ตกอยู่ในวงล้อม คมดาบโหมกระหน่ำ (2) โดย ProjectZyphon
เสี่ยวมู่ผู้นำการค้นหาหลินสวิน เจ้าของนัยน์ตาสีแดงหลบหน้าไม้ได้อย่างปลอดตั้งแต่ช่วงเริ่มการต่อสู้ และหายตัวออกมาอยู่นอกวงล้อม
“เด็กคนนี้ไวยิ่งนัก ถ้าเมื่อครู่ข้าไม่หลบไม่ทัน คงโดนหน้าไม้ของเขาสังหารไปแล้ว” เสี่ยวมู่ใจสั่นรัว
“ลำบากท่านแล้ว แต่ถึงเด็กคนนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด ในยามนี้ต่อให้มีปีกก็หนีไม่พ้น!” ชายสวมงอบที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเนิบนาบ
ในสายตาพวกเขาทั้งสอง หลินสวินหัวเดียวกระเทียมลีบตกอยู่ในวงล้อม ต้องถูกกองกำลังมากมายดังมวลน้ำจัดการโดยแน่!
“หืม”
ฉับพลันชายสวมงอบหน้าเปลี่ยนสี เมื่อสังเกตได้ถึงบางอย่าง “เป็นมวลพลังที่น่าครั่นคร้ามนัก!”
เสี่ยวมู่ก็ตัวแข็งไปทั้งร่างในขณะเดียวกัน ภายในใจเย็นวาบด้วยพบว่าหลินสวินที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมมีกลิ่นอายน่าหวั่นเกรงโอบล้อมอยู่รอบกาย
โดยเฉพาะกระบี่ที่กู่ร้องไม่หยุดในมือของเขา คล้ายสุดยอดอาวุธร้ายถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา
“ลมหายใจของเขาแปลกไป…” ชายสวมงอบเอ่ยขึ้น
“น่ากลัวจริงๆ ไม่เหมือนผู้ฝึกปราณขั้นผสานดินแม้แต่น้อย หรือว่าเขา…” เสี่ยวมู่เสียงสั่น
หญิงสาวยังไม่ทันพูดจบ ในตอนนั้นเองหลินสวินใช้กระบวนท่าคว้าดารา ดวงตาของเสี่ยวมู่กับชายสวมงอบก็หดลง ท่าทางเหม่อลอย แม้จะอยู่ไกลเพียงใด พวกเขาทั้งสองก็รับรู้ถึงดวงดาวร่วงหล่นคล้ายรัตติกาลกำลังมาเยือน ส่วนตัวเองเหมือนตกอยู่ในห้วงความมืดมิดแห่งนั้น ทั้งหวาดกลัวและไร้เรี่ยวแรง
นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกัน!
เมื่อทั้งคู่รู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง ทั้งร่างก็เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นเฉียบ ทว่าไม่ทันรอให้พวกเขาได้ตั้งสติ ร่างกายของพวกพ้องร้อยกว่าคนที่อยู่รอบๆ หลินสวินเริ่มปริแตกคล้ายถูกบีบเละ เนื้อเลือดลอยกระเด็น บนพื้นดินมีรอยแยกลึกดำดิ่ง ผู้ฝึกปราณที่ไม่ทันระวังตัวพลัดตกลงไปได้แต่กรีดร้องโหยหวน ภาพเหตุการณ์นองเลือดนั้นเขย่าขวัญยิ่งนัก!
เสี่ยวมู่กับชายสวมงอบสูดปาก มีอาการเหม่อลอยตัวเย็นไปทั้งร่าง พลังจากดาบนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว…
ไม่เพียงแค่พวกเขาสองคน ผู้ฝึกปราณที่รายล้อมหลินสวินอยู่ต่างก็หวาดหวั่นนิ่งงัน น่ากลัวเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเป้าหมายที่มีปราณเพียงขั้นผสานใจจะทำได้ถึงขนาดนี้ เกรงว่าหากผู้แข็งแกร่งอย่างระดับจิตผสานวิญญาณใช้วิชาที่รุนแรงที่สุดก็ยังไม่น่ากลัวถึงเพียงนี้!
