บทที่ 30 สำนักศึกษาประจำอำเภอ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้ถังรู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของตนเอง แต่พอนางคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ก็รู้สึกปวดใจทุกที 

 

 

อาเสาที่มาเป็นเพื่อนนางกลับไม่พอใจอย่างมาก เอ่ยว่า “คุณหนู ข้าจะไปจับเขากลับมา เด็กคนนั้น พูดจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? สกุลเขาเกิดเรื่อง แล้วจะมาโยนบาปให้สกุลเราหรือ” 

 

 

อวี้ถังดึงเขาไว้ เอ่ยว่า “เขายังเด็ก จู่ๆ ต้องมาเสียพี่ชายไป ย่อมจะทำใจไม่ได้ พูดจาเหลวไหลไปบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าอย่าโวยวายเพราะเรื่องนี้ ผู้ใหญ่ของสองสกุลรู้เข้าคงต้องเสียใจแน่” 

 

 

ชาติก่อน หลังจากที่บิดามารดาตาย นางเคยพาลโกรธทุกคน รวมไปถึงสกุลเผยด้วย คิดว่าหากไม่ใช่เพราะหน่วยลาดตระเวนของสกุลเผยทำงานบกพร่อง แล้วถนนฉางซิ่งจะถูกไฟไหม้ได้อย่างไร? ทว่าหน้าที่ลาดตระเวนยามวิกาลเดิมก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของสกุลเผย สกุลเผยแค่เพราะเห็นว่าบนถนนฉางซิ่งเป็นร้านค้าของตนเสียส่วนใหญ่ ถึงได้ช่วยเหลือลาดตระเวนให้กับพวกเขาที่มีร้านค้าและมีกิจการอยู่บนถนนฉางซิ่งไปด้วย สุดท้ายพอสกุลนางเกิดเรื่อง นางก็ยังแอบกล่าวโทษสกุลเผยในใจอีก 

 

 

อาเสาไม่อาจไปตามหาเว่ยเสี่ยวชวน ปากจึงได้แต่งึมงำพูด เวลานั้นพลันได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจของบุรุษดังขึ้นที่ข้างหูอวี้ถัง “แม่นางอวี้?” 

 

 

อวี้ถังหันไปมองตามเสียง กลับเป็นหลี่จวิ้น 

 

 

เขาสวมชุดคลุมหลวมสีน้ำเงินลายเมฆ ผมดำขลับรวบมัดขึ้นสูง ปักด้วยปิ่นหยกขาว หน้าผากสะอาดเกลี้ยงเกลา ดวงตากระจ่างใส เทียบกับครั้งก่อนแล้วดูจะแต่งตัวมีอายุกว่ามาก 

 

 

“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!” หลี่จวิ้นมีความยินดีแผ่กระจายเต็มหน้า แล้วรีบเอ่ยว่า “ข้ามองจากไกลๆ เห็นว่าคล้ายเจ้า ตอนนั้นพลันไม่เชื่อสายตาตัวเอง เจ้ามาทำอะไรที่สำนักศึกษาหรือ? มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?” 

 

 

อวี้ถังหันไปยิ้มให้เขาอย่างเกรงใจ ตอบว่า “ไม่มีอะไร แค่มาเยี่ยมน้องของญาติเท่านั้น” 

 

 

ดวงตาของนางยังมีร่องรอยผ่านการร้องไห้มาก่อน 

 

 

หลี่จวิ้นพลันชะงักสิ่งที่อยากพูดไป 

 

 

อวี้ถังบอกลาเขา 

 

 

หลี่จวิ้นรีบเรียกนางไว้ เอ่ยอย่างจริงใจว่า “แม่นางอวี้ ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไร สามารถพูดกับข้าได้จริงๆ นะ ปกติข้าจะอยู่ที่สำนักศึกษาจังหวัดด้วยติดตามท่านพี่ชายมาเล่าเรียน แต่ว่าสำนักศึกษาอำเภอนี้มีท่านเฉินซ่านเหยียน ซึ่งเป็นญาติผู้น้องของบิดาเฉินฟางมาบรรยาย เขาเป็นทั่นฮวา[1]ในปีจี๋เหม่า และเคยเป็นมหาบัณฑิตของสำนักฮั่นหลิน[2]มาก่อน แตกฉานในตำราคัมภีร์ ภายหลังเบื่อหน่ายกับการแก่งแย่งในวงขุนนาง ถึงได้ตอบรับคำเชิญของสกุลเผยมาเป็นอาจารย์ธรรมดาๆ อยู่ที่เมืองหลินอันแห่งนี้ เขาเป็นคนมีวิชาความรู้ เป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของพี่ชายข้า แม้ว่าข้าทำไม่ได้ แต่สามารถขอท่านพี่ข้าให้ออกหน้าช่วยเจ้าขอพบอาจารย์เฉินได้” 

