เมื่อกลับมายังชิงอี้เซวียน สวีหงเยี่ยนมองสำรวจการตกแต่งเรือนทั้งภายในและภายนอกอยู่รอบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างพอใจแล้วหมุนตัวเดินออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงพี่ชายใหญ่กับหลานสาวของตนได้พูดคุยกันสองคน

 

 

           “ท่านลุงใหญ่และท่านลุงรองตั้งใจมาครั้งนี้ มีเรื่องสำคัญอันใดจะสั่งหลีเอ๋อร์หรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีเชิญสวีหงอวี่ให้นั่งลง พร้อมลงมือรินชาด้วยตนเอง

 

 

           สวีหงอวี่มองสำรวจนางรอบหนึ่ง ก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดูสีหน้าหลีเอ๋อร์ไม่เลวทีเดียว เจ้าคงไม่ได้รู้สึกอันใดกับข่าวลือพวกนั้นใช่หรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลียกน้ำชาใสแจ๋วในแก้วไปให้ ก่อนนั่งลงยิ้มอย่างจนใจ “ต่อให้ข่าวลือแพร่กระจายไปเท่าใด อย่างไรเราก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป อีกอย่าง สถานการณ์ตอนนี้ก็ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มากแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

           สวีหงอวี่จ้องหน้านางตรงๆ “เช่นนั้น หากสถานการณ์แย่กว่าที่เจ้าคิดไว้ เจ้าจะทำอย่างไร เมื่อคืนที่เจ้ารอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัยถือว่าโชคดีมากแล้ว หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริง หลีเอ๋อร์…”

 

 

เยี่ยหลีจ้องน้ำชาใสในถ้วยเงียบๆ ก่อนพยักหน้า “หลีเอ๋อร์ทำให้ท่านลุงต้องเป็นห่วงแล้ว เพียงแต่…ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น อย่างไรก็ต้องมีชีวิตต่อไป หลีเอ๋อร์ไม่ได้กลัวความตาย แต่ขอเพียงมีความหวังก็จะต้องใช้ชีวิตต่อไป อย่างน้อย จะไม่ตายเพราะข่าวลือเป็นแน่เจ้าค่ะ” เมื่อพูดจบ เยี่ยหลีก็เผลอกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ขนบธรรมเนียมของที่ต้าฉู่จะถือว่าเปิดกว้างแล้ว แต่ความบริสุทธิ์ของหญิงสาวยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต นางไม่รู้ว่าที่พูดเช่นนี้ท่านลุงใหญ่จะยอมรับได้หรือไม่ แต่นี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจนางจริงๆ เยี่ยหลีจะไม่มีทางยอมทิ้งชีวิตให้กับความผิดที่ไม่ใช่ของตนเป็นอันขาด

 

 

           “ดีมาก เช่นนี้ถึงจะสมกับเป็นบุตรสาวตระกูลสวี” สวีหงอวี่นิ่งไปนาน ก่อนวางแก้วชาลงพร้อมเอ่ยขึ้นเรียบๆ

 

 

           เยี่ยหลีอึ้งไป รีบเงยหน้าขึ้นมองท่านลุงใหญ่ สายตาสวีหงอวี่มองเยี่ยหลีเจือด้วยความเจ็บปวด

 

 

“บุตรชายตระกูลสวีถึงแม้จะมาทางสายบุ๋น แต่ก็มีความเข้มแข็งมากพอ ต่อให้ทุกข์ยากเช่นไรก็มิอาจทำให้พวกเราละทิ้งสิ่งที่เป็นของพวกเราไปได้ แต่ทว่า…บุตรสาวตระกูลสวีที่ฉลาดหลักแหลมมากความสามารถ กลับอ่อนแอกว่าหญิงสาวทั่วไป ดูอย่างแม่ของเจ้า…หากตอนนั้นน้องเล็กมีความเข้มแข็งเช่นเจ้า คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้”

 

 

           “ท่านลุงใหญ่…”

 

 

ทุกครั้งที่เอ่ยถึงท่านแม่มักทำให้ท่านลุงใหญ่เจ็บปวดอย่างมาก เยี่ยหลีนึกไปถึงท่านแม่ในความทรงจำ ผู้สวยงาม บอบบาง และอ่อนแอแล้วก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ สมัยท่านแม่ยังเยาว์วัยนางได้รับการปกป้องจากตระกูลสวีมากเกินไป จึงทำให้นางรับชีวิตจริงหลังแต่งงานไม่ได้ จึงค่อยๆ เ**่ยวเฉาอยู่ในเรือนหลังใหญ่ของตระกูลเยี่ยในที่สุด