แต่พวกเขาเข้าใจผิดไปเรื่องหนึ่ง ตอนนี้หลินสวินไม่ได้อยู่ในขั้นผสานใจแต่เป็นผู้มีปราณขั้นผสานดินที่ใช้พลังจากฟ้าดินได้แล้ว!
เช่นนี้เรียกว่าเหนือความคาดหมาย!
ไม่มีศัตรูคนไหนจะคิดว่าหลินสวินที่อยู่ในสายตาพวกเขาตลอดเวลา จะเพิ่มพลังปราณถึงขั้นผสานดินขณะที่อยู่เมืองมังกรเหลืองด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงสี่วันเท่านั้น
ความคิดที่ผิดพลาดคล้ายไม่เป็นปัญหาใหญ่หลวง แต่เวลาสู้รบกลับทำให้ศัตรูเหนือความคาดหมายไปได้มาก
หลินสวินใช้ปราณขั้นผสานดินและอาวุธวิญญาณอย่างดาบเวทเรืองแสง และแสดงกระบวนท่าคว้าดาราที่เป็นเคล็ดวิชาน่ากลัวที่สืบทอดมาอย่างลึกลับจากโบราณกาล เพียงกระบวนเดียวคร่าผู้คนไปได้กว่าร้อย สร้างความหวาดผวาแก่ผู้อยู่ในเหตุการณ์
เหตุที่หลินสวินใช้กระบวนท่าคว้าดาราตั้งแต่เริ่มการต่อสู้นั้น เพราะเขาประเมินว่าครั้งนี้มีศัตรูมากเกินไป พวกเขาต่างมีความพร้อมและฮึกเหิม มีเพียงแสดงพลังของตัวเองออกมาตั้งแต่คราแรกเท่านั้น ถึงจะทำให้พวกเขาหวาดผวาและเพิ่มโอกาสให้ตัวเองได้มากขึ้น
…
ในพื้นที่ต่อสู้ยามนี้ พลังจากหนึ่งดาบครอบคลุมทั่วสารทิศ สร้างความหวาดผวาลดความฮึกเหิมของศัตรู หลินสวินไม่ลังเลที่จะใช้โอกาสนี้ลุยออกไป แสงประกายสีฟ้าเขียวรอบตัวเขาคล้ายภาพลวงตา พลังดุจพายุโหมฟ้าดิน ดาบเวทเรืองแสงในมืออันตรายดั่งกำลังกระหายเลือด
เพียงพริบตาเดียว ผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนที่ไม่ทันระวังตัวก็ถูกปลิดชีวิต เสียงกรีดร้องโหยหวนมากมายดังขึ้นให้ได้ยิน พื้นที่ว่างแห่งนี้เจิ่งนองไปด้วยเลือดชวนสยอง
นี่เรียกว่านอกเหนือความคาดหมาย ประโยชน์ของการชิงลงมือให้ศัตรูหวาดหวั่น ทำให้หลินสวินคว้าโอกาสสร้างเส้นทางหลบหนีให้ตนเองได้
หลินสวินเคลื่อนไหวว่องไวดุจอัสนี ฝ่าดงศัตรูออกมาจนเปิดเป็นเส้นทาง เขาผ่านออกมาโดยไม่มีการโจมตีจากศัตรู ตลอดเส้นทางที่ผ่านนั้นก็มีกองศพเป็นพะเนิน
นี่คือพลังหลังจากที่หลินสวินบรรลุถึงขั้นผสานดิน พลังไร้เทียมทานดุจมหาสมุทร
ขั้นผสานดิน คือการใช้ตนเองเป็นที่ตั้ง หยั่งรู้พลังจากท้องนภาและพื้นพิภพ รับรู้ความสัมพันธ์ของตนเองและฟ้าดิน ครั้นเริ่มเข้าใจพลังฟ้าดิน ก็ใช้พลังจากฟ้าดินได้ ทำให้เส้นทางการฝึกตนเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ปราณของผู้ฝึกปราณในขั้นนี้จะได้รับการเปลี่ยนแปลง พลังจากปราณขั้นผสานใจกลายที่มีอยู่เดิม แปรเปลี่ยนเป็นพลังขั้นผสานดิน ผู้ฝึกปราณสามารถหลอมรวมพลังจากดินมาใช้ได้ ในการฝึกตนเรียกอีกอย่างว่า ‘รับพลังดิน’
