ตอนที่ 22 เข้าไปในแดนลี้ลับ Ink Stone_Romance
พวกหลิวหลีซื้อของกลับมาไม่น้อย ทั้งยันต์ศักดิ์สิทธิ์และสุราศักดิ์สิทธิ์ ใช่แล้ว เด็กอายุ 13 ปีซื้อสุรา โจวหลิวรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากคิดไม่ถึงว่าหลังจากน้องชายทั้งสองของเขาได้ฟังเหตุผลประหลาดๆ จากหลิวหลี ก็ซื้อตามไม่น้อยเช่นกัน โจวหลิวแค่นเสียงหัวเราะ จนกระทั่งเกิดเรื่องในโลกภูตสวรรค์เขาถึงได้รู้ว่าน้องชายของตนฉลาดหลักแหลม
“หลิวหลี เจ้าอยากจะซื้ออะไรอีกไหม” โจวอีถาม เพื่อนเขาซื้อของค่อนข้างเยอะ แต่เขาก็เก็บยัดได้ทั้งหมด เมื่อเห็นแหวนเก็บของของเขาแล้ว เขาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา
“เสื้อผ้าแล้วกัน” หลิวหลีคิดแล้วเอ่ย
ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงร้านขายเสื้อผ้า หลิวหลีเมินเสื้อผู้หญิงทันที นางจะออกไปท่องโลก ใส่กระโปรงยุ่งเหยิงแบบนั้นจะต่อสู้อย่างไร สามพี่น้องสกุลโจวต้องมองหลิวหลีใหม่ ตอนจะออกจากร้านจู่ๆหลิวหลีก็ซื้อเสื้อผ้าเด็กอีกหลายชุดทำให้คนหลายคนเบิกตากว้าง แต่เจ้าตัวไม่อธิบายไม่พูดจาแต่เก็บของเข้าไป
เมื่อบอกลาเพื่อนๆแล้ว หลิวหลีก็กลับไปที่หอปรุงยา แบ่งของใช้ที่จำเป็นออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็คิดสิ่งที่ตัวเองยังขาด ทำการสั่งพวกวัตถุดิบต่างๆจากโถงอาหารไว้ล่วงหน้า แล้วเริ่มจัดการอย่างเป็นระเบียบ หนานกงเวิ่นเทียนที่นานครั้งจะไม่ฝึกบำเพ็ญ เห็นหลิวหลีเตรียมของน่ากินหลายอย่าง ผู้หญิงคนนี้ไปแดนลี้ลับไม่ใช่หรือ ทำไมเอาของกินไปมากมายขนาดนี้ ของพวกนี้เตรียมเผื่อตนเอง? หนานกงเวิ่นเทียนเม้มปาก นี่คิดว่าจะไม่เอาเขาไปด้วยใช่ไหม?
“โลกภูตสวรรค์หรือ ข้าก็อยากไปด้วย”
หลิวหลีที่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบต่างๆอยู่ เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็โพล่งขึ้นมา
“ไม่ได้ เจ้าเด็กเกินไป ถึงแม้ว่าพลังบำเพ็ญของเจ้าจะเหมาะสม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไปได้” หลิวหลีปฏิเสธอย่างจริงจัง ล้อเล่นหรืออย่างไร ตัวเล็กขนาดนี้ ไปก็เท่ากับไปทรมานตัวเองชัดๆ
“ข้าแค่บำเพ็ญเพียรใหม่ แต่ขอบเขตพลังยังอยู่เหมือนเดิม” หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ยหน้าตาย
“เจ้ามียาศักดิ์สิทธิ์ไหม มีหินวิญญาณหรือไม่ มีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์หรือถุงเก็บของหรือไม่?” หลิวหลีหยุดงานในมือ คำถามสี่ข้อนี้ทำให้ใบหน้าหนานกงเวิ่นเทียนดำคล้ำ เขาเดินจากไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ดูจากแผ่นหลังแล้วช่างดูน่าหดหู่เหลือเกิน
“เฮ้อ ข้าไปถามอาจารย์ก่อน หากอาจารย์เห็นด้วย ข้าจะพาเจ้าไป” พอเห็นแผ่นหลังที่เศร้าสร้อย ใจอ่อนแล้วจะทำอย่างไรดี ถ้าหากว่าข้าไม่อยู่ เขาไม่กินข้าวหิวจนผอมไปแล้วจะทำอย่างไร เอ่อ ข้าใจอ่อนเกินไป ใจอ่อนเกินไปจริงๆ
