ตอนที่ 29 หลับสนิท

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่ 29 หลับสนิท

 

ในขณะที่หลี่ฮั่วเฉินกําลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฉีเล่ยก็เขียนใบสั่งยาเสร็จพอดี หลังจากที่ตรวจทานอีกครั้งว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็ได้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับยื่นใบสั่งยาฉบับนั้นให้กับหลี่ฮั่วเฉินด้วยกิริยาถ่อมเนื้อถ่อมตัว พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“ท่านหมอหลี่ครับ ได้โปรดช่วยตรวจทานอีกครั้งว่า ใบสั่งยาฉบับนี้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?”

 

การแสดงออกของฉีเล่ย เหนือความคาดหมายของหลี่ฮั่วเฉินเป็นอย่างมาก!

 

นั่นเพราะหากจะพูดกันตามตรง เขาเป็นแพทย์เฉพาะทางแผนปัจจุบัน มีหรือที่จะเข้าใจทักษะทางการแพทย์แผนจีนได้อย่างกระจ่างแจ้ง?

 

แต่ท่าทางการแสดงออกของฉีเล่ยเวลานี้ ได้ทําให้หลี่ฮั่วเฉินพอใจเป็นอย่างมาก และความรู้สึกไม่พอใจก่อนหน้านี้ก็ได้อันตรธานหายไปในทันที!

 

“อืมม ใบสั่งยาฉบับนี้สมบูรณ์ดี!”

 

หลี่ฮั่วเฉินรับใบสั่งยามาอ่านดู ก่อนจะพยักหน้า และตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เอาล่ะๆ รีบนําใบสั่งยาฉบับนี้ไปจัดยามาได้เลย!”

 

จากนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็ได้ยื่นใบสั่งยาฉบับนั้นคืนให้กับฉีเล่ย หลัง จากชายหนุ่มรับไปแล้ว ก็ได้พูดขึ้นว่า

 

“ในเมื่อท่านหมอหลี่เห็นด้วยแบบนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก!”

 

หลี่ฮั่วเฉินยืนเอามือไพล่หลังเช่นเคย และเวลานี้ เขาก็รู้สึกสบายใจ แล้วก็มีความสุขอย่างมาก ภายในใจก็แอบคิดว่า

 

“หมอหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! แม้จะมีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศ แต่กลับอ่อนน้อมถ่อมตนไม่เย่อหยิ่งจองหอง!”

 

หลี่ฮั่วเฉินนึกเปรียบเทียบกับตนเอง ในสมัยที่ยังหนุ่มยังแน่นเหมือนกับฉีเล่ย เขาเองก็ไม่ได้สง่างามเหมือนอย่างที่ชายหนุ่มเป็นอยู่ นเวลานี้เลย หลี่ฮั่วเฉินรู้สึกว่า นายแพทย์หนุ่มคนนี้ช่างน่าจับตามองอย่างมาก!

 

จ้าวโจวเฉินถึงกับกังวลใจ เพราะเขายังไม่มีโอกาสแสดงฝีมือให้หลี่ฮั่วเฉินได้เห็นเลยแม้แต่น้อย หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดผู้อํานวยการโจวก็ตัดสินใจก้าวเท้าออกมาข้างหน้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“ท่านหมอหลี่ครับ เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของคนไข้ พวกเราควรจะปรึกษาหารือกันก่อนดีมั้ยครับ? ในโรงพยาบาลของเราก็มีแพทย์แผนจีนอยู่หลายคน ผมจะเรียกพวกเขาขึ้นมาให้ความเห็นเพิ่มเติม…..”

 

หลังจากที่ได้ยินคําพูดของผู้อํานวยการจ้าว หลิวเฟิงเจิ้นก็โกรธจนแทบอยากจะลุกขึ้นไปตบหน้าเขาสักสองสามที่

 

“หึ! ฉันนอนอยู่ในโรงพยาบาลตั้งนาน ทั้งที่โรงพยาบาลก็มีหมอแผนจีน แต่กลับนิ่งเงียบไม่แนะนําให้ฉันรักษาด้วยวิธีนี้ มิหนําซ้ํายังยืนยันว่า ต้องรักษาด้วยการให้ยาเท่านั้น นี่เห็นฉันเป็นตัวตลกหรือยังไงกัน?”