 

 

อวี้ถังงงงวยไปหมด 

 

 

สองชาติที่ผ่านมา นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าสำนักศึกษาประจำอำเภอแห่งเมืองหลินอัน ที่แท้มีมังกรหลับซ่อนตัวอยู่ด้วย 

 

 

หลี่จวิ้นพลันตื่นเต้นขึ้นมาโอ้อวดต่อว่า “แม่นางอวี้ ข้าติดตามท่านพี่มาทางนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าโจวจื่อจินก็มาที่หลินอันเช่นกัน แต่ว่า เจ้าอาจจะรู้อะไรไม่มาก ใต้เท้าโจวได้เป็นจ้วงหยวนในปีเหรินอู่ เป็นลูกหลานสายหลักของสกุลโจวแห่งหนานทง ท่านปู่ของเขาเป็นราชครู บิดาเขาเคยเป็นโซ่วฟู่[3] พี่ชายคนโตของเขาคือเจ้ากรมขุนนางคนปัจจุบัน เขายังมีท่านอาอยู่ที่ศาลต้าหลี่ ตัวเองก็เคยเป็นจี้ซื่อจง[4]อยู่กรมอาญา ทั้งสกุลล้วนแต่เป็นเลิศ เขามาหลินอันเพื่อเยี่ยมเยียนนายท่านสาม นายท่านสามเจ้าคงรู้จักอยู่แล้ว ก็คือเผยสยากวง เผยเยี่ยน ใต้เท้าโจวรู้ว่าท่านเฉินจะมาบรรยายที่สำนักศึกษาอำเภอ เลยตั้งใจมาคารวะท่านเฉินพร้อมกับนายท่านสามด้วย ทุกคนคงไม่รู้ เพราะบิดาข้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนายท่านรองสกุลเผย พี่ชายข้าก็ไปที่จวนสกุลเผยเพื่อขอคำชี้แนะเรื่องการเรียนจากนายท่านรองบ่อยๆ ถึงได้รู้ว่าพวกเขาจะมาที่สำนักศึกษาอำเภอ พี่ชายข้าเลยตั้งใจพาข้ามาให้พวกเขาเห็นหน้าเห็นตาไว้บ้าง…” 

 

 

เขาเป็นเหมือนนกยูงรำแพนหาง คิดจะดึงดูดความสนใจจากอวี้ถัง 

 

 

อวี้ถังได้ยินว่าหลี่ตวนก็อยู่ที่นี่ด้วย ก็รู้สึกไม่สบายตัวราวกับทั่วร่างมีหนอนไต่ยั้วเยี้ย 

 

 

นางตัดบทวาจาของหลี่จวิ้นว่า “คุณชายรองสกุลหลี่ใส่ใจเกินไปแล้ว ข้าไม่มีธุระอันใดจริงๆ ผู้ใหญ่ที่เรือนยังรอให้ข้ากลับไป ขอตัวก่อน” พูดจบ ก็หันไปส่งสายตาให้อาเสา แล้วหมุนกายเตรียมจากไป 

 

 

หลี่จวิ้นชะงักกึก เห็นว่าอวี้ถังเดินไปไกลเกินสิบเก้าแล้ว เขาถึงได้สติกลับมา รีบตะโกนเรียกอวี้ถังเอาไว้ 

 

 

อวี้ถังหมุนตัวกลับมาอย่างงงๆ 

 

 

หลี่จวิ้นยืนอยู่ที่เก่าด้วยสีหน้าแดงเถือก ทำท่าอึกๆ อักๆ ไม่รู้ว่าต้องการจะพูดอะไร 

 

 

อวี้ถังมีหรือจะไม่เข้าใจ 

 

 

ชาติก่อน หลี่จวิ้นไม่เคยได้พบนาง คนสกุลหลินบอกว่าเขาฝังใจกับนางมาก นางจึงอาศัยการสวดมนต์ เพื่ออดทนกับคนสกุลหลินมานานปี ชาตินี้ สวรรค์กลั่นแกล้งคน หลี่จวิ้นได้พบนางแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับคำโกหกของคนสกุลหลินในชาติก่อน…หลี่จวิ้นปักใจต่อนางตั้งแต่แรกเห็น 

 

 

น่าเสียดาย นางขยะแขยงสกุลหลี่จนแทบทนไม่ไหว ไม่ว่าหลี่จวิ้นจะประเสริฐปานใด จริงใจต่อนางเพียงไหน นางก็ไม่คิดจะมีความเกี่ยวพันใดๆ กับสกุลหลี่อย่างเด็ดขาด 

 

 

อวี้ถังยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “ครั้งหน้าคุณชายหลี่คิดให้ดีก่อนว่าจะพูดอะไรกับข้าแล้วค่อยเรียกข้าเถอะ!” 

