บทที่ 11

 

 

นี่เธอเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่าว่าสีหน้าของเครย์ลีบันที่ปัดเศษไม้ที่เกาะติดเสื้อผ้าอยู่นั่น ดูท่าทางจะสนุกมากทีเดียว?

 

ห้องเรียนตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่

 

เด็กคนอื่นๆ รวมถึงเธอต่างก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองท่อนไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าสลับไปมากับเครย์ลีบัน

 

“ให้ขาย…ไอ้นั่นอย่างนั้นเหรอ”

 

คนที่ทำลายความเงียบเป็นคนแรกคือเบเลซัก

 

เด็กที่นั่งเอนตัวนอนบนโซฟาตลอดคลาสเรียนถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง

 

“ครับ ใช่แล้วครับ ขายท่อนซุงนี่แล้วรับเงินมา เป็นการบ้านครั้งนี้ครับ”

 

ไม่ว่าเบเลซักจะพร่ำบ่นอะไร เครย์ลีบันยังคงยิ้มแย้มไม่ใส่ใจ ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย

 

“จะใช้วิธีใดเพื่อขายสินค้าก็ได้ครับ จะตัดท่อนไม้นี่เป็นชิ้นก็ดี ถ้าจำเป็นจะเผาก็ได้เหมือนกันครับ”

 

เพราะฉะนั้นพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่เลือกวิธีการ ขอแค่ขายมันออกไปได้ก็พอแล้ว

 

“อืม…”

 

ฟีเรนเทียเองก็คิดวิธีที่เฉียบแหลมไม่ออกเหมือนกัน

 

ตามที่เครย์ลีบันกล่าวนั่นแหละ ของสิ่งนั้นมันก็เป็นแค่ท่อนซุงธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยแม้แต่น้อย

 

ถึงจะบอกว่ามันเป็นไม้บีโบ้น้ำหนักเบาเหมือนแผ่นไม้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางแบกมันเคลื่อนย้ายไปที่ไหนได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน

 

อีกอย่างไม้แบบนั้นมันธรรมดามาก เธอกำลังครุ่นคิดอยู่ว่า ถ้าจะขายให้คนที่ต้องการมันจริงๆ จะต้องใช้วิธีการใดบ้างถึงจะดี

 

“แต่ว่า ห้ามใช้ตำแหน่งของทุกคนบังคับซื้อขายนะครับ จะต้องขายให้กับคนที่ต้องการไม้นี่จริงๆ เท่านั้น”

 

“อา…”

 

เงื่อนไขข้อสุดท้ายของเครย์ลีบัน ก่อให้เกิดเสียงอุทานแผ่วเบาดังขึ้นจากคนข้างหน้าเธอ

 

เมโลนกับคิลลีวู

 

เด็กสองคนถอนหายใจเสียงแผ่ว หางตาลู่ตก เหมือนว่าจะเสียดายมากจริงๆ

 

อะไรกัน นี่คิดอะไรอยู่กันแน่

 

ตอนที่เธอเหลือบมองสองคนนั่นด้วยความสงสัย ลาลาเน่ที่ฟังคำพูดของเครย์ลีบันอย่างสงบเสงี่ยมมาโดยตลอดก็ยกมือขึ้นอย่างระมัดระวัง

 

“คือว่า…”

 

“ครับ ท่านลาลาเน่ กล่าวมาได้เลยครับ”

 

“จะต้องถือไอ้นั่น…ไปเองด้วยเหรอคะ”

 

ใบหน้าขาวเนียนขึ้นสีแดงก่ำ ท่าทางจะเขินที่ต้องถามคำถาม

 

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นครับ นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเท่านั้น เดี๋ยวจะทำการขนส่งไปยังที่พักของทุกคนให้คนละท่อนครับ”

 

“อา โล่งอกไปที”

 

ลาลาเน่ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกบนแก้ม คงจะกังวลว่าตัวเองจะต้องลากไม้หนักๆ นั่นแน่นอน

 

“ข้าไม่ทำนะครับ”

 

เธอกำลังชื่นชมลาลาเน่ผู้แสนงดงามดั่งดอกลิลี่อยู่แท้ๆ แต่ดันได้ยินเสียงบูดบึ้งดังแทรกขึ้นมาเสียได้

 

ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ได้ว่าใครเป็นคนพูด เพราะมันเป็นเสียงกราดเกรี้ยวของเบเลซัก

 

“ทำไมข้าจะต้องทำงานแบบนั้นด้วย”

 

หมอนั่นพูดจาไร้หัวคิดจริงๆ ดูสิ ผิดไปจากที่เธอคิดเสียที่ไหน

 

ปากยังยิ้มอยู่ก็จริง แต่รอยยิ้มกลับจางหายไปจากนัยน์ตาของเครย์ลีบันเสียแล้ว

 

“ ‘งานแบบนั้น’ ที่ว่า หมายความว่ายังไงหรือครับ ท่านเบเลซัก”

 

“งานขายของเองแบบนั้นไงครับ งานที่พวกคนงานชั้นล่างทำพวกนั้น ทำไมข้าต้องทำด้วยล่ะครับ”

 

“แล้วทำไมถึงได้คิดว่ามันเป็นงานที่มีแต่พวกคนงานชั้นล่างเท่านั้นที่ทำล่ะครับ”

 

“ท่านแม่ของข้าบอกไว้ครับ ว่างานที่ยุ่งเกี่ยวสัมผัสกับเงินมันเป็นงานระดับล่าง”

 

เป็นคำพูดที่สมกับเป็นเซรัลมากเสียจนทำเอาเธอเผลอแสยะยิ้ม

 

