ตอนที่ 27 ล้วนเป็นความผิดของเจ้า

ปฏิญญาค่าแค้น

“แล้วใครใช้ให้เขาด่าทอข้าก่อนล่ะ” 

 

 

หลังจากเฉินจื่ออวี้กลับไปแล้ว หลินหลันกำลังเผชิญหน้ากับหลี่หมิงอวินซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมและนัยน์ตาแฝงเอาไว้ซึ่งคำถาม เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา และถึงจะโกรธแต่กลับไม่ได้พึมพำอย่างแข็งกร้าวเสียมากมาย 

 

 

“ทว่าเขาเป็นแขก” หลี่หมิงอวินกับเฉินจื่ออวี้มีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกันมาเป็นระยะเวลากว่าสิบปี ในระยะเวลาสิบปีนั้น เขาไร้ซึ่งพี่น้อง กับเฉินจื่ออวี้ หนิงซิ่งต่างรู้สึกดั่งมิตรสหายเก่าตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จัก นับแต่นั้นมา จึงมีความสนิทสนมกันดั่งพี่น้องร่วมสายเลือด หากหลินหลันเพียงแค่ต่อสู้คำดูถูกเหล่านี้ด้วยวาจา เขากลับยินดีด้วยซ้ำที่ได้เห็นจื่ออวี้อับอายเสียบ้าง แต่ทว่าตอนนี้ทำให้อับอายเดินไปแล้ว ครั้งก่อนหลินหลันไม่ได้จงใจ ครั้งนี้เป็นการจงใจ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หลี่หมิงอวินต้องช่วยออกปากแทนจื่ออวี้ 

 

 

คำตำหนิของหลี่หมิงอวินทำให้หลินหลันรู้สึกโกรธ “เจ้ายังช่วยออกปากแทนเขา มีคำพูดที่ว่าลูกผู้ชายไม่ควรนินทาผู้อื่นลับหลัง ไม่ว่าจะถูกหรือผิด การที่เขาพูดถึงข้าลับหลังด้วยคำพูดไม่ดี เดิมทีก็ถือว่าไร้ซึ่งคุณธรรมอยู่แล้ว แต่ข้ายังเห็นแก่ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างเจ้ากับเขา จึงได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างยั้งมือ มิเช่นนั้น สิ่งที่รอเขาอยู่ก็มิใช่เพียงแค่ชารสขม แต่จะใส่ปาโต้ว [1] ลงไปเสียเลย” 

 

 

หลี่หมิงอวินตกตะลึง ผู้หญิงนางนี้…โหดเหี้ยมจริงๆ และเขาก็เชื่อด้วยว่านางกล้าทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน 

 

 

หลินหลันยังระบายความโกรธออกไปไม่หมด จ้องมองหน้าคนตรงข้ามด้วยความโกรธเคือง “ยังมีเจ้าอีก ผู้อื่นว่ากล่าวทิ่มแทงภรรยาของเจ้าต่อหน้า ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง เช่นนั้นก็ไม่ต่างกับการตบหน้าเจ้า เจ้าไม่เอ่ยปกป้องข้าสักคำข้าก็ไม่ว่า ตอนนี้ยังมาโทษข้าอีก บนสัญญานั่นเขียนไว้ว่าอย่างไร เจ้าลืมไปแล้วหรือ ถ้าหากแค่การปกป้องขั้นพื้นฐานเช่นนี้เจ้ายังทำไม่ได้ สัญญาฉบับนี้ ก็ไม่ต่างจากขยะดีๆ นี่เอง” 

 

 

หลี่หมิงอวินเผชิญหน้ากับคำตำหนิของหลินหลัน ชั่วขณะที่ถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี สมองตื้อตึงไปหมด ทั้งๆ ที่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ทว่าพอนางพูดขึ้นมาเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าเป็นเขาที่ผิดไปเสียเฉยๆ 

 

 

“จื่ออวี้เขาเพียงแค่ล้อเล่น เขาผู้นี้ปกติก็เป็นเช่นนี้” หลี่หมิงอวินคิดว่าตนเองพบต้นตอของปัญหาแล้ว เพราะว่าหลินหลันไม่เข้าใจจื่ออวี้ว่าความจริงแล้วเป็นการที่จื่ออวี้หยอกล้อเขา 