 

“ไม่จําเป็น! ไม่ต้องปรึกษาหารืออะไรอีกแล้ว! ฉันจะกินยาตามใบสั่งยาของคุณหมอท่านนี้!”

 

หลิวเฟิงเจิ้นไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก จึงได้ร้องตะโกนแทรกขึ้นมา เธอได้แต่คิดในใจว่า “ขืนฉันเชื่อหมอพวกนี้อีก คงต้องนอนอยู่โรงพยาบาลอีกนานแน่!”

 

หลี่ฮั่วเฉินเองก็รู้สึกไม่พอใจกับท่าทางของจ้าวโจวเฉินเช่นกัน จึงได้ร้องถามออกไปว่า

 

“ทําไมยังต้องปรึกษาหารืออีก? เสียเวลา! ในเมื่อผมก็ดูใบสั่งยานั่นแล้ว และเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร! หรือคุณคิดว่าการตัดสินใจของผมไม่น่าเชื่อถือ? นี่คุณคลางแคลงในความสามารถของผมงั้นเหรอผู้อํานวยการโจว?”

 

จ้าวโจวเฉินยังไม่รู้ตัวว่าการแสดงออกของตนเองเวลานี้ ได้สร้างความไม่พอใจให้กับหลิวเฟิงเจิ้นเป็นอย่างมาก เขาจึงได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยอาการคนไข้ออกมา

 

“คุณหลิวครับ! ผมเป็นคนรับผิดชอบดูแลการรักษาครั้งนี้นะครับ คุณควรจะเชื่อคําพูดของผม!”

 

หลิวเฟิงเจิ้นถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เธอหันหน้าเมินมองไปทางอื่น และพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชาว่า

 

“ยังจะกล้าเสนอหน้ามาพูด!”

แม้ว่าเสียงของหลิวเฟิงเจิ้นจะไม่ดังนัก แต่ทุกคนในห้องต่างก็ได้ยินกันชัดเจน จ้าวโจวเฉินถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เวลานี้ใบหน้าของเขาแดงสลับกับซีดขาว และได้แต่ยืนนิ่งทําอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าตนเองควรจะยืนอยู่ต่อ หรือว่ารีบออกไปจากห้องดี

 

นั่นเพราะวันนี้ เขาถูกทําให้ได้รับอับอายหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งแทบไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีของผู้อํานวยการโรงพยาบาลแล้ว

 

แพทย์คนอื่นๆที่อยู่ในห้อง ต่างก็หันไปมองจ้าวโจวเฉินเป็นตาเดียว!

 

ทุกคนต่างก็นึกประหลาดใจว่า เพราะเหตุใดผู้อํานวยการจ้าวถึงได้ทําอะไรแบบนี้? ในเมื่อเวลานี้ แพทย์ฝึกหัดก็สามารถหาวิธีการรักษาคุณนายหลิวได้แล้ว และหลิวเฟิงเฉินเองก็ดูมั่นอกมั่นใจในตัวนายแพทย์หนุ่มมาก ถึงกับยืนกรานที่จะกินยาตามใบสั่งยาของเขา

 

การที่ผู้อํานวยการโจวกระโดดเข้าไปขัดขวางเช่นนั้น ดูคล้ายกับว่าไม่ได้ห่วงใยอาการของคนไข้เลยแม้แต่น้อย!

 

หลี่ฮั่วเฉินส่ายหน้าไปมา และได้แต่นึกสมเพชจ้าวโจวเฉิน พร้อมกับคิดในใจว่าความรู้ความสามารถแบบนี้ กลับได้เป็นถึงผู้อํานวยการโรงพยาบาลได้อย่างไรกัน?

