”

 

 

“หืม?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยกคิ้ว หืมอย่างไม่เข้าใจเสียงหนึ่ง

 

 

ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรสีหน้ายิ่งได้ใจ ยิ้มตาหยีว่า “ศิษย์น้องมั่วได้ถูกนักพรตเหอกวงรับเข้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิแล้ว ย่อมต้องย้ายเข้ายอดเขารองที่นักพรตเหอกวงพำนักอยู่เป็นธรรมดา”

 

 

“อะไรนะ?” ตั้งแต่สองคนนี้เข้ามา ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ก็ตกอยู่ในความตะลึงตลอดเวลา ทว่าไม่ว่าครั้งไหนก็ไม่ทำให้เขาตะลึงเท่าครั้งนี้ พู่กันวิญญาณกลิ้งหล่นจากมือ ลงไปบนพื้น ส่งเสียงดังติ๊งเสียงหนึ่ง

 

 

“ศิษย์น้องอู๋? ศิษย์น้องอู๋?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนดูเหมือนที่อยากได้ก็คือผลเช่นนี้แหละ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรอู๋เสียกิริยา มุมปากเกือบฉีกไปถึงแก้มแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ กระตุกมุมปาก ศิษย์พี่เฉียนท่านนี้ เหตุใดจึงชอบแกล้งเช่นนี้ นางก้มหน้าเก็บพู่กันวิญญาณขึ้น ยื่นให้ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋รับมา แล้วกวาดสายตาผ่านมั่วชิงเฉินอย่างประหลาดมากปราดหนึ่ง บันทึกข้อมูลสั่นคลอนใจคนที่ได้มาใหม่ข้อนี้ลงในป้ายประจำตัว

 

 

ยามนี้ในใจมั่วชิงเฉินก็อยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก นักพรตเหอกวงท่านนั้นหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่ เหตุใดทุกคนที่รู้ว่านางกลายเป็นศิษย์ของนักพรตเหอกวง ต่างตกตะลึงเช่นนี้

 

 

ที่นางยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นก็คือ เหตุใดนางก็กลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของนักพรตเหอกวงอย่างเมินๆ งงๆ เช่นนี้แล้ว?

 

 

แม้จะพูดว่าผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน ล้วนมีโอกาสได้รับความเมตตาจากนักพรตระดับก่อแก่นปราณ ถูกรับเป็นศิษย์ นางด้วยอายุยี่สิบสองปีเข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน ยิ่งไม่ต้องกลุ้มว่าจะไม่มีอาจารย์ ทว่าฟังความหมายของพวกศิษย์พี่เฉียน นักพรตเหอกวงรับตนเป็นศิษย์บันทึกชื่อตั้งนานแล้ว ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

 

 

“ศิษย์น้องมั่ว นี่คือป้ายประจำตัวใหม่ของเจ้า เชิญเก็บให้ดี” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยื่นป้ายประจำตัวข้ามมา

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือรับไว้ ป้ายประจำตัวสีควันเขียวถืออยู่ในมือรู้สึกเย็นเล็กน้อย รูปแบบไม่ต่างกับแผ่นก่อนหน้านี้ ทว่าสีหยกและการทำกลับประณีตกว่ามาก ยิ่งมีคำว่า ‘ยอดเยี่ยม’ ตัวเล็กๆ เพิ่มมาอยู่บนมุมบนด้านขวา

 

 

“ศิษย์น้องอู๋ พวกเราขออำลา ณ ที่นี้แล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกอบมือ พามั่วชิงเฉินจากไป

 

 

คาดไม่ถึงว่ายามนี้เองมีผู้บำเพ็ญเพียรท่านหนึ่งเดินเข้ามา รูปร่างท้วม เห็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนแล้วทักทายว่า “ศิษย์พี่เฉียน เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรแล้ว? เอ๊ะ นางหนูน้อย เหตุใดเป็นเจ้าอีกแล้ว? หา เจ้า เจ้า…”