“ศิษย์เอ๋ย เจ้าเตรียมของหมดแล้วหรือ” คิดไม่ถึงว่าถึงจะว่างมาหาคนแก่อย่างเขา
“ยังเจ้าค่ะ อาจารย์ ข้าพาเสี่ยวเทียนไปด้วยได้ไหม เขาอยู่ในช่วงฝึกฝนพลังลมปราณขั้นที่ 7 แล้ว”
“ได้สิ เดิมทีข้าก็จะให้เจ้าพาเขาไปด้วย ถือว่าเป็นการทดสอบเจ้าด้วย” เสวียนหั่วจิบชาศักดิ์สิทธิ์แล้วเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปเตรียมตัวเจ้าค่ะ อาจารย์” นางต้องออกไปท่องโลก แต่กลับต้องพาเด็กออกไปด้วย เอ่อ คงจะต้องเตรียมของไปมากหน่อย
“อาจารย์ตกลงแล้ว เสี่ยวเทียน เจ้าเตรียมของให้เรียบร้อย ข้าจะเตรียมเผื่อเจ้าอีกแรง นี่คือถุงเก็บของ” หลิวหลีพูดขึ้น หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
หลิวหลีเอามือจับหน้าผาก ก็ว่าทำไมตัวนางเองถึงเตรียมของทุกอย่างไว้สองอัน ที่แท้ก็มีญาณรู้มาก่อนล่วงหน้านี่เอง
พอกลับไปก็สั่งจองเนื้อสัตว์กับผักศักดิ์สิทธิ์อีกจำนวนมากจากโถงอาหาร เอ่อ เสี่ยวเทียนกำลังอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต สารอาหารก็ต้องมากตามไปด้วย
สองสามวันถัดมาหลิวหลีก็ขลุกอยู่กับการปรุงยา จัดการวัตถุดิบ เมื่อเสวียนหั่วก็เห็นว่าลูกศิษย์ของตัวเองปรุงยา ตอนเห็นหลิวลีปรุงยาพิษกับยาอันตราย เสวียนหั่วก็ชื่นชม คนที่ปรุงแต่ยารักษาอาการบาดเจ็บเป็นคนโง่ เห็นได้ชัดว่า ลูกศิษย์ของเขาสามารถวางแผนได้ดี
หนึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทาง เสวียนหั่วเรียกหลิวหลีให้ไปพบ เขามอบถุงเก็บของให้นางหนึ่งถุง แล้วก็ให้นางไปรวมตัวกับคนอื่น โลกภูตสวรรค์อยู่ใต้อาณัติหลายสำนัก จึงสามารถเข้าจากสำนักตนเองได้ และมีเวลาอยู่ในนั้น 3 เดือน
หลิวหลีรับถุงเก็บของมาและเริ่มตรวจสอบของด้านใน พบว่าด้านในมีของระดับสูงอยู่จำนวนมาก มีทั้งพวกค่ายกล ยาศักดิ์สิทธิ์ เครื่องราง แล้วก็มีหินวิญญาณอยู่จำนวนไม่น้อย หลิวหลีก็แบ่งประเภทไว้อย่างลวกๆ ของทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ของๆนางเก็บไว้ในป้ายหยกลายมังกร ส่วนในแหวนเก็บของจะเก็บของไว้น้อยหน่อย แล้วก็เอาของอีกส่วนแบ่งให้หนานกงเวิ่นเทียน หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่รับน้ำใจนี้ไว้อย่างเงียบๆ
โจวอีได้รับข้อความจากหลิวหลีว่าจะออกเดินทางเป็นคนสุดท้าย ให้พวกเขาไปก่อน แล้วไปพบกันในแดนลี้ลับหากมีวาสนาต่อกัน หลิวหลีจับมือเล็กๆของหนานกงเวิ่นเทียน หรือจะให้คนอื่นเห็นนางเลี้ยงเด็กหรืออย่างไร
พอทุกคนออกเดินทางแล้ว หลิวหลีถึงพาหนานกงเวิ่นเทียนเข้าไป
หลังจากเข้ามาแล้ว หลิวหลีก็รู้สึกว่าขาสองข้างของตัวเองเหยียบอะไรนิ่มๆ เมื่อก้มหน้าดูก็เห็นว่าขาตัวเองเหยียบอยู่บนท้องของงูลายสองหัวขั้นที่ 3 โดยงูสองหัวนั้นก็มองตนอยู่ หลิวหลีเหยียบลงไปเต็มแรงตามสัญชาตญาณ งูสองหัวก็ขึ้นสวรรค์ไปพบเทพเจ้าแล้ว หลิวหลีรู้สึกว่าตนโชคดี ถึงขนาดเหยียบไปที่จุดตายของงูพอดี เมื่อเก็บเจ้างูแล้ว หลิวหลีดูหญ้าศักดิ์สิทธิ์และปราณอมตะอสูรที่เป็นภารกิจของตนเองในป้ายหยก ลวกๆ เอ่อ เมื่อกี้จับมือเสี่ยวเทียนอยู่แท้ๆ แต่สุดท้ายก็คลาดกัน หลิวหลีมองทางแล้วออกเดินทางต่อ
