ตอนที่ 71-2 ตกเลือด  

พอหวงน้าสี่เห็นหญิงชรามา ก็ยังคงไม่ร้องห่มร้องไห้ เพียงทำท่าเหมือนจะร้องไห้แต่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ ก่อนพูดละล่ำละลัก

“ท่านแม่ วันนี้ข้า ข้าทำให้ท่านไม่สบายใจ จึงไม่มีหน้าไปบอกลาท่าน เมื่อท่านมาแล้ว ข้าก็ขอบอกท่านว่า ข้าจะพาอาเม่ากับอาจู้กลับบ้าน น้องรองกับน้องสะใภ้จะได้อยู่กันอย่างสงบสุข ท่านก็อย่าโกรธข้าเลย อาชิงอยู่กับท่านจนเคยชิน ไม่ยอมไปจากท่านหรอก ท่านเอ็นดูเขามากสุด ข้าจึงได้แต่ให้เขาอยู่กับท่านต่อ”

แล้วจึงก้มหน้าลง บอกกับลูกๆ ทั้งสองคน “อาเม่า อาจู้ ยังไม่รีบลาท่านย่าอีก บอกว่าเราจะกลับบ้านแล้ว”

อาจู้แอบหยิกแขนตนเองอย่างแรง พอเจ็บจนน้ำตาไหล ก็พูดเสียงอ่อนตัวอ่อนพลางน้ำตาคลอเบ้า

“ท่านย่า เดิมทีหลานอยากอยู่ปรนนิบัติท่านมากๆ แต่ตอนนี้ต้องตามท่านแม่กลับแล้ว ท่านย่าอยู่บ้านอารองดูแลตัวเองดีๆ นะ”

ส่วนอาเม่าก็เลียนแบบท่าทางพี่สาว ลูบศีรษะที่พันผ้าขาวไว้ พลางว่า “ท่านย่า หลานกลับก่อนล่ะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ท่านก็รีบกลับมานะ หลานคิดถึง”

ตอนนี้ถึงกับทำให้ถงฮูหยินแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มองบนสักพัก ค่อยลุกขึ้นยืน

“ใครบอกให้ไป ใครเป็นคนพูด! ผู้ใดคิดไล่พวกเจ้าไป ไม่ให้ไป ล้วนไม่ให้ไป!”

“ไม่มี ไม่มีใครไล่เรา ท่านแม่” หวงน้าสี่กลั้นใจพูด แต่แม้พูดเช่นนี้ ก็กวาดตามองไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่อยู่บนบันได ซึ่งสายตานี้ ถงฮูหยินเห็น จึงพอจะเข้าใจอะไรแล้ว

หรือสะใภ้รองเป็นคนไล่พวกนางสามแม่ลูกไป เช่นนี้ก็ไร้เหตุผลสิ้นดี แม้บอกว่าวันนี้สะใภ้รองไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่อาเม่าก็หัวแตกนี่ ก็บอกแล้วมิใช่หรือว่าเสมอกันไป หรือต่อหน้า สะใภ้รองทำเป็นไม่มีอะไร แต่ลับหลังกลับไล่สามแม่ลูกไปเสียนี่? เจ้ารองกตัญญูและเกรงใจพี่สะใภ้ ไม่กล้าไล่แน่ ใช่แล้ว ต้องเป็นสะใภ้ไป๋ที่ไปพูดยุแหย่แน่ๆ!

แม้คนในครอบครัวทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ก็ยังคงเป็นคนในครอบครัว กระดูกถึงถูกตีจนหัก ก็ยังมีเนื้อติดกระดูกอยู่ เหตุใดถึงพูดยุแหย่ญาติกันเองเช่นนี้ได้ลงคอ!

คิดพลาง คิ้วขาวๆ ของถงฮูหยินก็ขมวดเข้าหากัน

และตอนนี้เอง หวงน้าสี่ก็หันมองน้องสามี พลางพูดเสียงเรียบ แต่สั่นน้อยๆ

“นี่ก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว พี่มาที่นี่ นอกจากมาบอกลาน้องรองแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง อยากให้น้องรองเรียกบ่าวมาตรวจดูสัมภาระของพี่ด้วย ให้แน่ใจว่าไม่มีของชิ้นใดในจวนอยู่ในนั้น พี่รู้ว่า ตั้งแต่พี่มาอยู่ในจวนรองเจ้ากรม ก็มีคนกลุ่มหนึ่งดูแคลนเราสามแม่ลูก หาว่าเราเป็นคนบ้านนอก ไม่มีการศึกษา รังเกียจที่เรากินมากดื่มมาก เหมือนเกิดมาไม่เคยเห็นของมีค่าอย่างไรอย่างนั้นมิใช่หรือ พวกเจ้าตรวจดูได้เลย ตรวจหรือยัง ให้พวกเจ้าวางใจ พี่ถึงจะสบายใจ”