 

ทางด้านไต่คุนซึ่งอยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอด เขาได้เห็นกระบวนการเริ่มต้นตั้งแต่ที่นี่เลยช่วยให้ภรรยาของตนหายเจ็บปวด จนกระทั่งเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจรักษา การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนของฉีเล่ย ได้เข้ามาทดแทนวิธีการรักษาของท่านหมอหลีได้ทันเวลา ทําให้เขารู้สึกโล่งใจได้เป็นอย่างมาก

 

“ท่านหมอหลี่ ผมต้องขอขอบคุณมากสําหรับวันนี้ หากไม่มีธุระอะไรรีบร้อนที่ปักกิ่ง กรุณาอยู่ที่นี่ต่อสักสองสามวัน ผมจะได้มีโอกาสเลี้ยงรับรองท่านหมอหลี่ เพื่อเป็นการตอบแทนบ้าง!”

 

ท่านผู้ว่าไต่คุนเอ่ยเชื้อเชิญหลี่ฮั่วเฉินด้วยตัวเอง

 

“ท่านผู้ว่าอย่าได้เกรงใจไปเลย! นี่เป็นเรื่องของหน้าที่ความรับผิดชอบ!

 

ท่านหมอหลี่ทําสีหน้าลําบากใจ ก่อนจะพูดต่อทันที “ความจริงผมเองก็ยังอยากจะอยู่หนานเจียงต่ออีกสักสองสามวัน แต่บังเอิญว่ามีเรื่องสําคัญมากคอยผมอยู่ที่ปักกิ่ง…”

ไต่คุนจึงได้เลิกคะยั้นคะยอพร้อมกับตอบไปว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ไว้รอให้เฟิงเจิ้นอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะให้เธอเดินทางไปขอบคุณท่านหมอหลี่ที่ปักกิ่งด้วยตัวเอง!”

 

“ความจริงแล้ว หากไม่ได้คุณหมอฉีช่วยในวันนี้ ผมเองก็คงจะไม่สามารถทํางานใหญ่นี้ได้สําเร็จ! หากจะขอบคุณ ก็ต้องขอบคุณคุณหมอหลี่!”

เห็นได้ชัดว่า หลี่ฮั่วเฉินเองก็เป็นคนใจกว้าง และไม่ต้องการที่จะฉกฉวยเอาผลงานของนี่เลยมาเป็นของตัวเอง จึงได้บอกกับไต่คุนไปเช่นนั้น

 

และไม่รู้ว่าตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ทุกคนในห้องต่างก็หันไปมองจ้าวโจวเฉินอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะหันไปมองหลี่ฮั่วเฉินอีกครั้ง..

 

จ้าวโจวเฉินอับอายจนไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้อีก จึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า “ในเมื่อทุกคนเห็นด้วยกับการรักษาครั้งนี้ ผมขอตัวออกไปดูคนไข้คนอื่นต่อ..”

 

หลังจากพูดจบ ผู้อํานวยการจ้าวก็รีบเดินออกไปจากห้องคนไข้ทันที!

 

ส่วนไต่คุนก็หันไปทางเลขานุการของหลิวเฟิงเจิ้น พร้อมกับสั่งว่า “คุณหวัง เดี๋ยวคุณตามออกไปช่วยคุณหมอฉีจัดยาด้วย!”

แพทย์ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความตกใจ นั่นเพราะเวลานี้ เลขานุการส่วนตัวของภรรยาท่านผู้ว่าไต่คุน กําลังจะเปลี่ยนมาเป็นผู้ช่วยของแพทย์ฝึกหัดคนหนึ่ง

 

“ไม่เป็นไรครับ! เดี๋ยวผมไปจัดการเอง” ฉีเล่ยรีบโบกมือปฏิเสธทันที

 

“เชิญค่ะคุณหมอฉี!”

 

แต่เลขาหวังกลับยกฝ่ามือขึ้นผายออก พร้อมกับโน้มตัวลงเล็กน้อย เป็นการเชื้อเชิญให้ฉีเล่ยเดินออกไปอย่างสุภาพนอบน้อม ฉีเล่ยไม่มีทางเลือก จึงต้องเดินนําออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก

 

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดเลขาหวังก็ได้เดินถือถุงใส่ยากลับมาพร้อมกับฉีเล่ย ซึ่งถือถ้วยยามาในมือ

 