หนานกงเวิ่นเทียนมีนงงไปชั่วขณะ แต่เพียงครู่เดียวก็สามารถตั้งสติกลับมาได้ ตนเองเข้ามาในแดนลี้ลับแล้วผู้หญิงคนนั้นจับมือเขาไว้ตลอดไม่ได้ปล่อยไม่ใช่หรือ ทำไมหลงกันเสียแล้ว เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเซียนที่เข้มข้น เขาจึงเลือกสถานที่ที่จะเข้าฌาณ อิงเสวี่ยบอกเขาว่าบำเพ็ญเพียรบรรลุช่วงพื้นฐาน เขาจะกลับไปมีอายุ 10 กว่าปี การบำเพ็ญเพียรจึงเป็นทุกอย่างของเขา
หลิวหลีฆ่ากบนาตัวหนึ่ง เก็บร่างมันไว้ แล้วดูเวลา ตั้งใจจะค้างคืนที่นี่ อาณาเขตของเจ้ากบนาน่าจะไม่มีใครรบกวน นางนำกระดานค่ายกลที่อาจารย์มอบให้ออกมา หลิวหลีกางค่ายกลเพื่อพรางตัว นำไก่ฟ้าที่ย่างเสร็จแล้วออกมาจากแหวนเก็บของ อุ่นร้อนโดยใช้เพลิงบุปผาเหมันต์ หลิวหลีกัดไปหนึ่งคำ คืนนี้พักผ่อนที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยไปหาอย่างอื่นแล้วกัน
อีกฟากหลิงเฟิงเองก็เข้าไปในโลกภูตสวรรค์ เขาหวังว่าจะได้อะไรจากที่นี่บ้าง และจะได้บำเพ็ญเพียรไปจนถึงขั้นสุดยอด เพื่อออกไปแล้วจะได้บรรลุช่วงพื้นฐาน เพราะเขารู้ว่าเด็กสาวที่เข้ามาพร้อมกับเขา บรรลุช่วงพื้นฐานไปแล้ว
ไม่ใช่แค่หลิงเฟิงเท่านั้น หลิงจูกับลูกศิษย์นอกสำนักคนอื่นๆเช่นกัน เพียงแต่ใบหน้าหลิงจูค่อนข้างโกรธแค้น หลี่หลิวหลี ขอให้เราได้เจอกัน ข้าจะทำให้เจ้าต้องตายทั้งเป็น
หลิวหลีบำเพ็ญเพียรตลอดคืน นางเลือกตามหาสมบัติต่างๆต่อ ไม่รู้ว่าเดินไปเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เจอใครสักคน หลิวหลีรู้สึกมึนงงเล็กน้อยสหายร่วมเดินทางของนางล่ะ
หลิวหลีเดินต่ออยู่พักใหญ่ ใช้สัมผัสเซียนสำรวจเหตุการณ์ข้างหน้า แล้วนางก็พบว่าทางตะวันออกเฉียงใต้มีพลังเซียนแปลกๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้หลิวหลีพุ่งตัวไปหาอย่างรวดเร็ว
ระลอกพลังเซียนที่แตกต่างกัน หลังจากหลิวหลีไปถึงก็พบว่าระลอกพลังนี้ถูกปล่อยออกมาจากกำแพงอันหนึ่ง ช่วงนี้นี้กำแพงต่างๆมักจะไม่สงบนิ่ง นางจึงสัมผัสระลอกพลังเซียนที่กำแพงนี้ปล่อยออกมาอย่างละเอียด
“เอ่อ ที่นี่มีถ้ำเซียนอยู่ด้วยหรือเนี่ย” เอ๋าเลี่ยส่งเสียงมาด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่าน่าเหลือเชื่อนักหนา
“ถ้ำเซียนหรือ?” หลิวหลีทวน ทั้งสองสื่อสารกันผ่านประสาทเซียน ตั้งแต่ที่เอ๋าเลี่ยพบว่าร่างกายตนเองพัฒนาเติบโตได้ มีขางอกออกมา 4 ขา เพียงแต่หลิวหลีไม่สามารถรับได้ นางไม่ชอบงูที่มีขา ถึงขนาดรู้สึกกลัวด้วยซ้ำ เลยสั่งให้เอ๋าเลี่ยอยู่แต่ในมิติอสูรภูต อนุญาตให้สื่อสารโดยประสาทเซียนเท่านั้น ถึงแม้เอ๋าเลี่ยจะโมโห แต่เห็นว่าหลิวหลีพูดจาดีมากเป็นพิเศษก็เลยปล่อยเลยตามเลย
………………………………………………………….