ตอนที่ 25 นายน้อยเจวี้ยน ใกล้กันเกินไป

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ณ ห้องซ้อมดนตรีชั้นสอง 

 

 

ฉินอวี่ถือไวโอลินไว้ในมือ เธอเอียงคอ และคิ้วมุ่นเล็กน้อย 

 

 

เสียงไวโอลินนี้ออกจะเศร้าสร้อย ซึ่งต่างจากเพลงปกติที่ฉินอวี่บรรเลง 

 

 

นายน้อยสวีมองต่ำ เห็นได้ชัดว่าท่าทีเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เด็กหนุ่มยืนพิงด้านข้างไวโอลิน และเผลอเคาะนิ้วบนนั้นโดยไม่รู้ตัว 

 

 

รอบๆ ตัวเขาคือ บรรดาสภานักเรียนที่มาฟังเด็กสาวที่เก่งไวโอลินซ้อม 

 

 

เธอพูดไว้วันนี้ว่าต้องการจะฝึกเพลงใหม่ ทุกคนจึงมาเตรียมรออัดเสียงไว้ในมือถือ 

 

 

เสียงเพลงดังอยู่ประมาณนาที แล้วก็ตัดจบไปเสียดื้อๆ 

 

 

ดวงตาของสวีเหยากวงเต็มไปด้วยความมึนงง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี 

 

 

เมื่อเห็นว่าไม่ได้มีการเล่นต่อ เขาจึงหันหน้าไปพูดกับผู้ซ้อมไวโอลินด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าปกติ ดวงตาจ้องไปยังไวโอลินในมือของเพื่อนสาว “ทำไมถึงหยุดเล่นล่ะ” 

 

 

เด็กสาวกำไวโอลินในมือไว้แน่น แล้วยิ้มออกมาอย่างสดใส “ยังซ้อมได้ไม่ดีน่ะ ปกติฉันจะแอบซ้อม มันเลยยังออกมาไม่สมบูรณ์แบบ ไว้ฉันจะเล่นให้นายฟังอีกที หลังจากที่ฝึกไปได้สองสามครั้งละกัน” 

 

 

ทุกคนจากสภานักเรียนพูดเป็นเสียงเดียวว่าเพลงนี้ใช้ได้ และอยากให้ฉินอวี่เล่นต่อ เพราะคุณหนูคนนี้เล่นได้เก่งมาก 

 

 

สวีเหยากวงยืนเงียบๆ คิ้วที่ดูอบอุ่นส่อประกายความเย็นชา ไม่มีใครกล้าเข้าไปคุยกับเขา ยกเว้นเฉียวเซิงกับนักเรียนอีกไม่กี่คน 

 

 

นายน้อยสวีมีความรู้เรื่องไวโอลิน เพราะฉะนั้นเขาจึงฟังออก เสียงดนตรีของฉินอวี่ฟังดูสับสนไม่เป็นจังหวะ 

 

 

“ไม่เป็นไร เธอค่อยๆ ฝึกไปละกัน” หลานชายของอาจารย์ใหญ่ยืนขึ้น แม้ว่าใบหน้านั้นจะไม่มีรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนอยู่ “ถ้างั้น ฉันไม่กวนเธอละ” 

 

 

ฉินอวี่เดินมองอีกฝ่ายเดินจากไป 

 

 

แล้วจึงดึงเก้าอี้มานั่ง 

 

 

นักเรียนจากสภาคนอื่นๆ ออกไปพร้อมกับสวีเหยากวงแล้ว เหลือเพียงนักเรียนหญิงอีกไม่กี่คน 

 

 

“ทำไมเธอไม่เล่นต่อล่ะ” เด็กสาวหน้าตาแบ๊วฟังเสียงสับสนในเพลงไม่ออก เธอรู้แต่เพียงว่าดนตรีครั้งนี้เพราะมาก “ฉันว่ามันเพราะออก” 

 

 

“ใช่ ใช่” อู๋เหยียนที่ตีเนียนมาอยู่กับกลุ่มของเด็กสาวคนดังได้ รีบพูดเสริม 

 

 

ผู้ที่ซ้อมไวโอลินเอนพิงเก้าอี้ แล้วส่ายหน้าตอนที่ได้ยินคำพูดพวกนั้น เธอหลุบตาต่ำ โน้ตเพลงไวโอลินเพลงนี้สั้นและมั่วซั่วไปหมด ฉินอวี่ต้องจับต้นชนปลายทั้งคืน แต่ก็ยังจำไว้แค่บางส่วน 

