ตอนที่ 57 หลักฐานแน่นหนา / ตอนที่ 58 ขายบุตรสาวแต่งงาน

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 57 หลักฐานแน่นหนา

ทว่าหากวันนี้ไปกับหูเฟิงจริงๆ เช่นนั้นไม่เท่ากับยืนยันความจริงที่ว่าตนเป็นภรรยาเด็กอย่างที่คนสกุลไป๋ว่าหรือ

อีกอย่าง นางไม่อยากจากไปอย่างไร้ความสามารถซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วกลับมาอย่างไร้ความสามารถครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ หากจะไป ก็ต้องตัดขาดกับสกุลไป๋อย่างเด็ดขาดก่อนแล้วค่อยไป

นางอยากจะไปให้ชัดเจน หลังจากนี้จะได้ไม่มีความกังวลอีก

เด็กสาวส่ายหน้าให้หูเฟิง “หูเฟิง ขอบคุณความหวังดีของเจ้ามาก ถึงอย่างไรสกุลไป๋ก็เป็นบ้านของพวกข้า เมื่อวานมีลมแรงและฝนตก พวกข้ารีบร้อน ถึงได้ไปอาศัยหลบที่เรือนไม้ของบ้านเจ้า วันนี้ไม่จำเป็นแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะไปเก็บกวาดเรือน น่าจะพอให้ข้าอยู่ได้”

หูเฟิงกลับไม่กังวลเรื่องนี้ เขาเพียงกังวลว่าพวกนางจะอยู่ต่อ แล้วหากคนสกุลไป๋ลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับพวกนางอีก เช่นนั้นคงไม่ดีแน่

ไป๋จื่อราวกับมองความกังวลของเขาออก จึงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไป๋จื่อไม่ใช่ว่ารังแกง่าย คนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ยังมีอะไรต้องกลัวอีกเล่า ผู้ใดต้องการให้ข้าตาย ข้าจะต้องลากทั้งตระกูลของเขาร่วมหลุมศพไปกับข้าด้วย” เมื่อนางกล่าวประโยคนี้ นางตั้งใจเพิ่มเสียง ทำเอาหญิงชราและหลิวซื่อหัวใจเต้นแรง นึกถึงภาพที่นางฟื้นจากความตายเมื่อวาน ตอนนี้คิดขึ้นมาก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ

ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองเรือนไม้ที่ถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง คิดว่าสถานการณ์ของสกุลไป๋ในตอนนี้ คาดว่าคงไม่มีใครช่วยสองแม่ลูกซ่อมเรือนแน่ เขาจึงถกแขนเสื้อขึ้น พลางกล่าว “ข้าช่วยเจ้าซ่อมเอง”

ไป๋จื่ออยากจะขอร้องเช่นนั้นแต่ก็ไม่กล้า เรือนหลังนี้พังทลายได้ทันทีที่ลมพัดมา นางไม่ชินกับชีวิตเช่นนี้ จ้าวหลานได้รับบาดเจ็บ คนสกุลไป๋ก็หวังพึ่งไม่ได้ เดิมทีนางกลัดกลุ้มเรื่องนี้ทีเดียว ทว่าหูเฟิงยอมช่วย นั่นก็เป็นเรื่องดียิ่งนัก

หญิงชรายังคงเสียดายเงินหกตำลึง บัดนี้เห็นไป๋จื่อกับจ้าวหลานเป็นหนามแทงตาแล้ว หากไม่ใช่เพราะจ้าวหลานได้รับบาดเจ็บ นางเด็กเจ้าเล่ห์ไป๋จื่อมีหูเฟิงคอยปกป้อง นางอยากจะตีพวกนางอย่างแรงสักครั้งจริงๆ เพื่อระบายอารมณ์โกรธที่อยู่ในอก

นางหันไปเห็นไป๋เสี่ยวเฟิงที่ยืนอยู่ตรงประตู จึงรีบก้าวไปหา แล้วดึงหลานชายเข้าไปในเรือนเล็ก “เสี่ยวเฟิง เจ้าเรียนหนังสือมา ย่อมรู้หลักการเยอะกว่าย่ามาก เจ้ารีบบอกย่าเร็ว ว่าที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดเมื่อครู่ ล้วนเป็นความจริงใช่หรือไม่ หากย่าไม่คืนหกตำลึงเงินให้ท่านหมอลู่ เขาจะนำหนังสือรับรองหนี้สินไปฟ้องร้องที่ศาลาว่าการใช่หรือไม่”