 

 

ถ้าอยากให้หลี่จวิ้นตัดใจต่อนาง นางยิ่งไม่อาจแสดงท่าทีใกล้ชิดต่อเขา 

 

 

หลี่จวิ้นพลันรู้สึกขายหน้าทันใด 

 

 

อวี้ถังพาอาเสาเดินออกไปด้านนอก 

 

 

หลี่จวิ้นกัดริมฝีปาก คิดจะตามไปด้วย 

 

 

“แม่นางอวี้!” เขามาดักหน้านางเอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า “แม่นางอวี้ เอ่อ คือว่านายหญิงทังกับท่านแม่ข้าบอกว่า ไปเยือนที่เรือนเจ้าหลายครั้งแล้ว สกุลเจ้า…ต้องการหาเขยแต่งเข้า ขอเจ้าอย่าใจร้อน รอสักไม่กี่วัน ท่านพ่อข้าอีกสองสามวันก็คงตอบจดหมายกลับมาแล้ว…ข้า ข้ายินดี…” 

 

 

คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นสีหน้าของอวี้ถังซีดเผือดและแข็งทื่ออย่างรวดเร็ว 

 

 

เกิดอะไรขึ้นรึ? 

 

 

หลี่จวิ้นพึมพำในใจ น้ำเสียงที่ใช้จึงดังยิ่งกว่าเดิม ราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “แม่นางอวี้ เจ้าวางใจได้ สกุลข้ามีบุตรชายสองคน ข้ารู้ว่าสกุลเจ้าต้องการให้เขยชายแต่งเข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องให้ท่านพ่อรับปากให้ได้ เจ้ารอข้านะ!” 

 

 

“หลี่จวิ้น เจ้าพูดจาเพ้อเจ้ออะไร!” มีบุรุษพูดแทรกเขาด้วยความเดือดดาล “ไสหัวของเจ้ากลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” 

 

 

น้ำเสียงอันคุ้นเคยนี้… 

 

 

หลี่จวิ้นรีบหันไปมอง เห็นดวงหน้าหล่อเหลาทว่าเขียวคล้ำของพี่ชายตน อีกทั้งด้านหลังเขา ยังมีดวงหน้าสูงส่งทว่าไม่อาจคาดเดาของนายท่านสาม เผยเยี่ยน ดวงหน้าที่ดูสนุกกับความทุกข์ของผู้อื่นของโจวจ้วงหยวน และดวงหน้าตกตะลึงของท่านเฉิน 

 

 

“ท่านพี่!” หลี่จวิ้นไหล่ตก เรียกหลี่ตวนไปทีหนึ่งอย่างระมัดระวัง 

 

 

หลี่ตวนอยากจะตบหน้าน้องชายไร้สมองคนนี้ให้ตายจริงๆ 

 

 

วันนี้เป็นโอกาสดีเพียงใด คนหนึ่งเป็นถึงจ้วงหยวน คนหนึ่งเป็นถึงทั่นฮวา ยังมีจิ้นซื่อสองป้ายอีก คนอื่นคิดประจบยังหาโอกาสไม่ได้ เขากลับวิ่งมาตอแยหญิงสาวสกุลอื่นอยู่ที่นี่ ยังกล้าพูดอย่างไร้สำนึกว่าจะแต่งเข้าเป็นเขยผู้อื่น ช่างเป็นการกระทำที่ไม่สมกับฐานะของบัณฑิตเอาเสียเลย 

 

 

ความคิดแวบผ่าน หัวใจเขาพลันกระตุก 

 

 

แต่งเขยชายเข้าบ้าน! 

 

 

หรือว่าจะเป็นหญิงสาวผู้นั้น แม่นางสกุลอวี้? 