มีคำกล่าวไว้ว่าผู้ยิ่งใหญ่จะไม่รับพลังดิน แต่ในการฝึกตน การรับพลังดินก็คือการบรรยายลักษณะของปราณขั้นผสานดิน
พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ขั้นผสานดินทำให้ผู้ฝึกปราณสามารถรับรู้พลังจากดิน หลอมรวมพลังจากดิน รับดินเป็นพลังเพื่อทะยานสู่ฟ้า
‘ทะยานสู่ฟ้า’ ก็คือการรับรู้พลังจากฟ้า เป็นพลังในระดับขั้นผสานฟ้า
มีเพียงรับรู้และควบคุมพลังจากดินฟ้าได้อย่างแท้จริง ถึงจะสามารถควบคุมและเข้าใจความหมายของดินฟ้าได้ ถือเป็นระดับพลังของผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ
หลินสวินในยามนี้แม้เพิ่งจะบรรลุผ่านขั้นผสานดินมาได้ แต่ระดับปราณและพลังก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เริ่มรับพลังจากดินมาหลอมรวมใช้เป็นพลังได้ ผนวกกับการฝักใฝ่ในความสมบูรณ์ยามที่จะบรรลุขั้นระดับจะปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้เมื่อเขาเพิ่มชั้นปราณเป็นขั้นผสานดิน จึงมีพลังรองรับอยู่มากมาย และแข็งแกร่งเกินกว่าจะคาดเดา
และในตอนนี้ เด็กหนุ่มก็แสดงพลังทั้งหมดออกมาผ่านการต่อสู้!
หลินสวินว่องไวดุจพยัคฆ์ พลางเหลือบมองเหตุการณ์ข้างหน้า ไม่ว่าการต่อสู้จากวิชาหรืออาวุธวิญญาณชนิดใด จะเป็นผู้ฝึกตนขั้นผสานดินหรือขั้นผสานฟ้า เขาล้วนปลิดชีวิตทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย
ที่น่ากลัวไปกว่านั้น คือหลินสวินประเมินสถานการณ์ด้วยความสงบเยือกเย็น หาใช่การกระทำเพราะความบุ่มบ่ามเลือดร้อน ทุกครั้งที่เขาโจมตีล้วนมีการประเมินจุดอ่อนของศัตรูและรูปการอยู่เสมอ
ในขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการประหยัดกำลังในยามต่อสู้ เขาจะนำหน้าไม้ที่กักตุนเอาไว้ออกมาใช้แทน เพราะการต่อสู้ระยะประชิด ทั้งศัตรูยังมีจำนวนมากเช่นนี้ หน้าไม้สามารถสังหารศัตรูได้โดยไม่ต้องเล็งเป้า
ส่วนฝ่ายศัตรู แม้จะพกหน้าไม้อย่างดีเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถใช้งานมันได้ เพราะพวกเขามีจำนวนมาก แต่เป้าหมายมีเพียงคนเดียว หากใช้หน้าไม้ก็อาจทำให้พรรคพวกตัวเองบาดเจ็บเสียมากกว่า
ทั้งหมดทั้งมวลทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ดูประหลาดนัก หลินสวินคล้ายมือสังหารเลือดเย็นใช้อาวุธมากมายรัวยิงเข่นฆ่าศัตรู และศัตรูทำได้เพียงใช้กำลังคนที่มากกว่าโอบล้อมหลินสวินไว้ พุ่งเข้าไปต่อสู้เท่านั้น