 

 

           สวีหงอวี่โบกมือ “ติ้งอ๋องเป็นชายหนุ่มที่ดีมากคนหนึ่ง ต่อให้เป็นตอนนี้ลุงก็ยังคิดเช่นนั้น เพียงแต่ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เขาก็ไม่ใช่ตัวเลือกสามีที่ดีนัก หลีเอ๋อร์รู้หรือไม่ เหตุใดตระกูลสวีจึงไม่คัดค้านการแต่งงานครั้งนี้”

 

 

เยี่ยหลีมองสายตาที่อบอุ่นแต่ดูน่าเกรงขามของท่านลุงใหญ่ ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “เพราะยากจะขัดราชโองการใช่หรือไม่เจ้าค่ะ”

 

 

           “นี่ก็ถือเป็นเหตุผลหนึ่ง” สวีหงอวี่เอ่ยขึ้น “แต่หากตระกูลสวีไม่ยินยอมด้วยใจจริง ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ไข ท่านตาของเจ้ายังพอมีหน้ามีตาอยู่หลายส่วน หากท่านตาเจ้าเข้าเมืองมาขอร้องให้ฮ่องเต้เพิกถอนราชโองการด้วยตนเองแล้ว ฮ่องเต้ก็คงมิอาจปฏิเสธได้”

 

 

เยี่ยหลีรีบเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “ไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ ท่านตาอายุมากแล้ว กว่าจะหลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองหลวงไปได้ก็ไม่ง่ายเลย จะให้ท่านยื่นเท้ากลับเข้ามาอีกเพื่อเยี่ยหลีได้อย่างไรเจ้าคะ” อย่าว่าเรื่องอื่นเลย ปีนี้ท่านตาอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ให้ผู้สูงอายุลำบากนั่งรถเข้าเมืองหลวงเช่นนี้ เยี่ยหลียอมไม่ได้เด็ดขาด สีหน้าสวีหงอวี่ดูพอใจ ก่อนยื่นมือมาตบบ่าเยี่ยหลี “ท่านตาเจ้ารู้ว่าหลีเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญู”

 

 

           เยี่ยหลีก้มหน้าคิดพักหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “หลีเอ๋อร์คิดไม่ออกจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านลุงโปรดช่วยไขความข้องใจนี่ด้วย”

 

 

           สวีองอวี่ถอนหายใจ “นั่นเป็นเพราะฐานะของเจ้า หากเจ้าแซ่สวี ตระกูลสวีสามารถปฏิเสธการสมรสที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ได้อย่างเต็มปาก หรืออาจให้เจ้าแต่งงานกับบัณฑิตจากตระกูลธรรมดาที่ปิ้งโจวเลยก็ยังได้ ตระกูลสวีไม่ต้องการความรุ่งเรืองไปมากกว่านี้ แต่เจ้าแซ่เยี่ย การแต่งงานของเจ้า นอกจากฮ่องเต้แล้วก็มีตระกูลเยี่ยที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ อีกอย่างก่อนหน้านี้เจ้ายังมีงานสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ถึงแม้ฮ่องเต้จะล้มเลิกการแต่งงานระหว่างเจ้ากับหลีอ๋องแล้วพระราชทานเยี่ยอิ๋งให้แต่งงานกับหลีอ๋องแทน แม้จะบอกว่าเยี่ยอิ๋งเป็นบุตรสาวสายหลักของตระกูลเยี่ย แต่ความจริงก็เป็นเพียงบุตรสาวสายรองเท่านั้น ฮ่องเต้อยากใช้งานพ่อของเจ้า จงใจโปรดปรานเยี่ยเจาอี๋เพื่อสร้างความไว้วางใจ ทั้งยังอยากให้บัณฑิตที่เป็นกลางทั้งใต้หล้าพอใจ เช่นนั้นเจ้าจึงแต่งงานกับคนที่แย่กว่าเยี่ยอิ๋งไม่ได้ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ…หากเจ้าไม่ได้แต่งงานกับหลีอ๋อง ก็คงได้พระราชทานให้แต่งงานกับอ๋องท่านอื่นอยู่ดี หรืออาจ…ได้เข้าวังไปเป็นสนม เรื่องเข้าวังคงไม่ต้องพูดถึง ลุงกับท่านตาของเจ้าลองพิจารณาท่านอ๋องที่ยังไม่ได้แต่งงานทั้งหมดดูแล้ว มีเพียงติ้งอ๋องที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้าเห็นด้วยกับที่ท่านลุงพูด “อันที่จริงติ้งอ๋องก็ดีกว่าที่หลีเอ๋อร์คิดไว้มากแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะเพิ่งได้รู้ว่า…น่าจะวุ่นวายกว่าที่คิดไปเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะรับไม่ได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านลุงก็เคยบอกแล้วว่าติ้งอ๋องเป็นชายหนุ่มที่ดีมากคนหนึ่ง”