ปีนี้ไป๋เสี่ยวเฟิงอายุสิบสามปี เขาคิดว่าตนเองเรียนหนังสือมาสองปีแล้ว ต่อไปต้องสอบถึงจะเป็นข้าราชการได้ จึงเห็นว่าตนเองเป็นที่หนึ่งในตระกูล ไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตา ท่านย่าที่เอ็นดูเขาที่สุดก็เช่นกัน

“ท่านย่า ท่านช่างเลอะเลือนเสียจริง หลักฐานลายลักษณ์อักษรเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ตามใจชอบ เมื่อท่านลงลายนิ้วมือไปแล้ว นั่นเท่ากับเป็นหลักฐานแน่นหนา เมื่อครู่ข้าก็ยืนอยู่ตรงประตู ท่านกลับไม่ถามข้าสักคำ เพียงประทับลายนิ้วมือไปโดยตรง อีกทั้งไม่ให้ข้าดูว่าหัวหน้าหมู่บ้านเขียนว่าอะไรบ้าง หากเขาใช้หกตำลึงเงินค้ำบ้านหลังนี้ของพวกเราไว้ เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า”

หญิงชราโกรธจนตัวสั่น “หากลู่จ่างชุนกล้าทำเช่นนี้จริง ข้าก็จะนำชีวิตของข้าสู้สุดชีวิตกับเขา”

ไป๋เสี่ยวเฟิงส่ายหน้า พลางถอนใจว่า “ท่านย่า ท่านเตรียมเงินให้พร้อมเร็วหน่อยก็ดี ถึงตอนนั้นสกุลไป๋ของพวกเราไปยังศาลาว่าการ คงจะไม่มีเกียรติเหลือ ส่งผลกระทบถึงการสอบของข้านะ”

สำหรับหญิงชราแล้ว หลานชายเป็นของล้ำค่าของนาง แต่เงินเป็นชีวิตของนางนะ!

เมื่อวานเพื่อรักษาบาดแผลให้จ้าวหลาน ก็เสียเงินไปสองตำลึงแล้ว ตอนนี้นางต้องนำหกตำลึงเงินออกมาอีก นี่แตกต่างอะไรกับการเอาชีวิตของนางกัน

ไป๋ต้าเป่าเข้ามาใกล้ เขาพูดกับท่านย่าของตนว่า “ท่านย่า ตกลงกันแล้วว่าเดือนนี้จะให้ข้าแต่งงาน อย่าใช้เงินที่ใช้สำหรับงานแต่งของข้าหมดนะ ข้าไม่อยากเป็นโสดไปตลอด”

………..

ตอนที่ 58 ขายบุตรสาวแต่งงาน

หลิวซื่อประคองเจ้าใหญ่เข้าประตูไป เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางพลันกัดฟันกล่าวว่า “เดิมทีขอเพียงขายนางเด็กเจ้าเล่ห์ไปจื่อไป ก็คงได้เงินแต่งงานของต้าเป่ามาแล้ว ตอนนี้กลับกัน ขายคนไม่ได้ ยังต้องเสียเงินเหล่านั้นไปอีก”

จางซื่อก็ประคองสามีเข้าประตูเช่นกัน นางชำเลืองเห็นบุตรสาวไป๋เจินจูกำลังพิงประตู ยื่นหน้ามองออกไปข้างนอก ตรงที่นางมองอยู่ไม่ไกลนัก เป็นหูเฟิงที่กำลังเปลือยไหล่ซ่อมเรือนอยู่

ไป๋เจินจูหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาจ้องมองหูเฟิงตาไม่กะพริบ

นางออกไปข้างนอกน้อยนัก เคยได้ยินเพียงชื่อของหูเฟิง แต่กลับไม่เคยพบตัวเป็นๆ มาก่อน ยังคิดว่าเป็นชายหนุ่มร่างเตี้ยหน้าตาอัปลักษณ์ วันนี้ได้เห็นแล้ว กลับเป็นบุรุษรูปงามร่างสูงใหญ่ เพียงมองครั้งเดียวสติของนางก็กระเจิงไปจนหมด

ปีนี้นางอายุสิบห้า ถึงวัยแต่งงานพอดิบพอดี ที่บ้านให้นางไปดูตัวกับหลายรอบครัว ทว่านางไม่ชอบพอใคร หากอีกฝ่ายไม่ได้ยากจนข้นแค้นถึงขั้นอดอยาก ก็หน้าตาน่าเกลียดหาใดเปรียบ เทียบกับหูเฟิงที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้ ผู้ชายพวกนั้น ไม่คู่ควรแม้แต่ยกรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำไป

จางซื่อยื่นมือไปหยิกแขนของบุตรสาวครั้งหนึ่ง พลางพูดเสียงเบา “มองอะไร ไม่รู้จักอาย ยังไม่รีบกลับห้องไปอีก”

ไป๋เจินจูคอตกไปพร้อมกับหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะรีบวิ่งกลับห้องไป

หลิวซื่อเห็นภาพนี้พอดี โอกาสหัวเราะเยาะถากถางเช่นนี้ นางจะพลาดไปได้อย่างไร

“น้องสะใภ้ จูเอ๋อร์อยู่ในช่วงแตกเนื้อสาว เห็นบุรุษหล่อเหลาเข้า ก็ย่อมเกิดความรู้สึกรักอันยากจะหลีกเลี่ยง นี่เป็นเรื่องปกตินัก เจ้าก็อย่าจู้จี้จุกจิกกับบุตรสาวนักเลย”

สีหน้าของจางซื่อเปลี่ยนไปในทันที “สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดอะไรหรอกนะ จูเอ๋อร์เพียงแค่มองหูเฟิงเท่านั้น จะเกิดความรู้สึกรักได้อย่างไร อีกอย่าง ข้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของสะใภ้ใหญ่ หวั่นไหว หรือเห็นผู้ชายที่หน้าตาดีแล้วเกิดความรู้สึกรักอะไรนั่น ข้าจางซูเหมยไม่เคยประสบมาก่อน จูเอ๋อร์ยังเด็ก ยิ่งไม่รู้ประสาเรื่องพวกนี้ สะใภ้ใหญ่พูดออกมาเช่นนี้ได้ ดูท่าจะมีประสบการณ์เต็มเปี่ยมกระมัง”

หลิวซื่อไม่คาดคิดเช่นกัน ว่าน้ำเย็นกะละมังหนึ่งที่สาดออกไป จะย้อนกลับมาโดยตัวนาง…

“เอาล่ะๆ พูดให้น้อยๆ หน่อย ป่านนี้แล้ว พวกเจ้ายังต่อปากต่อคำกันอีก” ครั้งนี้แม่สามีปวดหัวนัก เส้นประสาทเจ็บแปลบเป็นระลอก คิดถึงเงินหกตำลึงก็รู้สึกโกรธจนตัวสั่นแล้ว

เจ้าใหญ่ถลึงตามองหลิวซื่อครั้งหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พูดมากนัก ชอบพูดจาเช่นนี้ เจ้าช่วยท่านแม่คิดแผนการ ดูสิว่าจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างไรไม่ดีกว่าหรือ”

หลิวซื่อแค่นหัวเราะ “ข้ามีแผนตั้งนานแล้ว เจ้าต่างหาก รู้จักแต่ใช้กำลัง หากไม่ใช่เพราะเจ้าลงมือกับหูจ่างหลิน พวกเราจะถูกลู่จ่างชุนหลอกเอาเงินได้อย่างไร”

หญิงชราได้ยินว่าสะใภ้ใหญ่มีแผน จึงรีบถามว่า “เจ้ามีแผนอะไร รีบพูดเร็ว”

หลิวซื่อยกยิ้ม “ความจริงเรื่องนี้จัดการง่ายนัก ทำตามที่พวกเราตกลงกันไว้ ให้นางเด็กไป๋จื่อแต่งงานไปสักตระกูล จัดการเรื่องงานแต่งของนาง เงินก็มาถึงมือแล้วไม่ใช่หรือ ข้าได้ยินมาว่า หมู่บ้านไป๋หยางที่อยู่ห่างออกไปห้าลี้ ผู้ชายเยอะ ผู้หญิงน้อย ในหมู่บ้านปราณหยินหนาหนัก ฮวงจุ้ยไม่ดีอย่างยิ่ง เหล่าหญิงสาวล้วนไม่ยอมแต่งเข้า พวกผู้ชายในหมู่บ้านเพื่อแต่งงานแล้ว จึงพากันหาเงินอย่างสุดชีวิต บัดนี้สิสอดแต่งภรรยาอย่างน้อยคือยี่สิบตำลึงเงิน ยี่สิบลบหก ยังเหลือสิบสี่ตำลึงเงินไม่ใช่หรือ แต่งภรรยาที่หมู่บ้านหวงถัวของพวกเรา เงินสินสอดสิบตำลึงก็เพียงพอแล้ว ถึงตอนนั้นยังเหลือสี่ตำลึงเงินไว้ร่ำสุราอีก”

ทุกคนในเรือนล้วนดีดนิ้วให้กับแผนการนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า ไป๋จื่อยืนอยู่ข้างนอกประตูใหญ่ ได้ยินทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง