บทที่ 16 ผู้ร่วมเคราะห์ใต้หล้า Ink Stone_Romance
เหมยเห็นว่าเจ้าอี่โหลวทำเรื่องที่หมดสง่าเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะทำสีหบ้าบึ้งตึงเล็กน้อย “หัวหน้าคณะคิดว่าคุณชายจำต้องอาบน้ำและเปลี่ยนผ้าผ่อน”
เจ้าอี่โหลวเหลือบมองซ่งชูอี เห็นนางก้มหน้าตามปกติ เอ่ยขึ้น “ข้าพานางไปได้หรือเปล่า?”
“หัวหน้าคณะไม่ได้สั่ง คุณชายไม่จำเป็นต้องกังวล ขบวนเกวียนจะหยุดเพื่อตั้งค่ายให้ท่านได้อาบน้ำ สาวใช้ของท่านจะอยู่ไม่ไกลจากท่าน” เหมยเอ่ยด้วยความอ่อนโยน แต่ว่าในแววตาของนางมีความร้อนใจเสียแล้ว
เจ้าอี่โหลวเม้มปากกันจนเป็นเส้นตรง เงียบอยู่ครู่หนึ่ง จึงขยับตัวแล้วลงไปจากเกวียนม้า
“น้องชายอีเยวี่ย…” ทันทีที่เขาจากไป จางอี๋โน้มตัวหาซ่งชูอี
หากซ่งชูอีไม่รู้อนาคตของจางอี๋ก็ช่างประไร แต่ทั้งๆ ที่รู้ก็ยังมีใจผูกมิตร เอ่ยขึ้น “ซ่งชูอี ชื่อรองหวยจิน”
จางอี๋ประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้กล่าวโทษที่นางโกหกเขาเรื่องชื่อก่อนหน้านี้ ยืดตัวตรงประสานมือคารวะ “ข้าแก่กว่าเจ้าไม่กี่ปีหาได้ฉลาดกว่าเจ้าไม่ วันหน้าหากเรียกเจ้าว่าหวยจิน เจ้าว่าเยี่ยงไร?”
“ฮ่า ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านจะไม่ฉลาดกว่าข้าได้อย่างไรกัน” ซ่งชูอียิ้มคารวะ นางเอ่ยเพียงครึ่งประโยค
แรก ครึ่งประโยคหลังอาจกล่าวต่อไปว่า ‘ท่าทางน่าเคารพนับถือเช่นท่าน เกรงว่าจะโง่กว่าข้าทั้งชีวิตกระมัง!’ หรือไม่ก็ ‘ดูแล้วเห็นได้ชัดว่าท่านก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าสักเท่าไร’
ทั้งหมดล้วนมีความหมายตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คำหนึ่งคือคำเย้ยหยัน คำหนึ่งคือคำชื่นชม จะเข้าใจว่าเยี่ยงไรก็ต้องดูอารมณ์ของผู้ฟังแล้ว
หากคำพูดหนึ่งทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองได้ ริมฝีปากที่เฉียบคมก็อาจทำให้บ้านเมืองล่มสลายได้เช่นกัน ในฐานะที่จางอี๋เป็นนักการทูตผู้หนึ่ง จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความฉลาดเฉลียวทางด้านภาษา คำพูดของซ่งชูอีนั้นไม่เพียงเป็นการเย้าเล่น เขารู้ว่ามันมีความหมายบางอย่างแอบแฝง แต่กลับรู้สึกสนอกสนใจมาก หัวเราะเสียงดัง “ท่าน
หวยจินช่างถูกใจข้ายิ่งนัก! ท่านกับข้าถูกขังอยู่ที่แห่งนี้ ก็นับว่าเป็นสหายใต้หล้าที่มีคราวเคราะห์ร่วมกัน ข้ามีนามว่าจางอี๋ ชื่อรองตวนหรง”
ตวนหรงหมายถึงความสงบและบุคลิกที่สง่างามนิ่มนวล อันเป็นมารยาทงดงาม
โดยทั่วไปแล้วชื่อกับชื่อรองล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อเป็นส่วนเสริมให้กับชื่อหลัก ซ่งชูอี ชื่อรองเดิมคืออีเยวี่ย ซึ่งก็หมายถึงวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง แต่มันก็เป็นเพียงการบันทึกวันที่เท่านั้น แทบไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันเลย เห็นได้ชัดว่าความรู้ด้านวัฒนธรรมของบิดานางนั้นที่จริงแล้วเป็น…วิธีที่แปลกแยก ต่อมาอาจารย์มอบชื่อรองให้ว่า “หวยจิน” เดิมทีต้องการเปลี่ยนชื่อนางเป็นซ่งอวี๋ ตามคำว่า “หวยจินว่ออวี๋” แต่เพื่อรำลึกถึงบิดาผู้ล่วงลับของนาง ในที่สุดก็เก็บชื่อเดิมไว้