 

 

มั่วชิงเฉินคารวะหนึ่งทีอย่างไม่กระโตกกระตาก “ศิษย์พี่ซุน”

 

 

“เจ้า…เจ้า…” ผู้บำเพ็ญเพียรอ้วนนี่ยังอยู่ในความตกตะลึง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนหรี่ตาเล็กๆ ของเขา รุ่นของพวกเขานี้ใครไม่รู้บ้าง ว่าศิษย์น้องซุนผู้นี้มีชื่อในด้านซื่อบื้อ ถูกท่านผู้เฒ่าเอ็ดไม่เว้นวันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

 

 

เขาย่อมขี้เกียจพูดมากกับเจ้างั่งคนหนึ่ง จึงพามั่วชิงเฉินหันหลังจากไป

 

 

“ศะ…ศิษย์พี่อู๋ นี่มันเรื่อง…เรื่องอะไรกัน? ข้า ก่อนหน้านี้ข้าพบนาง นางเพิ่งอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดอยู่เลย คงไม่ใช่ คงไม่ใช่เห็นผีแล้วนะ?” นิ้วมือที่ชี้ออกไปของผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนยังไม่ได้หดกลับมา

 

 

เห็นศิษย์น้องซื่อบื้อนี่ตะลึงกับเรื่องนี้จนติดอ่างแล้ว ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋อารมณ์ดีขึ้นมา หัวเราะว่า “ใช่สิ เมื่อครู่ข้าก็ตกใจมากเช่นกัน ศิษย์น้องมั่วท่านนั้นปีนี้เพิ่งจะอายุยี่สิบสองก็สร้างรากฐานสำเร็จแล้ว ยังถูกนักพรตเหอกวงรับเข้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิอีก…”

 

 

ยังพูดไม่จบก็ได้ยินเสียงตุ๊บ ผู้บำเพ็ญเพียรอ้วนผู้นั้นนั่งเต็มก้นลงกับพื้น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนพามั่วชิงเฉินไปโถงจัดหารับสิ่งของต่างๆ ที่แจกให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในหนึ่งปีและสิ่งของที่แจกให้เป็นพิเศษแก่ศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นี่ถึงพามั่วชิงเฉินกลับเขาชิงมู่อย่างเนิบนาบ

 

 

และที่สองคนไม่รู้ก็คือ ตามที่พวกเขาเดินรอบหนึ่งที่เขาโฮ่วเต๋อ และผู้เห็นเหตุการณ์มากมายของเขาต้วนจิน เรื่องที่มั่วชิงเฉินสร้างรากฐานด้วยวัยยี่สิบสองปีและกลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของนักพรตเหอกวงจึงกระจายออกไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่ากระบี่บินด้วยเหตุนี้

 

 

ก่อนหน้านี้ไม่นานเรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มีฐานะเป็นศิษย์ฆราวาสแห่งเขาชิงมู่ถูกค้นพบว่าเป็นร่างหยินบริสุทธิ์ ยังก้าวกระโดดในทีเดียวกลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิคนสุดท้ายของนักพรตรั่วซียังไม่สงบ เรื่องราวนี้ของมั่วชิงเฉินที่มีฐานะเป็นศิษย์ฆราวาสแห่งเขาชิงมู่เช่นกันปรากฏขึ้นด้วยผลที่ยิ่งน่าตกใจกว่า ในชั่วเวลาหนึ่ง เขาชิงมู่กลายเป็นสถานที่ในอุดมคติของบรรดาศิษย์ฆราวาสหรือกระทั่งศิษย์ในสำนักจำนวนนับไม่ถ้วน

 

 

เมื่อมีคนระลึกได้ว่ามั่วชิงเฉินก็คือนางเอกที่มีข่าวลือกระฉ่อนกับอาจารย์อาเยี่ยเมื่อสามปีก่อนนั้น ใจที่ชอบซุบซิบของผู้คนยิ่งไฟลุกโชนขึ้นมา

 

 

สองสาวที่มาจากเขาชิงมู่เช่นกัน คนหนึ่งมีร่างหยินบริสุทธิ์ คนหนึ่งมีพรสวรรค์ฟ้าประทาน ตกลงอาจารย์อาเยี่ยจะถูกใจคนไหนนะ?

