บทที่ 31 ซื้อบ้านกันเถอะ!
ฝ่ายซูตานหงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งของบ้านตระกูลจี้
หลังจากคุณแม่จี้กลับไปแล้ว เธอก็ยุ่งอยู่กับงานในครัว จี้เจี้ยนอวิ๋นสามารถอยู่ที่นี่ได้ถึงวันที่ห้าของเทศกาลปีใหม่เท่านั้น หลังจากวันที่ห้านี้เขาต้องกลับไปทำงาน และไปทันทีโดยไม่ได้อยู่ต่อ
เธอจึงอยากทำอาหารให้เขากินมากขึ้น ถ้าเขาไม่ได้กินเนื้อที่บ้านให้มาก ๆ เกรงว่าพวกมันคงจะกลายเป็นของเสี่ยวเฮย เพราะตัวเธอเองกินได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นไปโทรศัพท์เสร็จแล้วกลับมาถึงบ้าน เขาก็ได้กลิ่นอาหาร ครั้นเข้ามาที่ห้องครัวก็พบว่าภรรยากำลังทำอาหารเพื่อเขา
“กลับมาแล้วเหรอคะ” ซูตานหงถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณทำอะไรอร่อย ๆ บ้างเหรอ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มกลับ
“หมูตุ๋นน้ำแดง เนื้อแกะตุ๋น ต้มจืดเนื้อวัวกับหัวไชเท้า แล้วก็ซี่โครงหมูทอดค่ะ” ซูตานหงชำเลืองมองเขา “ของโปรดคุณทั้งนั้นเลย”
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับต้นกล้าไม้ผล “ผมคุยกับเหล่าฉินแล้วนะครับ เขาบอกว่ายังขายต้นกล้าอยู่ และสัญญากับผมว่าปีหน้าจะขับรถมาส่งให้ จากนั้นผมก็สั่งซื้อต้นกล้าไม้ผลจำนวนมากกับเขาไป”
“คุณสั่งทุกอย่างที่ฉันพูดก่อนหน้านี้หรือเปล่าคะ” ซูตานหงถาม
“สั่งแล้วครับ เหล่าฉินบอกว่าจะให้ในราคาพิเศษ และเป็นต้นกล้าไม้ผลที่ดีด้วย” จี้เจียนอวิ๋นพยักหน้าและกล่าวต่อ “เขาจะมาส่งให้ในฤดูใบไม้ผลิหน้า”
“ดีแล้วค่ะ” ซูตานหงพยักหน้าและทำลูกชิ้นทอดต่อ เจี้ยนอวิ๋นของเธอสมควรที่จะเป็นทหาร ตัวเขาคนเดียวกินอาหารมากกว่าผู้ชายคนอื่นเกือบสองหรือสามเท่า
“ภรรยา คุณมีเงินพอใช้ไหมครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นลังเลครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยถาม
“ฉันไม่ได้บอกคุณเหรอคะ? ว่าฉันมีเงินอยู่ ถ้าคุณไม่เชื่อก็ดูที่ตู้สิคะ มันมีมากกว่า 1,000 หยวน ยังไงก็พอใช้อยู่ล่ะค่ะ ” ซูตานหงพูดอย่างไม่จริงจังนัก
เธอมีเงินอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ในตอนแรกเธอคิดว่าหากไม่ได้เช่าภูเขาเพื่อทำสวนไม้ผล ตนก็วางแผนว่าจะรอให้จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับไปหลังจากปีใหม่นี้ก่อน แล้วจึงเข้าเมืองเจียงสุ่ยกับหงเจี่ยเพื่อไปซื้อบ้านเก็บไว้
เมืองเจียงสุ่ยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักและมีรถสาธารณะวิ่งผ่าน เพียงพอที่จะไป – กลับวันละ 2 เที่ยว แน่นอนว่าเธอรู้มาจากหงเจี่ยผู้ชำนาญเส้นทางในเมืองเจียงสุ่ยดี
แต่ตอนนี้คงต้องเลื่อนการซื้อบ้านออกไป เพราะเธอต้องทำสวนผลไม้ให้ได้ก่อน
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มและไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และ 5 วันก็ผ่านไปในพริบตา
ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งคู่ก็ได้กลับไปที่บ้านของตระกูลซูเช่นกันและกลับมาหลังจากกินอาหารแล้ว ซึ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาคนทั้งสองมักจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เมื่อคุณแม่จี้ได้ยินเรื่องนี้เข้านางก็ดีใจมาก บางทีหลังจากปีนี้ไปแล้วคงมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตานหงก็เป็นได้?
เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับไป เขาก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอย่างน้อย 5 ชั่ง ใบหน้าของเขาดูเปี่ยมไปด้วยพลังจนดูแล้วรู้ว่าปีใหม่นี้คงจะมีแต่เรื่องดี ๆ
“เจี้ยนอวิ๋น คุณจะรับภารกิจพิเศษนี้ไหม? ถ้าเสร็จจากงานนี้ไปแล้ว ไม่เพียงแต่คุณจะได้รับความดีความชอบ แต่ยังได้เงินเดือน 50 หยวนด้วย” เมื่อเขามารายงานตัว หัวหน้าก็กล่าวเช่นนี้กับเขา
“ครับผม!” จี้เจี้ยนอวิ๋นลังเลครู่หนึ่งและเอ่ยเสียงขรึม
—————————-
กล่าวถึงฝั่งของซูตานหง หลังจากที่จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับไปแล้ว ก็มีเพียงเธอคนเดียวที่อยู่บ้าน และเริ่มรู้สึกดีขึ้นหลังผ่านช่วงเวลา 2 วันแห่งความโศกเศร้า
เธอเริ่มปักผ้าลายร้อยวิหคคำนับพญาหงส์ต่อเพราะไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำนอกจากการปักผ้า แล้วเธอก็ปักผ้าลายร้อยวิหคคำนับพญาหงส์เสร็จภายใน 7 วัน
เมื่อเห็นว่ามีวันที่อากาศแจ่มใส เธอจึงพกด้ายปักทั้งหมดติดตัวแล้วเดินทางเข้าเมือง
หงเจี่ยประหลาดใจมากที่เห็นเธอมาหา และเมื่อเห็นเธอนำภาพร้อยวิหคคำนับพญาหงส์ที่มีตัวหงส์งดงามโดดเด่นโดยเฉพาะอยู่ตรงกลาง หงเจี่ยก็เบิกตากว้าง “ตานหง ยังมีอะไรที่เธอปักไม่ได้อีกบ้างไหมเนี่ย?”
ซูตานหงยิ้ม “พี่หงชมเกินไปแล้วค่ะ”
เจินเหมียวหงส่ายหน้าและมองภาพปักหลายครั้งก่อนจะค่อย ๆ วางลงแล้วกล่าวขึ้น “ตานหง เธอมีราคาอยู่ในใจแล้วใช่ไหมจ๊ะ”
“ภาพนี้ใช้เวลาปักนานมาก มันต้องใช้ความพยายามอย่างสูง ดังนั้นฉันจึงตีราคาไว้ที่ 1,300 หยวนค่ะ” ซูตานหงตอบ อันที่จริงเธอตั้งราคาไว้ในใจที่ 1,100 หยวน แต่ถ้าเพิ่มอีก 200 หยวนก็ยิ่งดี
เจินเหมียวหงถึงกับผงะ เห็นได้ชัดว่าราคานี้สูงเกินกว่าที่คิดไว้ แต่หล่อนก็กัดฟันยอมตกลงด้วย “ได้จ้ะ!”
“ขอบคุณพี่หงมากนะคะ” ซูตานหงดีใจมาก
เจินเหมียวหงนับธนบัตร 100 หยวนจำนวน 13 ใบแล้วยื่นให้ “ตานหง เธอลองนับดูนะ”
“ค่ะ” ซูตานหงนับเงิน จากนั้นก็พยักหน้า
จากนั้นเจินเหมียวหงก็กล่าวขึ้น “ตานหง ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันเรื่องซื้อบ้าน เธอคิดเห็นอย่างไรบ้างเหรอจ๊ะ? ห้องชุดในชุมชนนั้นทำเลดีมากเลยนะ พี่หงกำลังวางแผนซื้ออยู่ห้องหนึ่งเหมือนกัน”
เดิมทีหล่อนแค่คิดเอาไว้ แต่ด้วยความช่วยเหลือของซูตานหง ทำให้หล่อนหาเงินได้จนเพียงพอที่จะซื้อห้องชุดสักห้อง
ตอนนี้หล่อนมีภาพร้อยวิหคคำนับพญาหงส์อยู่ในมือแล้ว ถ้าปล่อยขายออกไปได้ ก็จะได้เงินถึง 400 หรือ 500 หยวนอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องเอ่ย!
“ห้องชุดของที่นั่นราคาเท่าไหร่คะ?” ซูตานหงลังเลก่อนจะเอ่ยถาม
เธออยากซื้อเก็บไว้จริง ๆ
“ถ้านับตามขนาดก็จะมีห้องขนาด 80 ตารางเมตรกับ 90 ตารางเมตร ใหญ่ที่สุดคือ 108 ตารางเมตร มันมีห้องนอน 3 ห้อง ห้องนั่งเล่น 2 ห้อง ห้องครัว 1 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง แล้วก็ระเบียง” หงเจี่ยตอบ “พี่วางแผนไว้ว่าจะซื้อห้องขนาด 108 ตารางเมตรน่ะ”
“ห้องนั้นราคามากกว่าสองพันใช่ไหมคะ?” ซูตานหงเอ่ยอย่างใจลอย
หงเจี่ยยิ้มและลดเสียงต่ำลง “ผู้จัดการที่ขายบ้านเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่หงเองน่ะจ้ะ ถ้าตานหงซื้อห้องชุดหนึ่งชุดกับเขาก็จะประหยัดไปราว 200 หยวน พี่หงไม่ได้แนะนำอะไรแบบนี้ให้กับคนอื่นหรอกนะจ๊ะ”
ซูตานหงพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะว่าพี่หงหวังดีต่อฉัน แต่ว่าตอนนี้ฉันยังมีเงินไม่พอน่ะค่ะ”
เจินเหมียวหงอึ้งไป “เธอได้เงินไม่น้อยเลยนะ พอที่จะซื้อห้องขนาด 108 ตารางเมตรได้ด้วยซ้ำ”
“พอดีที่บ้านมีเรื่องบางอย่างน่ะค่ะ เลยต้องเอาเงินจำนวนนี้ออกมาใช้เป็นการฉุกเฉิน” ซูตานหงตอบสั้น ๆ
เจินเหมียวหงรู้ว่าแต่ละบ้านก็มีปัญหาภายในบ้านตัวเอง จึงไม่ได้ซักไซ้มากนัก หล่อนมีท่าทางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ยังขาดอีกเยอะไหมจ๊ะ? พี่หงพอจะมีอยู่ 500 หยวน ให้เธอยืมไปซื้อห้องก่อนได้ ญาติของพี่บอกว่าที่นี่เป็นย่านชุมชนหลักในเมืองเจียงสุ่ย แล้วราคาก็จะเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน เธอซื้อไปแล้วจะไม่เสียดายเงินเลยจ้ะ!”
“ฉันไม่รู้ว่ามันมีราคามากเท่าไหร่ พี่หงช่วยบอกราคาที่แน่นอนให้ฉันได้ไหมคะ ฉันจะได้ดูว่ายังขาดอีกเท่าไหร่ จะได้ขอยืมเงินบางส่วนจากคุณแม่ของฉัน ฉันอยากจะซื้อบ้านด้วยเงินของฉันเอง พี่ไม่ต้องให้ฉันยืมหรอกค่ะ” ซูตานหงส่ายหน้า
“พี่ถามญาติคนนั้นถึงราคาห้องที่จะให้เธอกับพี่แล้วจ้ะ เขาบอกว่ามันมีราคามากกว่า 2,200 หยวนจากเดิมที่มีราคาเกือบ 2,400 หยวน ราคานี้เป็นราคาคนวงในที่ญาติของพี่ให้ได้แล้วจ้ะ” เจินเหมียวหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตกลงค่ะ เจอกันตอนว่างนะคะพี่หง ฉันจะไปดูห้องกับพี่ด้วย!” ซูตานหงลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยออกมา
“งั้นเป็นพรุ่งนี้นะจ๊ะ ญาติของพี่เขาอยากจะซื้ออย่างด่วนที่สุดเหมือนกัน เพราะว่าพอถึงหน้าใบไม้ผลิราคาของมันจะไม่ได้ถูกอย่างนี้แล้ว” เจินเหมียวหงคิดและเอ่ยออกมา
“ตกลงค่ะ!” ซูตานหงพยักหน้าตอบ
หากเป็นเงินมากกว่า 2,200 หยวนเธอยังพอจ่ายไหวอยู่ แต่นั่นก็เกือบจะทำให้เธอหมดตัวเช่นกัน ดังนั้นเธอจะต้องรับงานปักเพิ่มอีกงานหลังหิมะละลาย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเงินสำหรับซื้อต้นกล้าผลไม้แน่
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูตานหงให้ข้าวชามใหญ่กับเสี่ยวเฮย และบอกให้มันเฝ้าบ้านดี ๆ ก่อนจะออกจากบ้านไปที่ร้านขายผ้าปัก
เจินเหมียวหงรอเธออยู่เช่นกัน
“พี่นึกว่าเธอจะลืมเวลาเสียอีก กลัวนะเนี่ย” เจินเหมียวหงยิ้มก่อนจะออกรถในอีก 5 นาทีต่อมา
“ถนนทางไปบ้านมันค่อนข้างไกลน่ะค่ะ ขออภัยนะคะที่ให้พี่หงรอนานเลย” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นานอะไรจ๊ะ? นี่ถือว่าเร็วแล้ว” เจินเหมียวหงกล่าว
แล้วหญิงสาวสองคนก็นั่งรถไปยังตัวเมืองเจียงสุ่ย
…………………………………………………