ทั้งสองพูดคุยกัน เนื่องด้วยซ่งชูอีตั้งใจจะผูกมิตร จึงกำจัดความคิดปรปักษ์ไปอย่างรวดเร็ว หลังจากพูดคุยกันสักครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ พบว่าความคิดของทั้งสองมีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกัน มุมมองของสถานการณ์ปัจจุบันก็มีหัวข้อให้ถกเถียง
ความสนใจเห็นพ้องจึงกลายเป็นผู้รู้ใจ การคบหาของขุนนางแห่งจั้นกั๋วโดยมากล้วนเป็นเช่นนี้
ทั้งสองคุยกันอย่างออกรสอยู่ในรถจนลืมทุกสิ่งอย่าง จนกระทั่งมีคนแหวกผ้าม่านเปิด จึงเงียบปากลงอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก หันไปมองผู้มาเยือนพร้อมกัน ทันทีที่ได้เห็นต่างอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ชายที่ยืนอยู่นอกรถ สวมชุดผ้าปักสีขาวแขนกว้าง มีแถบผ้าไหมคาดเอว ปกคอและปลายแขนเสื้อถูกเย็บตะเข็บด้วยสีน้ำเงินเข้ม ชุดปักด้วยไพลินและลวดลวยนกฮูกสีขาวนวล ขนสีดำพันอยู่รอบคอ ผมสีดำหมึกที่เปียกเล็กน้อยถูกผูกไว้อย่างหลวมๆ อยู่ด้านหลัง โครงหน้าที่สวยงามคือความอ่อนโยนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในวัยหนุ่ม คิ้วที่ชี้เข้าไปในขมับเหมือนดาบนั้นมีความเยือกเย็นเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่ยังคงเป็นเหมือนที่ซ่งชูอีพบเห็นครั้งแรก ดุจดวงดาวเยือกเย็นที่ส่องแสงวูบไหวทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด แม้ส่องแสงสว่างแต่กลับห่างไกลและเหน็บหนาว
เขายื่นมือเลิกผ้าม่านขึ้น ยืนอยู่ภายนอกเกวียน เมื่อเห็นสองคนที่อยู่ในเกวียนจ้องมองเขาอย่างตะลึงงัน ก็เบือนหน้าหนีด้วยความขวยเขินเล็กน้อย
“สุภาพชนผู้สูงส่ง สง่าดุจพญามังกร งดงามหาผู้ใดเปรียบ!” จางอี๋อดไม่ไหวร้องอุทาน หากไม่ใช่เพราะรอยฟกช้ำที่มุมปากของเจ้าอี่โหลว เขาจักต้องจำไม่ได้แน่ว่าชายรูปงามผู้นี้คือผู้ต่ำต้อยที่เนื้อตัวมอมแมมเมื่อครู่
ซ่งชูอีรู้ว่าเขาหน้าตาดี แต่กลับไม่เคยคิดว่าครั้นแต่งกายแล้วจะเข้าตาได้ถึงเพียงนี้ นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ยังสัมผัสเขาด้วยอคติก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนในโพรงจมูก ครุ่นคิดดูแล้วรู้สึกว่ายังสัมผัสเขาได้ไม่มากพอ ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
“คุณชาย ไปได้แล้วหรือยัง?” น้ำเสียงของเหมยอ่อนโยนกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่านัก ได้ยินแล้วชวนให้ใจสั่น
ซ่งชูอีเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหัวหน้าคณะจึงให้ความสำคัญต่อเจ้าอี่โหลวถึงเพียงนี้ คนเขารู้จักของดีกว่านางมากนัก!
เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว ยืนอยู่นอกเกวียนเนิ่นนานไม่ยอมจากไปพร้อมกับเหมย เขายืนอยู่ตรงนั้น คิ้วที่บิดงอเล็กน้อยชวนให้ปวดใจ ไม่มีผู้ใดเข้ามาปลอบโยน รอบกายเงียบงันครู่ใหญ่
ซ่งชูอีจ้องเขา เห็นว่าด้านนอกหิมะตกแล้ว อนุภาคน้ำแข็งสีขาวละเอียดเล็กร่วงอยู่บนขนสีดำรอบคอเขา
“คุณชายไม่อยากไปก็เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงเบา
เจ้าอี่โหลวเผยรอยยิ้มสดใส หมุนตัวขึ้นเกวียนม้าไป
“คุณชาย!” ภายนอกเกวียน น้ำเสียงของเหมยร้อนรน “คุณชาย หัวหน้าคณะยังรอท่านอยู่นะ!”
“บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ เจ้าสาวใช้คนนี้ เหตุใดจึงกระเซ้ากระซี้เหลือเกิน!” หลายวันนี้จางอี๋ถูกพวกเขารังแกไม่น้อย เขาถูกลักพาตัวเข้ามา ในตัวเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น แน่นอนว่าจะไม่มีทางไว้หน้าพวกเขาแม้แต่น้อย
ไร้เสียงตอบรับจากภายนอกเกวียน ได้ยินเพียงเสียงกระแทกฝีเท้าจากไป
ซ่งชูอีถอนหายใจ ดูเหมือนว่าหมดหวังที่จะหลบหนีภายในเร็ววันนี้แล้ว ด้วยรูปลักษณ์ของเจ้าอี่โหลวเช่นนี้ หมายความว่าแม้เขาจะแสดงท่าทียโสก็อาจไม่ได้รับการตำหนิติฉินเท่าไรนัก ในภายภาคหน้าก็จะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าเดิม อย่างไรก็ดีหัวหน้าคณะจำต้องจับตาดูเจ้าอี่โหลวอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
จางอี๋ก็เข้าใจถึงปัญหาข้อนี้ สบตากับซ่งชูอีอยู่เงียบๆ
“หวยจิน” เจ้าอี่โหลวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขารู้มาตลอดว่าตัวเองหน้าตาพอไปวัดไปวา ด้วยเหตุนี้จึงหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา ไม่กล้าเข้าใกล้ฝูงชน เมื่อครู่หลังจากที่เขาอาบน้ำแล้ว สายตาของคนเหล่านั้นที่มองเขา เขารู้ว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
“วางใจเถิด” ซ่งชูอีปลอบประโลมเสียงเบา
เจ้าอี่โหลวพยักหน้า ไม่กล่าวอันใดอีก
ซ่งชูอีถอนหายใจอีกรอบ เดิมทีนางเพียงมีความคิดจะใช้ประโยชน์จากเจ้าอี่โหลว รอจนกระทั่งหลบหนีไปจากขบวนเกวียนได้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องพาเขาไปด้วย แต่ว่าเด็กคนนี้กลับมอบความเชื่อใจทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งในใจ
นางรู้ว่าเจ้าอี่โหลวดูขี้ขลาดตาขาวอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพียงเพราะอยู่คนเดียวมาเนิ่นนาน นิสัยของคนคนหนึ่งนั้นสามารถดูได้จากแววตา เขาเป็นคนดื้อรั้นและกล้าหาญ ไม่ยินดีที่จะตกเป็นของเล่นของผู้ใด การเกิดมาพร้อมรูปลักษณ์เช่นนี้จะมีจุดจบอันน่าสังเวชอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตามที่คาดไว้ หัวหน้าคณะมิได้บีบบังคับเขามากมายนัก ขบวนเกวียนจอดเพียงชั่วครู่ก็เริ่มเดินทางต่อ
“หัวหน้าคณะท่านนี้หยุดขบวนเกวียนตั้งค่าย เพียงเพื่อให้โฉมงามอาบน้ำงั้นรึ?” จางอี๋รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย เพราะว่าขบวนเกวียนจักต้องเสียเวลาเดินทางอีกหนึ่งวันและสูญเสียทรัพยากรมากขึ้น ใช่ว่าหัวหน้าคณะทั่วไปจะจ่ายความสิ้นเปลืองนี้ไหว
ซ่งชูอีคิดคำนวณเวลาที่ควรหลบหนีอยู่ในใจ ถ้าหากเข้าเมืองแล้ว หัวหน้าคณะติดต่อกับพรรคพวกของนาง เกรงว่าจะยิ่งยากแล้ว “นางจะต้องได้ประโยชน์จากโฉมงามเจ้าอย่างใหญ่หลวงแน่”
คำว่าโฉมงามไม่กำจัดเฉพาะเพียงผู้หญิง ฟังดูแล้วกลับไม่รู้สึกเลิศเลออันใด เจ้าอี่โหลวได้ยินแล้วไม่ใคร่พอใจนัก เอ่ยร้องขอเสียงต่ำ “เจ้าจะเรียกข้าว่าเจ้าเสี่ยวฉงก็ได้”
จางอี๋เอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อยิ้มเอ่ย “ใบหน้าฟ้าประทาน ด้วยบุคลิกของเจ้าเช่นนี้ ล้วนมีความทุกข์ทรมานที่ปุถุชนธรรมดายากจะเข้าใจ อย่างไรเสียก็ยอมรับเถิด หากไม่ต้องการมีเพียงรูปโฉมงดงาม ก็ต้องทำตนให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”
ซ่งชูอีถลึงตามอง ไม่ต้องถามก็รู้ว่า “ปุถุชนธรรมดา” ที่กล่าวนั้นจะเป็นใครเสียนอกจากนาง!
ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดลง หิมะตกๆ หยุดๆ ไม่แรงมาก เป็นเพราะเจ้าอี่โหลว คืนนั้นจึงมีผ้านวมสองผืนหนาเพิ่มเข้ามาในเกวียน อีกทั้งซ่งชูอีและจางอี๋ยังได้รับโอกาสพิเศษในการอาบน้ำและได้รับเสื้อผ้าใหม่สองตัว
หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เป็นไปตามการคาดการณ์ของซ่งชูอี ผู้อารักขาขบวนเกวียนเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า ล้อมรอบจนแทบไร้ทางระบายอากาศ จางอี๋และซ่งชูอีจึงไม่กล้าหารือเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันอีก ยิ่งไม่กล้าวางแผนหลบหนี ต่างคนต่างขบคิดอยู่ในใจ แลกเปลี่ยนคำพูดสองสามคำเมื่อมีโอกาส
…………………………………