 

 

เด็กสาวแทบจะบรรเลงมันไม่ได้ แต่เพราะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมในเพลง เธอจึงดำดิ่งไปกับเนื้อเพลงไม่ได้ 

 

 

แม้คนอื่นจะฟังไม่รู้ แต่เพื่อนคนสำคัญของเธอฟังออกอย่างแน่นอน มันฟังดูมืดมัวไปหมด เธอถึงได้หยุดเล่น 

 

 

เพราะโทนเสียงของโน้ตดนตรีทั้งเพลงอลังการมาก และยังมีสไตล์ส่วนตัวแฝงไว้อย่างมาก ผู้ที่ซ้อมมันครั้งนี้จึงนึกไม่ออกเลยว่าคนประเภทไหนกันที่ประพันธ์โน้ตเพลงแบบนี้ออกมาได้ 

 

 

ฉินอวี่สงสัย 

 

 

อู๋เหยียนไปยืนที่หน้าต่าง เตรียมจะเปิดม่าน แต่มองไปเห็นเด็กใหม่ที่ชั้นล่างเสียก่อน 

 

 

“ทำไมแม่นี่ถึงอยู่ที่นี่” โทนเสียงของผู้พูดแสดงความไม่พอใจค่อนข้างชัด และค่อนข้างเอาเรื่อง 

 

 

แม่ดาวโรงเรียนคนใหม่คนนี้อาจจะชื่อเสียงดีในบรรดานักเรียนขาย แต่สำหรับพวกผู้หญิงแล้ว เธอเป็นหัวข้อนินทา โดยเฉพาะเรื่องที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนมาได้หนึ่งปี หลังมีเรื่องทะเลาะวิวาท 

 

 

เด็กหน้าแบ๊วชำเลืองดู แล้วเห็นนายน้อยเฉียวกำลังวิ่งตามนักเรียนใหม่คนนั้น เธอบีบนิ้วแน่นโดยไม่รู้ตัว “ทำไมเฉียวเซิงถึงเล่นกับยัยนั่น” 

 

 

“อ๋อ เขากำลังล้อแม่นั่นอยู่” ตัวแทนภาษาอังกฤษพูดอย่างสะใจ “รู้ไหม ยัยนี่ส่งการบ้านวิชาอังกฤษ แล้วได้คะแนนศูนย์ แถมยังได้เป็นดาวโรงเรียนอยู่อีก ฉินอวี่น่ะได้ตั้ง 117 คะแนนแน่ะ สูงกว่าของยัยนี่เป็นไหนๆ” 

 

 

เดิมทีเด็กสาวที่เพิ่งซ้อมดนตรีอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องโน้ตไวโอลินนั่น 

 

 

แต่พอได้ยินที่เพื่อนในกลุ่มพูด จู่ๆ เธอก็กลับมาอารมณ์ดี ฉินอวี่คลี่ยิ้มเล็กน้อย “นี่ ทำไมพวกเธอถึงเปรียบเทียบแบบนั้นล่ะจ๊ะ ไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบสักหน่อย” 

 

 

** 

 

 

ที่ชั้นล่าง 

 

 

เด็กสาวที่เพิ่งมาถึงอยากจะฟังต่อ ทว่าเสียงเพลงนั้นหยุดไปแล้ว ทำให้เด็กสาวหน้าสวยไม่แน่ใจ 

 

 

ประกอบกับที่เฉียวเซิงและสวีเหยากวงเดินลงมาพอดี ฉินหร่านจึงยืนคิด แล้วตัดสินใจไปที่ห้องเรียน 

 

 

ระหว่างนั้นหนุ่มช่างจ้อวิ่งตามเพื่อล้อเธอ 

 

 

เด็กสาวที่ถูกล้อเลื่อนหมวกลงมาต่ำ แล้วหยิบหูฟังออกจากกระเป๋ามาใส่ด้วยท่าทางสุดเท่ 

 

 

เพื่อนหนุ่มช่างล้อเอนเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น พูดเสียงดังกว่าเดิม แล้วล้อเลียนเพื่อนใหม่ต่อ 

 

 

อีกฝ่ายยื่นมือมาปรับหูฟัง เธอเอียงคอ แล้วยื่นนิ้วเป็นสัญญาณให้เขา “หุบปาก” 

 

 

ดวงตาเย็นชาคู่นั้นมองไปที่เพื่อนที่ล้อเธออยู่ 

 