 

 

หลินหลันสบถฮึอย่างเย็นชา “เจ้าบอกว่าเขาล้อเล่น เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่บอกว่าข้าก็ล้อเล่น ก็ไม่ใช่แค่น้ำชาหวงเหลียนถ้วยเดียวหรอกหรือ ดื่มเข้าไปแล้วยังสามารถขจัดพิษร้อนในได้อีกด้วย!” หลินหลันถลึงตาใส่เขาไปหนึ่งที เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าอย่าเบี่ยงประเด็น เรื่องในวันนี้ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเจ้า อย่าอ้างว่าพวกเรามีสัญญากันอยู่ แล้วก็อย่าบอกว่าข้าเป็นภรรยาปลอมๆ ของเจ้า ต่อให้ข้าเป็นแค่คนแปลกหน้าผู้หนึ่ง ถึงเจ้าจะเป็นมีความรู้ซึ่งแสนฉลาดปราชเปรื่องก็ไม่สามารถหัวเราะเยาะผู้อื่นได้ตามอำเภอใจ” 

 

 

“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลย” หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว นางยังจะสามารถเอ่ยลามไปถึงคนอื่นได้จริงๆ ยิ่งคุยยิ่งไปกันใหญ่แล้ว 

 

 

“และเจ้าไม่ได้เอ่ยขัด ไม่เอ่ยพูดแทนข้าก็เท่ากับเจ้าเห็นดีเห็นงามในการหัวเราะเยาะและถากถางข้า หรือตอนนั้นใจของเจ้าอาจจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แล้วยังยิ้มออกมาด้วย” หลินหลันพร่ำบ่นอย่างก้าวร้าว และเผยจิตนาการของนางให้โลดแล่นออกมาอย่างเต็มที่ โดยจินตนาการว่าตอนนั้นหลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น 

 

 

หลี่หมิงอวินไม่รู้จะทำอย่างไร หากพูดถึงการต่อโต้วาที เขาหลี่หมิงอวินผู้นี้ยังไม่เคยเจอคู่ต่อกร แต่หญิงสาวเบื้องหน้าผู้นี้ พูดจาไม่รับฟังเหตุผล ทุกครั้งล้วนทำให้เขารู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวกและพูดไม่ออก 

 

 

“เจ้ายังคงไม่ยอมรับ ว่าเจ้าเองก็ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของข้าเลย หากมีคนพูดว่าเจ้าไม่มีสมอง บอกว่าเจ้าหยาบคาย เจ้าจะรู้สึกอย่างไร” หลินหลันพูดจบ ก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป เพื่อไม่กี่พันสองเงินต้องมาเสียสุขภาพจิตด้วยเรื่องเช่นนี้ ช่างเปลืองพลังงานเสียจริง สนที่ไหนล่ะว่าเขาต้องการอย่างไร หนักหนาเกินไปก็ไม่ทำมันแล้ว 

 

 

มองดูหลินหลันที่เดินจากไปพร้อมอารมณ์โกรธ หลี่หมิงอวินถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างหนัก เขาไม่ยอมรับว่าพฤติกรรมที่นางแสดงออกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าสองประโยคหลังที่หลินหลันทิ้งท้ายไว้นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของนางเลยจริงๆ จิตใจของผู้หญิงล้วนละเอียดอ่อน บางทีคำพูดของจื่ออวี้อาจจะทำร้ายศักดิ์ศรีของนางเข้าให้ 

 

 

หลินหลันหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีคิดว่าจะตั้งใจทบทวนมารยาทที่เรียนมา ถึงตอนนี้ขี้เกียจจะทบทวนเสียแล้ว ใครจะไปรู้ว่าการเดิมพันในครั้งนี้จะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่ และนางก็ล้มตัวลงนอนหัวถึงหมอน 

 

 

หลายปีมาแล้วที่ไม่ได้นอนบนเตียงที่สบายขนาดนี้ ไม่ได้ห่มผ้าห่มที่แสนนุ่มและยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ หลินหลันแอบนึกถึงความยากลำบากในอดีตและนึกถึงชีวิตที่สุขสบายในตอนนี้ ไม่นานนักก็เข้าสู่ห้วงนิทราไป 

 

 