พื้นที่ห่างไกลนอกเขตการต่อสู้ เสี่ยวมู่กับชายสวมงอบใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความโมโห ตาเบิกโพลงคล้ายไม่อยากเชื่อ ใครจะไปคาดคิดว่าเมื่อประจันหน้ากับผู้ฝึกปราณมากมายขนาดนี้ เป้าหมายจะยังยืนหยัดสู้อยู่ได้
ที่ทำให้พวกเขาละเหี่ยใจที่สุดก็คือ นับตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนถึงตอนนี้ เป้าหมายยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และฝ่าวงล้อมออกมาโดยไม่มีใครขัดขวางเอาไว้ได้
“แม้เด็กคนนี้จะมีปราณถึงขั้นผสานดินแล้ว แต่พลังต่อสู้ที่เปลี่ยนไปชักจะน่ากลัวเกินไปกระมัง นี่มันเหมือนขั้นผสานดินที่ไหน เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งอย่างระดับมหาสมุทรวิญญาณเลยด้วยซ้ำ” เสี่ยวมู่รำพึงด้วยท่าทางที่ดูไม่ดีนัก
“อย่าลืมสิว่าตอนที่อยู่ขั้นผสานใจ เขาได้ที่หนึ่งในการสอบคัดเลือกระดับมณฑลของมณฑลซีหนาน ทั้งจักรวรรดิมีเพียงสามสิบสี่มณฑลเท่านั้น ที่หนึ่งของการสอบคัดเลือกก็มีเพียงสามสิบสี่คน ซึ่งหลินสวินคนนี้เป็นหนึ่งคนในนั้น” ชายสวมงอบสูดหายใจลึก แล้วเอ่ยต่อ “เจ้าลองคิดดูสิ ในบรรดาการล้อมจู่โจมหลายๆ ครั้งเมื่อหลายวันก่อน เด็กคนนี้มีปราณเพียงขั้นผสานดินเท่านั้น แต่ก็ทำให้การล้อมจู่โจมของพวกเราล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า และตอนนี้เขาปราณของเขาถึงขั้นผสานดินแล้ว…”
เสียงของชายสวมงอบแผ่วในตอนท้าย ขณะเดียวกันในใจก็เย็นวาบ แม้จะประเมินได้ว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินน่ากลัวนัก แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีเด็กหนุ่มที่ร้ายกาจอย่างนี้มาก่อน
“ไม่ได้การ! ใกล้จะต้านเขาไม่อยู่แล้ว รีบเรียกรวมกองกำลัง นำกำลังทั้งหมดมาที่นี่!” ฉับพลันเสี่ยวมู่ก็หน้าเปลี่ยนสี เพราะหลินสวินใกล้จะฝ่าวงล้อมออกมาได้แล้ว!
“รวมกองกำลังมาก็ไม่พอให้เด็กคนนี้ฆ่าหรอก!” ชายสวมงอบกัดฟันกรอด พลางควักนกหวีดที่ขัดจากกระดูกสีขาวขึ้นมา
“หัวหน้า นี่ท่านจะ…” เสี่ยวมู่ตกใจ
ปี๊ด
ชายสวมงอบเป่านกหวีดสีขาว เสียงประหลาดนั้นดังกังวานไกลไปทั่วบริเวณ
เขากล่าวเสียงขรึม “โชคดีอย่างเดียวก็คือเด็กคนนี้ยังไม่ใช่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ บินบนฟ้าไม่ได้ และผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณอย่างพวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา มีเพียงการใช้เรือรบวีรชนม่วงโจมตีจากบนอากาศเท่านั้นถึงจะสังหารเขาได้!”