 

 

สวีหงอวี่มองเยี่ยหลีด้วยความแปลกใจ “หลีเอ๋อร์คิดว่าติ้งอ๋องเป็นเช่นไรหรือ”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มอย่างเขินๆ “ข้างนอกไม่ได้ลือกันว่าติ้งอ๋อง…ทั้งพิการ ทั้งเสียโฉม แล้วยังป่วยหนักหรือเจ้าคะ” คนที่น่าสังเวชเพียงนั้นจะมีลักษณะเช่นใด ทุกคนน่าจะพอจินตนาการได้ ดังนั้นม่อซิวเหยา ณ ตอนนี้จึงดีกว่าที่ตนคาดการณ์ไว้มากแล้ว

 

 

           ดูเหมือนสวีหงอวี่จะพอนึกภาพออก เขาจึงถลึงตาใส่นางอย่างไม่เห็นขันด้วย “หากเป็นเช่นนั้นจริง สู้หาทางวางยาพิษให้เขาตายไปเสียยังดีกว่า ต่อให้เจ้าไม่ได้แต่งงานจนชั่วชีวิต ก็ยังดีกว่าให้แต่งงานไปกับคนไร้ประโยชน์เช่นนั้น”

 

 

           จะได้แต่งงานกับคนไร้ประโยชน์หรือไม่นั้น เยี่ยหลีหาได้ใส่ใจไม่ เพราะถึงอย่างไรด้วยพื้นเพตระกูลของตำหนักติ้งอ๋อง ก็คงไม่ให้นางไปรับใช้ม่อซิวเหยาด้วยตนเองอยู่ดี ถือเสียว่าแค่จับคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็แล้วกัน นอกจากนั้น ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนั้น แต่ความวุ่นวายนี่มากเกินกว่าที่นางจินตนาการไว้มากทีเดียว ถึงขนาดทำให้ท่านลุงไม่วางใจจนต้องมาพูดเรื่องเหล่านี้กับนางด้วยตนเอง เยี่ยหลีพอคาดการณ์ได้แล้วว่า ชีวิตหลังแต่งงานคงไม่สวยงามดังเช่นที่ตนจินตนาการไว้เป็นแน่

 

 

           “เมื่อคืนพี่ชายใหญ่ของเจ้าเอ่ยขึ้นมา ลุงถึงได้เพิ่งสังเกตว่า หลายปีมานี้ตระกูลเยี่ยช่างชั่วช้านัก! เจ้าก็อีกคน อยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแต่กลับไม่เข้าใจเรื่องคนในเมืองหลวงเอาเสียเลย!”

 

 

สวีหงอวี่มองเยี่ยหลีด้วยความขัดใจ เยี่ยหลีรีบก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด อย่าว่าแต่ท่านพ่อกลัวท่านลุงเลย นางเองก็กลัวเช่นกัน อันที่จริงนอกจากพี่ชายใหญ่แล้ว นางยังไม่เห็นใครไม่กลัวท่านลุงใหญ่เลยสักคน อืม…อาจมีม่อซิวเหยาอีกคน

 

 