 

 

หลี่ตวนอดจะมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าน้องชายทีหนึ่งไม่ได้ 

 

 

ทว่าเพียงครั้งเดียว เขาก็ไม่อาจย้ายสายตาไปไหนได้อีก 

 

 

ส่วนสูงปานกลาง รูปร่างไม่ได้ผอมบางอย่างที่นิยมกันเหมือนตอนนี้ ทว่ามีขาเรียวยาวเอวแน่งน้อย มีเส้นเว้าโค้งสวยงาม สวมเสื้อตัวสั้นสีขาวธรรมดา ท่อนล่างเป็นกระโปรงจับจีบสีแดงเข้มปักลายดอกไม้ หวีผมทรงก้นหอยสองข้าง เสียบดอกมะลิเอาไว้หนึ่งช่อ ตุ้มหูดอกติงเซียงสีเงินสะท้อนวิบวับใต้แสงอาทิตย์ เมื่อรวมกับหางตาที่แดงเรื่อของนาง ช่างเป็นการแต่งแต้มสีสันให้กับความงดงามอีกทีหนึ่ง 

 

 

มิน่าขนาดสกุลฟู่ยังไปขอหมั้นหมาย 

 

 

ที่แท้ก็งามถึงเพียงนี้ 

 

 

หลี่ตวนพลันสติหลุดลอยไปชั่วขณะ 

 

 

โจวจ้วงหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะชอบใจ สะบัดพัดจินชวนสีดำให้กางออก ทำลายความเงียบทิ้งในชั่ววินาที “คนหนึ่งสะเทิ้นอายหน้าแดง คนหนึ่งทำหน้าเหมือนร้องไห้ ไม่รู้ว่าได้รับความขุ่นข้องหมองใจหรืออย่างไร” เขาพูดพลางมองไปทางหลี่ตวนอย่างขำๆ “มาๆ มีเรื่องอะไรก็พูดกับพวกข้าได้ พวกข้าจะเป็นคนชี้ขาดให้เอง” 

 

 

ทำเหมือนกับว่าหลี่ตวนเป็นหวังหมู่เหนียงเหนียงที่ทำลายวาสนาของผู้อื่นเสียอย่างนั้น 

 

 

“จื่อจิน!” เฉินซ่านเหยียนเรียกชื่อโจวจ้วงหยวนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยว่า “ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง เจ้าสงบเสงี่ยมลงเสียบ้าง อย่าได้เอาอุบายที่ชอบใช้ในเมืองหลวงมาใช้ที่เมืองหลินอัน” 

 

 

เขาเป็นบุรุษวัยประมาณห้าสิบปี รูปร่างผอมสูง ผมเคราขาวโพลน สีหน้าเข้มงวด อยู่ในชุดผ้าคลุมเนื้อหยาบสีน้ำเงิน ดูไม่คล้ายกับทั่นฮวา แต่เหมือนบัณฑิตตกต่ำที่สอบไม่ผ่านเสียมากกว่า 

 

 

โจวจ้วงหยวนคล้ายว่าจะกลัวเขาอยู่บ้าง เห็นว่าเขาไม่พอใจ ก็หัวเราะเหอะๆ สองที ก่อนจะมองไปทางเผยเยี่ยน 

 

 

ทว่าเผยเยี่ยนกลับมองอวี้ถังอยู่ 

 

 

แม่นางผู้นี้อีกแล้ว 

 

 

เขายังจำภาพตอนที่เจอนางครั้งก่อนตอนอยู่วัดเจาหมิงได้ 

 

 

นางสวมชุดผ้าไหมปักลายดอกไม้สีแดงเข้ม ขมวดผมเป็นก้อนกลมกลางศีรษะ ขณะที่เดิน ผ้าไหมเนื้อบางจะแนบติดกับเรือนร่างของนาง เอวน้อยอรชรดั่งกิ่งหลิว ปิ่นเงินชุบฝังไข่มุกที่ปักเอียงๆ อยู่บนผมขยับไหวเหมือนกับชิงช้า เคียงใกล้ดวงหน้าขาวผ่องของนาง 

 

 

เหล่าชายหนุ่มใต้ต้นสนตื่นรู้ต่างพากันยื้อแย่งเพื่อออกแรงช่วยเหลือนาง 

 

 

ทว่าตอนนี้…ดวงตานางกลับแดงช้ำ ดวงหน้าซีดเซียว มองไปทางหลี่ตวนด้วยความตกตะลึง 

 

 

เผยเยี่ยนอดจะหันไปมองหลี่ตวนไม่ได้ 

 

 

อาจเพราะจะมาพบพวกเขา หลี่ตวนจึงแต่งตัวอย่างเป็นทางการ เสื้อคลุมตัวหลวมตัดจากผ้าหังโจวสีแดงพุทราลายอู่ฝู พร้อมผ้าโพกศีรษะสีดอกบัว ที่เอวห้อยถุงผ้ากับจินซานซื่อ ผิวพรรณขาวผ่อง เครื่องหน้าหล่อเหลา รูปร่างดั่งต้นสน เขายืนแน่นิ่งกับที่อยู่อย่างนั้น ทำให้คนนึกถึงคำชื่นชมประเภท ‘ดอกหลันจือต้นอวี้ซู่[5]’ขึ้นมาได้ 

 

 

เพียงแต่สีหน้าของเขาในเวลานี้ดูไม่ค่อยถูกต้องนัก 

 

 

ดวงตามองตรงไปที่แม่นางน้อยสกุลอวี้ จ้องจนตาไม่กะพริบ… 

 

 

หรือว่าทั้งคุณชายน้อยและคุณชายใหญ่สกุลหลี่ต่างก็มีเรื่องราวความหลังกับแม่นางอวี้ผู้นี้? 