อวิ๋นเสวียนฉั่งอึ้ง “พี่สะใภ้ ข้าจะตรวจสัมภาระของท่านได้อย่างไรกัน ท่าน ท่านพูดอะไรออกมา คนครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ข้ามีหรือที่จะคิดว่าท่านเป็นโจร”

สัญชาตญาณของไป๋เสวี่ยฮุ่ยไวกว่าสามี เมื่อครู่ยังนึกว่าหวงน้าสี่เปลี่ยนนิสัยไปแล้ว แต่พอลิ้มลองรสชาติไปเรื่อยๆ ค่อยรู้แล้วว่า ที่แท้หวงน้าสี่ก็กำลังแสร้ง ทำตัวให้ดูน่าสงสาร ซึ่งตนต้องไม่หลงกลนาง จึงขยับคิ้วพลางว่า

“พี่สะใภ้ เราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน จะแค้นกันไปไย ทำไมถึงพูดเลยเถิดถึงเรื่องตรวจสัมภาระไปได้ บ่าวในจวนเราเวลาออกนอกจวน ก็ยังไม่เข้มงวดขนาดต้องตรวจค้นร่างกาย พี่สะใภ้ก็พูดเกิน…”

ฟังถึงตรงนี้ ถงฮูหยินก็หมดความอดทน กระทืบเท้า แล้วใช้แววตาดุจเปลวเพลิงมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย

“ก็มิใช่เจ้าหรอกหรือ ที่บีบจนสะใภ้ใหญ่ต้องทำถึงขั้นนี้ ตอนนี้ยังเอานางมาเทียบกับบ่าวอีก! วันก่อนเอาชุดบ่าวให้สองแม่ลูกใส่ วันนี้ยังปล่อยให้บ่าวเสียมารยาทกับอาเม่าอีก กะอีแค่สำรับของว่าง ถ้าจิ่นจ้งเป็นคนแย่งเอาไป บ่าวนั่นย่อมไม่ถือสา แต่พอเป็นอาเม่า บ่าวนั่นกลับกล้าแย่งเอาคืน แสดงว่าเจ้าดูถูกพวกนางสามแม่ลูกมาตลอด บ่าวนั่นถึงได้มีพฤติกรรมเช่นนั้น ไม่เห็นอาเม่าอยู่ในสายตา! ขนาดปิ่นปักผมอันเดียว เจ้ายังผูกใจเจ็บ คอยหาทางเอาคืนจากพวกเขา วันนี้พอถูกน้าสี่ก่อกวน เจ้าจะยอมรามือหรือ พวกเขาสามคนคิดจะจากไปกลางดึกเช่นนี้ เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับเจ้าอีก เจ้าใช่ไหมที่คอยพูดกรอกหูเจ้ารอง ให้ไล่พวกเขาไป!”

แม้ก่อนหน้านี้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเคยถูกถงฮูหยินว่ากล่าวอบรมเป็นครั้งคราว แต่นั่นก็เป็นการเข้มงวดเรื่องกฎระเบียบที่ผู้อาวุโสมีต่อลูกหลาน ซึ่งเป็นเช่นนี้ทุกหลังคาเรือน แต่ตอนนี้ กลับเป็นการต่อว่าต่อขานอย่างหมดเปลือก คิดไม่ถึงว่าหญิงชราจะมาไม้นี้ จึงรู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็ยังปากแข็ง

“ท่านแม่ ข้าไม่เคยเอ่ยปากไล่พี่สะใภ้ ทั้งๆ ที่พี่สะใภ้มาบอกเองว่าจะไป ไฉนถึงมาโทษข้าได้”

ปกติอวิ๋นเสวียนฉั่งไม่ชัดเจนเรื่องหลังบ้านอยู่แล้ว ตอนนี้พอได้ยินมารดาพูดถึงชุดบ่าว พูดถึงปิ่นปักผม ค่อยเข้าใจแล้วว่า ที่แท้หลายวันมานี้ ไป๋ฮูหยินรู้สึกไม่ค่อยดีกับพี่สะใภ้เท่าไหร่ มิน่าเล่า วันนี้พี่สะใภ้ถึงได้ทำรุนแรงเช่นนี้ เป็นความขัดแย้งที่สะสมมานาน จึงมองแรงไปที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ย

พอเห็นสายตาแปลกๆ ของสามีมองมา ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็รู้สึกว่ามีส่วนคล้ายกับท่าทางตอนที่เขาทำสงครามเย็นกับนางก่อนหน้านี้ จึงตะลึงงัน ไม่กล้าพูดมากอีก