 

เฉียวเซิง “…” 

 

 

เขาค่อยๆ ก้าวถอยไปอย่างเงียบๆ 

 

 

ส่วนเด็กสาวที่ฟังหูฟังเดินไปตึกเรียนต่อด้วยท่าทีเกียจคร้าน 

 

 

ที่ห้องเรียน หนุ่มช่างจ้อดึงใบคะแนนของเพื่อนใหม่ออกมาจากหนังสือ แล้วยื่นให้เธอ 

 

 

เขายืนพิงโต๊ะด้านหน้าเด็กสาวคนสวยเพื่อพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะเธอ ส่วนฉินหร่านยังคงไม่สนใจเขา 

 

 

เด็กสาวนั่งลง แล้วเอนพิงกำแพง ก่อนจะหยิบหนังสือนอกเวลาเรียนออกมาจากใต้โต๊ะด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถืออมยิ้มไว้ 

 

 

เมื่อโยนหนังสือลงบนโต๊ะได้ ดาวโรงเรียนค่อยๆ แกะซองอมยิ้มออก แล้วนำมันเข้าปาก 

 

 

เด็กสาวยังคงเอนหลังพิงกำแพงต่อด้วยท่าทีเกียจคร้าน ค่อยๆ เปิดหนังสือไปทีละหน้า คิ้วคู่นั้นดูยกสูงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อมองจากด้านข้าง 

 

 

“นี่ไม่เด็กไปหน่อยเหรอ กินอมยิ้มเนี่ย” เพื่อนร่วมห้องขี้เล่นอดถามไม่ได้ 

 

 

อีกฝ่ายยังคงเปิดอ่านไปทีละหน้าอย่างไม่รีบร้อน บางทีอาจเป็นเพราะเธออารมณ์ดีอยู่ จึงไม่ได้ทำท่าทีปิดและเย็นชาเหมือนก่อน ผู้ที่อ่านหนังสือพูดขึ้นช้าๆ “เกี่ยวไรกับนายล่ะ ไสหัวไปเลยไป๊” 

 

 

เพื่อนหนุ่มถูจมูกตัวเอง แล้วกลับไปนั่งที่ตัวเองโดยโน้มตัวลงมาบนโต๊ะเรียน เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงสะกิดเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งทำแบบฝึกหัดอยู่ นายน้อยสวี นายอยากไปร้านค้าหลังโรงเรียนเลิกไหม“” 

 

 

เพื่อนสนิทที่ถูกถามไม่ได้อยากไป แต่เขาพร้อมจะทำเพื่อเพื่อนสนิทที่เป็นเหมือนพี่น้องคนนี้ เขาคิดว่าเพื่อนขี้เล่นคนนี้ดูท่าจะหิว “อืม” 

 

 

** 

 

 

พอตกเย็น ฉินหร่านไปที่ห้องพยาบาลของโรงเรียน 

 

 

ครั้งนี้ ผู้ช่วยลู่ดูมีท่าทีปกติขึ้นมา 

 

 

เขากำลังรักษาคนไข้อยู่ เด็กสาวจึงไม่ได้สนใจเขา แล้วตรงไปยังครัวเพื่อทำอาหารเย็นทันที 

 

 

ตอนที่เด็กสาวพาร์ตไทม์เดินออกมา ชายหนุ่มคนเดิมกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอก 

 

 

ในขณะที่เธอหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะขึ้นมาเช็ดมือ สายตาเธอเหลือบไปเห็นยาประเภทต่างๆ ที่อยู่ในชั้นเก็บยา มียาเพิ่มมากกว่าตอนที่เด็กสาวเห็นมันครั้งแรก และดูเหมือนไม่ใช่ยาทั่วไปด้วย 

 

 

ฉินหร่านไม่สนใจว่าจะมียามากมายแค่ไหน สายตาของเธอมองแต่ที่ยานอนหลับ 

 

 

เฉิงเจวี้ยนที่กำลังมองคอมพิวเตอร์อยู่ พอเห็นแบบนี้ เขาไม่ได้คิดอะไรมาก จึงเดินมาพร้อมกุญแจตู้ยา 

 

 

หมอหนุ่มเอื้อมตัวเปิดประตูชั้นเก็บยา ตัวเอนมาด้านข้างเล็กน้อย แล้ววางนิ้วมือบนขวดยานอนหลับ นิ้วนั้นเรียวยาวและดูผ่อนคลาย “ยารอบที่แล้วหมดแล้วเหรอ” 