 

 

ยิ่งมีผู้มากเรื่องคุ้ยข่าวคราวที่ปีนั้นมั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอถูกขนานนามเป็น ‘สองโฉมสะคราญแห่งชิงชิง’ ทำให้เรื่องอัศจรรย์ครั้งนี้ยิ่งเพิ่มความเป็นตำนานขึ้นหลายส่วน

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้ ว่าเมื่อชายโสดหลายแสนคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ต่อให้เป็นเซียนเหนือโลกฆราวาสที่ไม่แตะควันไฟแดนมนุษย์ในสายตาของคนธรรมดา ระดับการซุบซิบของพวกเขาน่ากลัวกว่าที่นางคิดไว้มากนัก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนออกจากหุบเขาไปหลายเดือน เมื่อก้าวเข้าประตูสำนัก ก็เห็นสายตานับไม่ถ้วนกวาดมาทางเขา จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้

 

 

แม้ตนเคยชินกับสายตาจับจ้องเช่นนี้ตั้งแต่เด็ก ทว่าส่วนใหญ่มาจากผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ผู้บำเพ็ญเพียรชายไม่ว่าอย่างไรก็สำรวมกว่ามาก วันนี้นี่เป็นอะไรไปแล้ว?

 

 

เพิ่งก้าวเข้ายอดเขาหลังเขาหลิวหั่ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานลักษณะเป็นสาวใช้คนหนึ่งก็อมยิ้มรับเข้ามา “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านเจินจวินเชิญท่านไปที่ท่านนั่นสักคราเจ้าค่ะ”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าไม่กระโตกกระตาก ในใจกลับกระตุกหนึ่งที ทุกครั้งที่ท่านปู่ทวดที่ไม่เอาจริงเอาจังท่านนี้หาเขา ล้วนไม่มีเรื่องดี

 

 

แม้คิดเช่นนี้ กลับได้แต่ฝืนเดินเข้าไปภายใต้สายตาพิจารณาอันร้อนแรงของสาวใช้

 

 

ไม่ถูก สาวใช้นั่นปกติไม่ใช่สายตาเช่นนี้ เหตุใดวันนี้จึงแปลกเช่นนี้? ทันใดนั้นเยี่ยเทียนหยวนมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

 

 

เพิ่งก้าวเข้าไป เสวียนหั่วเจินจวินที่ศีรษะล้านด้านบนก็โบกพัดสานขาดๆ เดินเข้ามา ยิ้มอย่างเบิกบานว่า “เทียนหยวน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว!”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมุมปากกระตุกหนึ่งที “ขอรับ ท่านปู่ทวด”

 

 

ทันใดนั้นเสวียนหั่วเจินจวินพูดอย่างลึกลับว่า “เทียนหยวน วันเวลาที่เจ้าไม่อยู่ในสำนักนี้ รู้หรือไม่ว่าพรรคเหยากวงเกิดเรื่องใหญ่แล้วเรื่องหนึ่ง?”

 

 

“เทียนหยวนไม่ทราบเรื่องใหญ่ที่ท่านปู่ทวดเอ่ยถึงคืออะไรขอรับ” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยหน้าตาย

 

 

เสวียนหั่วเจินจวินกวาดสายตาผ่านเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “เหยากวงปรากฏผู้บำเพ็ญเพียรร่างหยินบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง!”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนในใจบีบรัดคราหนึ่ง อดนึกถึงนางหนูที่ท่าทางโมโหโทโสคนนั้นไม่ได้ หรือว่าเป็นนาง?