พอหวงน้าสี่เห็นบรรยากาศนิ่งค้าง ก็ไม่คิดสงบนิ่งแล้ว ปล่อยมือลูกสาว ก้าวเข้าหาถงฮูหยิน คุกเข่าลงตรงหน้า โขกศีรษะติดต่อกัน น้ำตาพรั่งพรูดั่งสายน้ำ ดั่งทำนบพังทลาย พูดพลางร้องไห้พลาง ใบหน้าโศกเศร้ายิ่ง

“ท่านแม่ แล้วกันไปเถิด ท่านให้ข้ากลับบ้านเถิด ขืนพูดต่ออีก ข้าจะกลายเป็นคนบาปที่ทำให้บ้านน้องรองต้องแตกแยกไป! น้องรองกับน้องสะใภ้อย่างไรก็เป็นสามีภรรยา ไม่ควรบาดหมางกัน ข้าเองล่ะ ที่เป็นคนนอก เมื่ออยากให้ข้าไป ข้าก็ต้องไป นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาเรื่องหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกัน! เพียงแต่ข้าตามท่านแม่มา เดิมทีก็อยากดูแลท่านแม่เหมือนทุกๆ วัน แต่วันนี้ข้าไปแล้ว ก็คงดูแลไม่ได้ ท่านแม่ยังต้องอยู่ในเมืองอีกหลายวัน ตอนมาเป็นหน้าร้อน ตอนนี้เข้าสู่ใบไม้ร่วงแล้ว อากาศในเมืองเปลี่ยนแปลงเร็ว จึงเย็นลงทุกๆ วัน ท่านแม่ต้องเอาใจใส่เรื่องอาหารการกินให้ดี ยังมีโรคกระดูกต้นคอและข้อเข่าเสื่อมของท่านอีก อย่าให้ถูกลมเย็นเป็นอันขาด เพราะถ้าป่วยขึ้นมา ก็จะปวดไปอีกหนึ่งถึงสองเดือน…ข้าวางผ้าพันคอกับผ้าพันเข่าที่ถักจากขนแกะโดยเฉพาะ ไว้ใต้ที่นอนท่าน พับทบกันหลายชั้นหน่อย น่าจะพอต้านอากาศหนาวของเมืองหลวงได้ พออากาศเปลี่ยน ท่านก็ต้องรีบนำมาพัน อย่าลืมเสียล่ะ…”

หวงน้าสี่พูดด้วยท่าทางเรียบๆ แต่ขณะพูด ใบหน้ากลับเปล่งแสงแห่งความอ่อนโยนปนความเศร้าเสียใจชนิดหนึ่งออกมา ตอนน้ำตาหยดลง ยิ่งทำให้คนเห็นใจและสงสารสุดจะเปรียบ

ถงฮูหยินน้ำตาคลอ โรคกระดูกต้นคอและข้อเข่าเสื่อม เกรงว่าคนทั้งบ้าน มีเพียงสะใภ้ใหญ่เท่านั้นที่จำได้ว่าตนมีโรคประจำตัวเช่นนี้อยู่ และยังถักผ้าพันคอกับผ้าพันเข่าให้ตนในทุกๆ ปีด้วย

ตอนอยู่บ้านนอก นางกับหวงน้าสี่ก็เคยโต้เถียงกัน เคยรุนแรงใส่กันด้วยซ้ำ สะใภ้ใหญ่นี่ จริงๆ แล้วหญิงชราก็ใช่ว่าจะชอบมาก แต่พอมาถึงเมืองหลวง ก็เหมือนยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกัน จะมากจะน้อยก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน พอได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้ ถงฮูหยินก็นึกถึงแต่เรื่องดีๆ ของสะใภ้ใหญ่ นึกถึงตอนอาเม่าเพิ่งครบเดือนได้ไม่นาน ตอนนั้นเป็นหน้าหนาว ตนรู้สึกเจ็บเข่า จนต้องนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน เพราะลุกไม่ขึ้น หวงน้าสี่ที่ต้องทำงานในไร่ แล้วยังต้องทำงานบ้านอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจฝ่าลมหนาว เดินทางเข้าเมือง ไปโรงหมอ ซื้อสมุนไพรประคบร้อนมาให้ตน ซึ่งตอนนั้นนางเองก็เพิ่งออกจากการอยู่ไฟ

พอคิดได้เช่นนี้ ถงฮูหยินก็ก้มตัวลง พยุงสะใภ้ใหญ่ลุกขึ้น แล้วว่า

“น้าสี่ เด็กโง่! นี่เป็นบ้านของลูกข้า ไม่มีใครเจ้ากี้เจ้าการได้หรอก! นอกจากเขาจะเอ่ยปากให้เจ้าไปด้วยตัวเอง หาไม่แล้วก็ไม่มีใครขับไล่เจ้าได้ ข้าบอกให้เจ้าอยู่ เจ้าก็ต้องอยู่ เรามาด้วยกัน ถ้าเจ้าไป ข้าจะอยู่ต่อคนเดียวไปทำไม”