เซรัลมาจากตระกูลอังเกนัส ซึ่งเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์อันแสนยาวนานนางช่างเป็นคนที่สมกับเป็น ‘ชนชั้นสูง’ มากจริงๆ มากจนน่าเศร้าที่ถูกเรียกว่าเป็นตระกูลอันดับสองของอาณาจักรแลมบลู

 

อันที่จริงในอดีตก็มีช่วงที่เธอคิดว่า การลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยวกับการค้าขายหรือเงินทอง มันเป็นการกระทำที่ไม่สมกับเป็นชนชั้นสูงอยู่เหมือนกัน

 

แต่ทั้งหมดนั่นก็เป็นแค่เรื่องในอดีตเท่านั้น

 

ภาพของตระกูลลอมบาร์เดียที่ควบคุมทุกสิ่งด้วยอำนาจของเงินทองจากการเริ่มทำธุรกิจ ทำให้เหล่าชนชั้นสูงต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน

 

พวกเราตระหนักรู้ถึงอำนาจของตนทีละอย่างสองอย่าง นำเงินที่นอนนิ่งหลับใหลอยู่เฉยๆ มาใช้ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง และมุ่งมั่นอยู่กับการจัดตั้งกลุ่มการค้าเพื่อดำเนินกิจการทางธุรกิจขึ้นมาอย่างเต็มรูปแบบเพราะฉะนั้นแม้แต่ตระกูลอังเกนัสที่อดทนจนถึงที่สุดเอง สุดท้ายแล้วก็ยังต้องก่อตั้งกลุ่มการค้าดิวรักขึ้น ยื่นมือเข้าสู่ตลาดสิ่งทอ

 

เธอนึกถึงกลุ่มการค้าดิวรักที่เดินทางมายังคฤหาสน์เพื่อขอความช่วยเหลือจากตระกูลลอมบาร์เดียเมื่อคราวก่อนขึ้นมา

 

แต่เบเลซักที่เป็นบุตรหลานตระกูลอังเกนัสกลับพูดจาไม่แยแสแบบนั้นเสียได้

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้สินะครับ”

 

เครย์ลีบันพูดแสร้งทำเป็นเสียดาย

 

“คงจะต้องให้ท่านเบเลซักสอบตกการบ้านคราวนี้แล้วละครับ”

 

“สอบตก?”

 

ใบหน้าของเบเลซักที่เหม่อลอยเอาแต่พึมพำคำว่าสอบตกอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็ถูกย้อมเป็นสีแดงก่ำ

 

“ทำไมข้าถึงสอบตก!”

 

“ไม่มีวิธีอื่นแล้วไม่ใช่หรือครับ การบ้านครั้งนี้คือการขายสินค้า แต่ท่านเบเลซักปฏิเสธไม่ยอมทำ ก็ต้องสอบตกสิครับ”

 

“ถ้างั้นอาจารย์ก็แค่เปลี่ยนหัวข้อการบ้านก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ! ตั้งแต่แรกปัญหามันก็เป็นเพราะการบ้านไร้สาระนี่ต่างหากล่ะครับ!”

 

“เหรอครับ ทราบแล้วครับ”

 

จบเพียงแค่นั้น

 

เครย์ลีบันไม่ได้โมโห และก็ไม่ได้พยายามทำให้เบเลซักเข้าใจแต่อย่างใดก็แค่หันกลับมาพูดกับพวกเราทุกคนยกเว้นเบเลซักเท่านั้นเอง

 

“เงินที่ได้จากการขายไม้จะเก็บเอาไว้ก็ได้ มีรางวัลให้แก่คนที่ขายได้ยอดสูงสุดด้วย เพราะฉะนั้นพยายามเข้านะครับ”

 

สุดท้ายเบเลซักที่ถูกเมินอย่างสมบูรณ์แบบก็ฟึดฟัด เปิดประตูเสียงดัง ‘โครม! ’ เดินออกไปจากห้อง

 

แต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครสนใจหมอนั่นอยู่ดี

 

เธอเดินเข้าไปให้ใกล้มากขึ้นเพื่อสำรวจดูท่อนไม้

 

“อืม”

 

คิดอยู่ว่าบางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เธอพลาดไปหรือเปล่า แต่มันเป็นเพียงแค่ท่อนซุงธรรมดาจริงๆ

 

เครย์ลีบันบอกไว้อย่างชัดเจนว่าจะใช้วิธีการใดก็ได้ทั้งนั้น

 

เธอนั่งยองๆ ลงตรงหน้าท่อนไม้ ก่อนจะเริ่มใช้สมองครุ่นคิดไปพลางจิ้มเปลือกไม้เนื้อหยาบไปด้วย

 

ต้นไม้ ต้นไม้เอาไปใช้ทำอะไรที่ไหนได้บ้างนะ

 

ถ้าเอามันไปขายทั้งแบบนี้ก็คงจะได้เงินมาแค่ไม่กี่เหรียญแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าต้องจัดการแปรรูปมันเสียก่อน

 

ในตอนที่คิดแบบนั้น ความทรงจำบางอย่างก็แวบผ่านเข้ามาในหัวสมอง

 

อ๊ะ มีคนคนนั้นอยู่นี่นา

 

คนที่จะสร้างสรรค์ให้ท่อนไม้ธรรมดาเนื้อหยาบนี่ ให้เกิดใหม่อย่างเจิดจรัสจนกลายเป็นผลงานศิลปะชั้นเลิศ

 

ตอนนี้คนคนนั้นเองก็อยู่ในลอมบาร์เดียเช่นกัน