 

 

ชายหนุ่มผู้นี้มีน้ำเสียงเนิบ มันเป็นเสียงที่ฟังดูเกียจคร้าน เอื่อยเฉื่อย และทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้ 

 

 

“ค่ะ” ฉินหร่านพยักหน้ารับ 

 

 

นายน้อยเจวี้ยนก้มหน้าอีกครั้งเพื่อนับยาให้อีกสิบเม็ดด้วยท่าทีจริงจัง 

 

 

จากนั้น เขาก็เดินไปหยิบถุงกระดาษ 

 

 

ชั้นเก็บยานี้อยู่หลังโต๊ะของผู้ช่วยลู่พอดี ทำให้หมอหนุ่มเดินมาที่ชั้นได้ในก้าวเดียว 

 

 

หมอหน้าหล่อเอื้อมมือเหนือฉินหร่านเพื่อหยิบถุง 

 

 

เธอเพียงได้กลิ่นสะระแหน่จางๆ มันเป็นกลิ่นที่อบอุ่นและสงบ จนเธออยากจะเข้าใกล้กลิ่นนั้นมากขึ้น 

 

 

ลมหายใจอุ่นๆ ที่หายใจรดด้านข้างของเธอทำให้เด็กสาวรู้สึกร้อนวาบเล็กน้อย 

 

 

เด็กพาร์ตไทม์จึงค่อยๆ ถอยหลังกลับเงียบๆ 

 

 

อีกฝ่ายมัวแต่คิดเรื่องข้อมูลจึงไม่ทันสังเกตว่ามีอะไรผิดปกติ 

 

 

พวกเข้าอยู่ใกล้กันเหลือเกิน 

 

 

เฉิงเจวี้ยนคว้าถุงกระดาษได้ แล้วหันมาด้านข้าง 

 

 

เขานำยาใส่ถึง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีก แต่ยังคิดถึงฉากร้อนผ่าวเมื่อครู่ในใจ 

 

 

วันนี้เด็กสาวไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน เธอสวมเพียงเชิ้ตขาวที่เผยให้เห็นลำคอที่งอเล็กน้อย และกระดูกไหปลาร้ารางๆ 

 

 

บนไหล่นั้น รอยสักสีแดงโผล่ออกมาให้เห็นเล็กน้อยราวกับยอดภูเขาน้ำแข็ง 

 

 

สีแดงที่ตัดกับผิวของอีกฝ่ายทำให้ผิวเธอดูขาวกว่าเดิม และเข้ากับความรู้สึกแข็งแกร่งของความสดใสและความงามของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี 

 

 

เขานึกไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนสักให้เธอ 

 

 

“เรียบร้อย” หมอสุดหล่อไม่กล้าชำเลืองมอง เขายื่นถุงยาที่ห่อไว้ให้เด็กสาว และอดไม่ได้ที่จะพูด ตอนที่เห็นใบหน้าที่มีความสุขของอีกฝ่าย “อย่ากินเยอะเกินไปล่ะ” 

 

 

“ขอบคุณค่ะ” เด็กพาร์ตไทม์กล่าวขอบคุณ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งที่เพิ่งออกไปรับสายข้างนอก เดินกลับเข้ามาแล้วพูดขึ้นทันทีว่า “นายน้อยเจวี้ยน คอมฯคุณพร้อมยัง” 

 

 

“เกือบแล้ว” ผู้เป็นนายโยนคอมพิวเตอร์ให้ผู้ช่วย เขาไม่ได้ใจเย็นนัก “นายเอาไปดูเองก็แล้วกัน” 

 

 

“แม่งเอ๊ย พวกนั้นเร่งเราอยู่ได้” ลู่จ้าวอิ่งมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังมีตัวเลขแปลกๆปรากฏอยู่เยอะเต็มไปหมด “โอเค ผมจะไปหาผู้อาวุโสสวี ที่นี่ไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องเทคนิคนัก” 

 

 

แล้วผู้ช่วยหนุ่มก็เดินจากไปพร้อมคอมพิวเตอร์ 

 

 

ฉินหร่านหยิบเสื้อโค้ต และกำลังเตรียมตัวจะเดินไป แต่พอเห็นว่าลู่จ้าวอิ่งดูกังวลใจขนาดไหน เด็กสาวจึงหยุดเดิน แล้วหันหลังมาพูดว่า “อันที่จริง…”