วันรุ่งขึ้น นาฬิกาสัญชาตญาณของหลินหลันเกิดไม่ทำงาน เกือบจะถึงช่วงสายของวันจึงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยหยินหลิ่วที่อดทนรอไม่ไหว 

 

 

“แม่นางหลิน ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวแม่โจวก็จะมาแล้ว…” 

 

 

หลินหลันขยี้ดวงตา พลางเอ่ยถามอย่างสะลึมสะลือ “กี่โมงกี่ยามแล้ว” 

 

 

“เกือบจะเจ็ดโมงแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีเห็นแม่นางหลับสนิท เลยอยากให้แม่นางได้หลับต่ออีกประเดี๋ยว แต่ก็เกรงว่าแม่โจวมาแล้วเห็นแม่นางยังคงหลับอยู่จะว่ากล่าวเอาได้” หยินหลิ่วเอ่ยตอบพลางเลื่อนเปิดผ้าม่านลอยพลิ้วดั่งกลุ่มเมฆ และใช้ตะขอเงินเกี่ยวรวบเอาไว้ 

 

 

หลินหลันตกใจทันใดนั้นเองก็ตาสว่างขึ้นมาทันที ความง่วงมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง รีบร้อนลงจากเตียงแล้วแต่งตัว พลางพึมพำออกมา “ช่างเป็นความมุ่งมั่นที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลย ความคิดและพฤติกรรมถึงถูกทำให้แย่ลงไวขนาดนี้” 

 

 

หยินหลิ่วไม่ทันได้ฟังชัดเจน คิดว่าแม่นางหลินหลันต้องการบอกอะไรกับนาง จึงรีบร้อนเอ่ยถาม “แม่นางหลิน ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ” 

 

 

หลินหลันฉีกยิ้ม และพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม “ข้าพูดกับตัวเองอยู่น่ะ! วันหลัง เอาเป็นว่าเจ้าปลุกข้าแต่เช้าเถอะ!” 

 

 

อวี้หลงนำน้ำที่ใช้ในการล้างหน้าบ้วนปากเข้ามา ระหว่างปรนนิบัติให้หลินหลันล้างหน้าบ้วนปาก หลินหลันยังคงรู้สึกไม่คุ้นชินกับชีวิตชนิดที่ว่าไม่ทำอะไรด้วยตนเองเลย ซึ่งมีผู้อื่นคอยมาดูแลปรนนิบัติให้ แม้ว่าเมื่อชีวิตก่อนหน้า ที่บ้านจะเต็มไปด้วยคนรับใช้ นางก็ยังชอบที่จะทำเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเองอยู่ดี 

 

 

“อวี้หลง เจ้าวางไว้ก็พอ ข้าจัดการเอง” 

 

 

ทางด้านนี้ที่เพิ่งจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยอย่างเร่งรีบ คนทางด้านนอกก็ส่งเสียงตะโกนเข้ามา “ท่านแม่โจวมาแล้ว” 

 

 

เดิมทีอยากจะทำให้สวยงามไร้ซึ่งข้อบกพร่อง แต่ด้วยสถานการณ์น่าหงุดหงิดเมื่อคืนนี้ หลินหลันจึงแอบขี้เกียจไปจนได้ ยังดีที่ความสามารถในการจดจำไม่เลว การตรวจสอบของแม่โจวจึงยังผ่านพ้นไปได้ 

 

 

แม่โจวเข้มงวดอย่างเช่นเคย กระทั่งว่าเกณฑ์ความต้องการสูงยิ่งกว่าเมื่อวานขึ้นไปอีก ทำให้หลินหลันประหม่าอยู่ตลอดเวลา และต้องคอยเรียกสติมาใช้ในการต่อสู้เพื่อเรียนรู้ 

 

 

จนเวลาเกือบเที่ยง ในที่สุดแม่โจวก็เตรียมเก็บอุปกรณ์ และพูดกับหลินหลัน “ความเข้าใจของเจ้าแม้จะดี เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่จำไว้ว่าอย่าใจร้อน ต้องจำสิ่งที่ข้าได้สอนเจ้าไว้ให้ขึ้นใจ ตั้งใจฝึกฝนให้หนัก วันนี้เรียนถึงเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน” 

 

 

หลินหลันคิดว่าตนเองหูฟาดไปแล้ว ท่านแม่โจวพูดว่าวันนี้เรียนถึงเท่านี้ก่อนก็แล้วกันเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าพักเรียนไว้ถึงตรงนี้ก่อนหรอกหรือ นี่มันเพิ่งครึ่งวันเองหนิ! 

 

 

มองเห็นใบหน้านางซึ่งฉายสีหน้าแห่งอาการงุนงง แม่โจวจึงเอ่ยขึ้น “ช่วงบ่าย หมิงอวินเส้าเหยียต้องพาเจ้าไปร้านผ้าไหมเพื่อเลือกเสื้อผ้า” 

 

 

หลินหลันถึงได้ยิ้มขึ้นมาทันทีทันใด “ลำบากท่านแม่โจวมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านวางใจได้ ก่อนจากไป ข้ารับรองว่าจะเรียนรู้ได้ทุกสิ่งที่ท่านสอนไว้จงได้” 

 

 

แม่โจวมองอย่างสงสัยไปยังหลินหลัน พลางเอ่ยขึ้นในใจ นางทำได้ก็เกินไปแล้ว ต่อให้เจ้าร่ำเรียนเป็นเวลาหลายปีก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด แต่ถึงอย่างไร ในส่วนนี้แน่นอนว่าควรค่าแก่การชื่นชมอยู่หรอก แม่โจวพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่เอื้อนเอ่ยหรือแสดงสีหน้าใดๆ ก่อนจะนำสาวใช้เดินจากไป 

 

 

หลังมื้อกลางวันสิ้นสุดลง หลี่หมิงอวินก็มาถึง หลินหลันยังคงโกรธอยู่ในใจ เหลือบมองอย่างไม่สบอารมณ์ไปที่เขา แล้วจงใจทำเป็นมองสมุดจดบันทึกเล่มเล็กของตนเอง ไม่สนใจใยดีเขา 

 

 

“อะไรกัน ยังคงโกรธอยู่อีกหรือ” เขาเผยรอยยิ้มมุมปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น 

 

 

หลินหลันตวัดสายตาเหลือบมองไปอีกครั้ง “ไม่ต้องทำทีเสแสร้งเสียขนาดนี้ ยังไงตอนนี้ข้างนอกก็ไม่มีผู้ใดอยู่ เจ้าอยากจะพูดจาดูหมิ่นสตรีก็เชิญเจ้าพูดได้เลย” 

 

 

เขายิ้มออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงนั่น ราวกับว่ากำลังฟังหญิงคนรักที่กำลังงอนอย่างไงอย่างงั้น เผยให้เห็นความรู้สึกเอาแต่ใจอย่างชัดเจน 

 

 

“ข้าไม่กล้าพูด ข้าเกรงกลัวว่าเจ้าจะใส่ปาโต้วลงไปให้ข้า” หลี่หมิงอวินกลั้นหัวเราะ พูดอย่างตรงไปตรงมา 

 

 

หลินหลันพยายามเก็บมุมปากที่ยกขึ้น เอ่ยโดยแสร้งทำเป็นโกรธอย่างอย่างพึงพอใจ “นับว่าเจ้าเข้าใจสถานการณ์ของเจ้าเองดี” 

 

 

“เช่นนั้น…จะออกเดินทางกันได้หรือยังล่ะ” หลี่หมิงอวินเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างสอบถาม 

 

 

หลินหลันเดิมอยากจะพูดอีกซักสองประโยค เช่นหากมีครั้งหน้าอีก อย่าได้ตำหนิข้าด้วยคำพูดใจร้ายพวกนั้น แต่พอได้มองสีหน้าอบอุ่นของเขา นัยน์ตาที่แสนอ่อยโยน ท่าทางที่…ยังถือว่าจริงใจ จึงตัดสินใจปล่อยเขาไปก่อนแล้วกันครานี้ 

 

 

ทั้งสองคนที่เพิ่งจะออกจากลานบ้าน เห็นเพียงเสี่ยวเจี่ยสองคนที่แต่งตัวอย่างหญิงสาววัยไม่เกินสิบแปดปีเดินเข้ามา 

 

 

 

 

 

[1] ปาโต้ว (巴豆) จัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งใช้ประกอบเป็นยาถ่ายที่มีฤทธิ์แรง