           ที่ท่านลุงกล่าวมานั้นไม่ผิดเลย หลายปีมานี้นางแทบไม่ก้าวเท้าออกไปไหน ด้วยตั้งใจที่จะตัดขาดตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ แน่นอนว่าเรื่องนี้หวังซื่อก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่ความรับผิดชอบส่วนใหญ่นั้นตกอยู่ที่นาง แม้นางจะยอมรับสภาพชีวิตในตอนนี้ได้นานแล้ว แต่ในใจลึกๆ เยี่ยหลียังคงรู้สึกว่าชีวิตในชาติที่แล้วของนางต่างหากที่เป็นความจริง ส่วนชีวิตในตอนนี้เป็นเสมือนการเล่นละครหรืออยู่ในฝันเสียมากกว่า แต่แน่นอนว่า ภัยร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้นางรู้สึกเป็นเรื่องจริงขึ้นมาหลายส่วน

 

 

           “ของที่หงเยี่ยนให้เจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าศึกษาไปถึงไหนแล้ว” สวีหงอวี่เอ่ยถามขึ้นตรงๆ

 

 

           เยี่ยหลีรู้ดีว่า ท่านลุงใหญ่เป็นคนให้ท่านลุงรองนำข้อมูลบุคคลสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงมาให้นาง จึงรีบเอ่ยตอบว่า

 

 

           “จำได้หมดแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

สวีหงอวี่ส่ายหน้า “ของพวกนั้นแค่จำได้ไม่มีประโยชน์ เจ้าต้องวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่แฝงอยู่ให้ออก คนในจวนฮว่ากั๋วกงเจ้ารู้จักหมดแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังเจ้าก็เคยพบแล้ว เจ้าพอบอกลุงได้หรือไม่ว่า เจ้าคิดว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันกับหลิ่วกุ้ยเฟย จวนฮว่ากั๋วกง และจวนหลิ่วมีความสัมพันธ์กันอย่างไร”

 

 

           เยี่ยหลีนึกประหลาดใจ นี่ไม่ห่างไกลไปหน่อยหรือ แต่นางก็ได้นิ่งคิดวิเคราะห์ตามที่สวีหงอวี่บอกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยตอบว่า

 

 

“หลีเอ๋อร์ยังไม่เคยพบฮองเฮา แต่คุ้นเคยกับคนจวนฮว่าอยู่พอสมควร และเคยได้พบองค์หญิงฉางเล่อครั้งหนึ่ง ฮองเฮาเป็นภรรยาเอกคนแรก ถึงแม้ไม่เป็นที่โปรดปรานนักแต่ก็ดูเป็นสตรีที่ใจกว้างและมีจิตใจดี ส่วนหลิ่วกุ้ยเฟยนั้น ดูมีความหยิ่งยโสไม่น้อย ดูเป็นคนเฉยๆ แต่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แล้วยังประสูติองค์ชายสององค์และองค์หญิงอีกหนึ่งองค์ ดังนั้น สองท่านนี้…น่าจะไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร ส่วนตระกูลฮว่ากับตระกูลหลิ่วก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องที่ถูกกัน แต่ในราชสำนัก เสนาบดีหลิ่วกับเจ้ากรมเยี่ยกกลับไม่ถูกชะตากันสักเท่าไร ณ ตอนนี้ถือได้ว่าเท่าเทียมกัน แต่สถานการณ์ในวัง ดูเหมือนหลิ่วกุ้ยเฟยจะเหนืออยู่กว่าขั้นหนึ่ง”

 

 

           สวีหงอวี่พยักหน้า ก่อนเอ่ยเตือนขึ้นว่า “วิเคราะห์ได้ไม่เลว แต่ใจคนนั้นเปลี่ยนง่าย ยิ่งเป็นคนในวังด้วยแล้วยิ่งยากจะคาดเดา เรื่องนี้เจ้าต้องใส่ใจให้มากขึ้นอีก ดูเหมือนหงเยี่ยนคงให้แต่ข้อมูลปัจจุบันแก่เจ้า คงคิดว่าเรื่องเมื่อหลายปีก่อนเจ้าน่าจะรู้อยู่แล้ว”

 

 

เยี่ยหลีรู้สึกละอายใจเล็กน้อย หลายปีก่อนโดยเฉพาะช่วงที่เกิดเรื่องกับม่อซิวเหยานั้น เป็นช่วงที่ความทรงจำของนางกำลังสับสนวุ่นวายและร่างกายกำลังอ่อนแอ พอฟื้นตัวขึ้นมาได้ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องภายนอกเท่าใดนัก เรื่องเก่าๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นนางไม่รู้เลยจริงๆ ท่านลุงรองคงคิดไม่ถึงว่า แม้แต่เรื่องที่เลื่องลือทั่วเช่นนั้นนางก็ยังไม่รู้