เขาเดินเข้าไปหาหลิวเฟิงเจิ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยานี้ค่อนข้างมีรสขม แต่ผมได้ทําให้อุ่นกําลังพอดี คุณสามารถกระดกเข้าไปรวดเดียวได้ หลังจากทานยาถ้วยนี้แล้ว อาการของคุณก็จะดีขึ้นในทันที”

 

หลังจากได้ยินคําพูดของฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินจึงไม่ต้องการรีบร้อนออกไปจากห้องผู้ป่วยนัก เขาอยากอยู่ดูอาการของคนไข้หลังจากที่ได้ดื่มยาถ้วยนี้ก่อน ภายในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า หมอหนุ่มคนนี้ออกจะโอ้อวดไป ต่อไปให้ยาถ้วยนี้จะดีขนาดไหน ก็คงไม่ถึงกับให้ผลที่เห็นทันตาแน่..

 

หลิวเชิงเฉินเองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ เธอแตะริมฝีปากกับยาในถ้วยดู และพบว่าอุณหภูมิของยานั้นกําลังอุ่นพอดี ไม่ร้อน แล้วก็ไม่เย็นจนเกินไป สามารถดื่มได้รวดเดียวอย่างที่ฉีเล่ยบอกจริงๆ

 

หลังจากดื่มยาถ้วยนั้นแล้ว เธอก็นอนราบลงไปบนเตียง เพื่อรอดูว่า หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอบ้าง?

 

เวลานี้ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่สีหน้าของหลิวเฟิงเจิ้น และรู้สึกลุ้นไปด้วยอย่างตื่นเต้น

 

สิบนาทีต่อมา เสียงท้องของหลิวเฟิงเจิ้นก็ร้องดังครืดๆ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

 

ดูเหมือนอาการจะแย่ลง!

 

ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็ใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากร่าง และได้แต่คิดในว่า “นี่คุณนายหลิวกําลังจะถ่ายอีกครั้งแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

พยาบาลที่ดูแลอยู่รีบวิ่งเข้าไปที่เตียงของหลิวเฟิงเจิ้น เพื่อที่จะช่วยพยุงร่างของเธอไปเข้าห้องน้ํา แต่หลิวเฟิงเจิ้นกลับยกมือขึ้นห้าม เป็นการส่งสัญญาณบอกว่า เธอยังทนไหว..

 

“ไม่ต้องรีบๆ รอดูอีกสักครู่!”

 

ทุกคนในห้องต่างพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และได้แต่รอคอยต่อไปว่า หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น?

 

จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง

 

ไม่เพียงหลิวเฟิงเจิ้นไม่ถ่าย อาการปวดท้องเมื่อครู่นี้ก็ดูเหมือนจะหายไปด้วย เพราะเวลานี้ สีหน้าที่ดูเจ็บปวดเมื่อครู่นั้นค่อยๆจางหายไป คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น ค่อยๆคลายออกจากกัน

 

และท้ายที่สุด สิ่งที่ทุกคนได้ยินก็คือเสียงกรน..

 

คร่อก..

 

หลิวเฟิงเจิ้นนอนหลับสนิท!

 

*********************************************************************

 

เขาคือนักฆ่าอันดับหนึ่งในโลกของวงการทหารรับจ้าง ฉายาของเขาคือ “นักฆ่าอาซูร่า”

 

ศัตรูได้ยินเพียงแค่ชื่อของเขา ก็ถึงกับหวาดกลัวจนหัวหด!!

 

เขามีทักษะทางด้านการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา “เก้าเข็มเปิดนภา” ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศอย่างไร้ที่ติของเขานี้ ได้ช่วยชีวิตของผู้คนในสนามต่อสู้ไว้ได้มากมายอย่างนักไม่ถ้วน

 

และด้วยความบังเอิญ เขาได้กลายมาเป็นลูกเขยของตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง

หลายคนอาจคิดว่าการเป็นลูกเขยในตระกูลที่ร่ํารวยมั่งคั่งเช่นนี้ คงจะต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสูและถูกเหยียดหยามสินะ?

 

แต่มิใช่หลินหนาน!! เขาคือลูกเขยที่พ่อตารักยิ่ง และกลายเป็นลูกเขยผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองนี้

 

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป. ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด

 

จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆบ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..