 

 

เผยเยี่ยนเม้มปาก แต่เกือบซวนเซเพราะแขนของโจวจื่อจินที่วางพาดไหล่ลงมา 

 

 

โจวจื่อจินกระซิบข้างหูเขาว่า “นี่ สายตาเจ้าเหตุใดเป็นเช่นนั้น? เจ้าคงมิใช่รู้จักแม่นางผู้นั้นด้วยกระมัง? นี่มันสถานการณ์ใดกัน? สามารถทำให้บุรุษตะโกนว่าอยากแต่งเข้าไปเป็นเขยชายให้ได้อย่างไม่สนใจสิ่งใด แม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ! เจ้าบอกให้ข้าฟังบ้างสิ ข้ารับรองจะเก็บเป็นความลับ!” 

 

 

เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว แล้วปัดแขนเขาออกจากไหล่ด้วยสีหน้าหมดความอดทน “เจ้าอย่าบ้าให้มันมาก” 

 

 

โจวจื่อจินกระตุกยิ้มมุมปาก ทำทีเหมือนมีถ้อยคำอยากจะพูด หัวใจของเฉินซ่านเหยียนกระตุกใหญ่ กลัวว่าเขาจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟังอีก จึงไอเสียงดังไปหลายครั้ง 

 

 

หลี่ตวนไม่นับว่าเลอะเลือนเกินเยียวยา ดึงสติกลับมาทันที 

 

 

เขารู้สึกกระดากเล็กน้อย 

 

 

สิบปีที่เล่าเรียนมาอย่างยากลำบาก เขาไม่เคยจะมองสตรีคนใดสักครั้ง แต่แม่นางที่อยู่เบื้องหน้านี้ กลับทำให้เขาคันยุบยิบในหัวใจจนไม่อาจไม่จ้องมองอย่างละเอียดได้ 

 

 

เขารีบจัดการความคิดของตนเองแล้วพูดกับหลี่จวิ้นว่า “ยังไม่รีบคารวะผู้อาวุโสอีก ตำราที่ท่องมามากมายหายลงท้องไปแล้วหรือ” 

 

 

หลี่จวิ้นเดินขึ้นไปข้างหน้าทุกคนด้วยสีหน้าแดงก่ำ 

 

 

เผยเยี่ยนโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องทำความเคารพ จากนั้นก็หันไปพูดกับโจวจื่อจินด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “เจ้าจะไปหรือไม่? ถ้าไม่ไป ข้าไปก่อนล่ะ!” 

 

 

 ————————————————————- 

 

 

 

 

 

[1]ทั่นฮวา คือคำเรียนจิ้นซื่อที่สอบได้เป็นอันดับสาม อันดับหนึ่งเรียกว่าจ้วงหยวน อันดับสองเรียกว่าปั่งเหยียน 

 

 

[2]สำนักฮั่นหลิน เป็นสำนักที่ทรงอิทธิพลมากสำหรับบัณฑิตในยุคนั้น หน้าที่ของสำนักฮั่นหลิน คือบันทึกและแก้ไขประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ รวมไปถึงการวางแผนการศึกษาและการสอบเพื่อเฟ้นหาบัณฑิตเข้ารับราชการอีกด้วย 

 

 

[3]โซ่วฟู่ เป็นตำแหน่งผู้อาวุโสของหกกรม 

 

 

[4]จี้ซื่อจง เป็นตำแหน่งที่มีอยู่ในทั้งหกฝ่าย แม้ว่าลำดับศักดิ์ไม่สูง แต่มีอำนาจมาก ภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้ศาลาว่าการแต่ละแห่งจะมีทั้งหกฝ่ายคอยติดตามและจดบันทึกทุกๆ ห้าวัน หากล่าช้าหรือทำงานไม่มีประสิทธิภาพ หกฝ่ายสามารถรายงานต่อฮ่องเต้ได้ 

 

 

[5]ดอกหลันจือต้นอวี้ซู่ เป็นคำเปรียบเปรยถึงคนรุ่นหลังที่เฉิดฉายโดดเด่น