แล้วจึงหันไปพูดเสียงสั่นกับลูกชาย “อย่างไร เจ้ารอง เจ้าคิดจะไล่พี่สะใภ้เจ้า หรือเปล่าล่ะ”

เมื่อมารดาพูดขนาดนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่กลืนน้ำลาย “ลูกไม่เคยพูดเช่นนั้น”

พอถงฮูหยินได้รับการยืนยัน ก็ค้อนไป๋เสวี่ยฮุ่ยทีหนึ่ง ก่อนกุมมือหวงน้าสี่ไว้ พลางพูดอย่างอ่อนโยน

“ได้ยินหรือยัง ไม่มีใครอยากให้เจ้าไปหรอก เจ้าก็เชื่อฟังข้า อยู่ปรนนิบัติข้าเถิด อย่าบุ่มบ่ามทำอะไรโง่ๆ อีก” ชะงักเล็กน้อย ค่อยพูดเสียงเย็นชา “บ้านนี้ต่อให้ใครคิดจะไป ผู้ที่ควรไปมากที่สุดก็ไม่ใช่เจ้า ข้าแม้อายุมากแล้ว แต่บ้านนี้ ใครทำอะไรไว้ ข้ายังคงมองเห็น”

พอได้ยินคำนี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็กำมือแน่น นี่หมายความว่าอะไร หรือตนต้องยอมให้คนนอกก่อเรื่องในบ้านตนโดยที่ตนทำอะไรไม่ได้ ผู้ที่ควรจะถูกไล่ออก เป็นนายหญิงอย่างตนหรือ เหตุผลบ้าบออะไรนี่ แม้ตนจะเกรงกลัวแม่สามีเพียงใด ก็ไม่คิดทนอีก

“ท่านแม่ แม้ข้าไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนข้างกายท่านเป็นระยะเวลานาน แต่ถ้าพูดถึงหลายวันมานี้ ข้าก็ดูแลท่านแม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เช้าถึงเย็นถึงทุกวัน ไม่เคยปล่อยปละละเลย แต่ท่านกลับลำเอียงเข้าข้างพี่สะใภ้ มิหนำซ้ำยังไม่เห็นนายหญิงของบ้านอย่างข้าอยู่ในสายตาอีก ท่านก็ช่าง…ไม่เป็นธรรมเกินไปแล้ว! ท่านแม่ หรือท่านมองไม่ออกว่าพี่สะใภ้มีแผนร้ายในใจ จงใจทำให้คนเห็นอกเห็นใจ ถ้านางรู้สึกว่าทำให้ท่านขายหน้าจริงๆ ก็ไม่น่าจะทำให้ท่านลำบากใจ แอบหอบลูกๆ จากไปแต่แรกแล้ว ไหนเลยยังมาตีโพยตีพายเรื่องแบบนี้อยู่อีก!”

“หุบปาก!” อวิ๋นเสวียนฉั่งเอ็ดเสียงต่ำ แต่ก็ไม่ทันการแล้ว

เมื่อถงฮูหยินได้ยินสะใภ้ใหญ่บอกว่าตนไม่เป็นธรรม กลับไม่โกรธ ยิ้มเย็นชา รอยย่นบนหน้าผากที่ลึกและชัด นิ่งอยู่อย่างนั้น ขณะมองนาง

“ทำให้คนเห็นอกเห็นใจ? มีแผนร้ายในใจ? พี่สะใภ้เจ้าแสร้งทำหรือไม่ มีแผนอะไรในใจนั้น ข้าไม่รู้ รู้แต่ว่า เจ้าน่ะ เดิมทีเป็นญาติห่างๆ ของแม่จิ่นจ้ง อยู่บ้านนอกเกือบอดตาย พอหนีความยากลำบากมาเมืองหลวงได้ ก็ยั่วยวนเจ้ารอง ทำให้แม่ของจิ่นจ้งโมโหจนล้มป่วย ถ้าพูดถึงเรื่องแสร้งทำให้เห็นอกเห็นใจ มีแผนร้ายในใจนี่ พี่สะใภ้เจ้าสู้เจ้าได้หรือ พอเจ้าได้เป็นฮูหยินก็แล้วกันไป แต่เจ้าก็ยังไม่มีลูกชาย และไม่เคยเอ็นดูลูกชายคนคนอื่น จิ่นจ้งข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง! ครั้งนี้ก็ถึงคราวอาเม่าอีก แล้วคนอย่างเจ้า ยังมีหน้ามาว่าผู้อื่นมีแผนร้ายในใจอีกหรือ”

แต่ละคำ แต่ละประโยคที่ถามกลับ เชือดเฉือนดุจกรีดด้วยใบมีดที่คมกริบเข้ามาพร้อมๆ กัน