 

 

           “หลีเอ๋อร์เข้าใจเรื่องตำหนักติ้งอ๋องมากเพียงใด”

 

 

           เยี่ยหลีเข้าใจแล้วว่าที่ท่านลุงใหญ่ตั้งใจมาหานางในครั้งนี้ ก็เพื่อมาปูพื้นฐานความเข้าใจให้กับนางนี่เอง

 

 

“เจ้าตำหนักติ้งอ๋องรุ่นแรกคือม่อหลั่นอวิ๋น น้องชายร่วมอุทรของปฐมฮ่องเต้ ม่อเฉิงเทียน ผู้ก่อตั้งแผ่นดินต้าฉู่ ช่วงต้นของแผ่นดินต้าฉู่ ปฐมฮ่องเต้อวยยศท่านให้เป็นซื่อสีอ๋อง พร้อมพระราชทานราชทินนาม ติ้ง สืบทอดตำแหน่งได้สามรุ่น สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน มีขุนนางผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์ ม่อหลิวฟาง ผู้ดำรงตำแหน่งติ้งอ๋องในตอนนั้น ได้เดินทางกลับเข้ามายังเมืองหลวง และจัดการสังหารขุนนางผู้นั้น พร้อมสนับสนุนองค์ฮ่องเต้ จากนั้นท่านอ๋องจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการ เมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีพระชนมายุได้สิบหกชันษา ม่อหลิวฟางจึงได้คืนอำนาจการปกครองให้แก่พระองค์ แต่เมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีพระชนมายุได้สิบเก้าชันษา ม่อหลิวฟางเกิดป่วยจนถึงแก่ชีวิต ม่อซิวเหวินบุตรชายคนโตจึงได้สืบทอดตำแหน่งต่อ ปีต่อมาฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ปีที่สามในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ม่อซิวเหวินได้รับพระบัญชาให้ยกทัพออกไปทำศึก แล้วเกิดป่วยตายระหว่างทาง เขาไม่มีบุตรชายสืบสายเลือด ม่อซิวเหยาที่ ณ ตอนนั้นเพิ่งอายุได้สิบแปดปีจึงต้องสืบทอดตำแหน่งต่อไป พร้อมนำทัพออกไปกรำศึก เขาพบกับความพ่ายแพ้ จนสูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก และทำให้เขาเกือบต้องสิ้นชีพในสนามรบ แม้ในตอนหลังจะอาศัยการวางแผนอย่างชาญฉลาด พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นชนะได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วย… สามเดือนให้หลัง คู่หมั้นของม่อซิวเหยาป่วยตาย และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตำหนักติ้งอ๋องก็ถือได้ว่าหายไปจากเมืองหลวง”

 

 

           “ยังมีอีกหรือไม่” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ก่อนพูดต่อว่า

 

 

“ทายาทตำหนักติ้งอ๋องทุกรุ่นล้วนเป็นผู้มากความสามารถมาตั้งแต่กำเนิด ทั้งยังเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ แต่ราชนิกุลที่มีสายเลือดเดียวกัน เมื่อเปรียบกันแล้วยังด้อยกว่ากันมาก ในบรรดาทั้งหมดผู้ที่ความสามารถโดดเด่นที่สุดคือม่อหลันอวิ๋น ติ้งอ๋องคนแรก ว่ากันว่าหากไม่เพราะเขาแต่งงานกับองค์หญิงในราชวงศ์ก่อน เขาอาจมีโอกาสได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้มากกว่าปฐมฮ่องเต้เสียอีก ต่อมาคือม่อหลิวฟาง ความสามารถด้านบู๊ของเขามากล้น ส่วนความสามารถด้านบุ๋นก็มากเสียจนสามารถปกครองแคว้นได้ ส่วนม่อซิวเหยาเคยได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจอย่างน่าอัศจรรย์ไม่แพ้บรรพบุรุษ หากตอนที่ม่อหลิวฟางเสียชีวิตเขาไม่ใช่เป็นเพียงเด็กอายุสิบสามปี อาจเป็นเขาที่ได้สืบทอดตำแหน่งอ๋องก็เป็นได้”