ตอนที่ 30 ภาพนี้มาจากผู้อาวุโสท่านนั้นจริงหรือ ?

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 30 ภาพนี้มาจากผู้อาวุโสท่านนั้นจริงหรือ ?

“เสด็จพ่อเพคะ ท่านบรรพบุรุษเคยสั่งเอาไว้ว่าขณะที่ท่านบำเพ็ญตนอยู่นั้น ห้ามมิให้ผู้ใดรบกวนมิใช่หรือเพคะ ? ”

ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเสด็จพ่อจะพานางไปพบท่านบรรพบุรุษ เยี่ยนปิงซินจึงเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ

เยี่ยนหยางเหนียนส่ายศีรษะ พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ผู้อาวุโสเย่ที่เร้นกายอยู่ในเมืองเสี่ยวฉือมีพลังค้ำฟ้า พ่ออยากจะรู้ว่าเขาต้องการที่จะใช้งานเจ้าจริงหรือไม่”

เยี่ยนปิงซินส่ายหน้า และเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยว “เป็นไปมิได้เพคะ ท่านเย่เป็นคนเรียบง่าย เขามิมีทางเป็นคนเช่นนั้นแน่นอนเพคะ”

เยี่ยนหยางเหนียนส่งยิ้มจาง ๆ กลับไปให้ “เจ้ายังเด็กนัก ยังมีอีกหลายเรื่องที่ความจริงมิได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิดไว้”

“มีมากมายนักที่รู้หน้ามิรู้ใจ พ่อเคยพบคนเช่นนี้มามาก ภายนอกดูเป็นคนจิตใจดี แต่ความจริงแล้วกลับฆ่าคนได้โดยมิกระพริบตา ยอดคนเช่นผู้อาวุโสเย่นั่นยิ่งมิต้องพูดถึง”

เมื่อคิดได้ดังนั้น ใบหน้าของเยี่ยนหยางเหนียนจึงเคร่งขรึมขึ้นอย่างมิเคยเป็นมาก่อน

ต่อให้ท่านบรรพบุรุษใช้วิชาลับจนเจอเบาะแสบนตัวเยี่ยนปิงซินจริง แต่เขาจะมีความสามารถมากพอที่จะไปขัดขวางยอดคนเช่นนั้นได้งั้นหรือ ?

แต่เขามิอาจทำใจยอมรับได้

ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ใกล้จะหลุดพ้น หรือเป็นเซียนที่มาจากสรวงสวรรค์ ในเมื่อทรงพลังถึงเพียงนั้น แล้วจะมายุ่งกับโลกของปุถุชนธรรมดาเพราะเหตุใดกัน ?

เพียงแค่คิด เยี่ยนหยางเหนียนก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก แต่ก็จนปัญญาจะทำสิ่งใดได้

“หากเสด็จพ่อคิดว่าท่านเย่เป็นคนเช่นนั้น ลูกก็จะมิยอมไปพบท่านบรรพบุรุษเด็ดขาดเพคะ” เยี่ยนปิงซินเอ่ยออกมาอย่างแน่วแน่

การได้อยู่กับเย่ฉางชิงหลายวันมานี่ ทำให้เยี่ยนปิงซินได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง แม้นางจะเป็นองค์หญิงเก้าแห่งต้าเยี่ยน มีพรสวรรค์ที่มิธรรมดา แต่ถึงกระนั้นนางก็คิดว่าตนเองนั้นยังมิคู่ควรกับยอดคนเช่นเย่ฉางชิงอยู่ดี และมิอาจเอื้อมที่จะคิดเช่นนั้นด้วย แต่ส่วนลึกภายในใจของนางก็ได้ยอมรับเย่ฉางชิงในฐานะอาจารย์ของตนไปแล้ว เช่นนั้นเมื่อเยี่ยนหยางเหนียนเสนอความคิดเช่นนี้มา นางจึงปฏิเสธโดยมิลังเล

“ปิงซิน พ่อมิได้หมายความเยี่ยงที่เจ้าคิด”

เยี่ยนหยางเหนียนพูดกับเยี่ยนปิงซินด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าเองก็คงรู้ถึงตบะของท่านหลิวดี การที่เขาประเมินผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นเอาไว้สูงเพียงนั้น อีกทั้งภาพอักษรพู่กันเมื่อครู่ พ่อก็ได้เห็นแล้วว่าผู้อาวุโสเย่ท่านนี้จะต้องเป็นยอดคนอย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นพ่อจึงมิได้คิดและมิกล้าที่จะใส่ร้ายผู้อาวุโสเย่ การที่พ่อพาเจ้าไปพบท่านบรรพบุรุษก็เพราะอยากจะรู้ว่าผู้อาวุโสเย่ได้ทิ้งเครื่องหมายอะไรไว้บนตัวเจ้าหรือไม่”

“เสด็จพ่อคิดเช่นนั้นจริง ๆ หรือเพคะ ? ” เยี่ยนปิงซินได้ฟังก็อดที่จะแสดงสีหน้าสงสัยออกมามิได้

เยี่ยนหยางเหนียนพยักหน้าให้เยี่ยนปิงซินอย่างหนักแน่น

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นลูกก็จะยอมไปพบท่านบรรพบุรุษกับเสด็จพ่อเพคะ” เยี่ยนปิงซินเอ่ยขึ้น

จากนั้นเยี่ยนหยางเหนียนและเยี่ยนปิงซินก็นั่งเกี้ยวที่ดูหรูหรา มุ่งหน้าไปในส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปในวังหลวง พร้อมด้วยการปกป้องขององครักษ์วิหคทองถึงยี่สิบนาย

แคว้นต้าเยี่ยนเป็นหนึ่งในสี่แคว้นโบราณที่ใหญ่ที่สุด การตกแต่งและขนาดของวังจึงดูอลังการเป็นอย่างมาก

ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าขบวนของเยี่ยนหยางเหนียนและเยี่ยนปิงซินจะมาถึงลานแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอัศวินเกราะดำนับร้อยคุ้มกันอยู่

ที่นี่มีตำหนักเก่าแก่เรียงรายกันอยู่ มิเพียงแต่ตัวตำหนักจะแผ่กลิ่นอายโบราณกาลออกมา แต่ยังแสดงถึงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์และความน่าเกรงขามอีกด้วย

เยี่ยนหยางเหนียนพาเยี่ยนปิงซินเดินขึ้นบันไดไปหลายร้อยก้าว จนในที่สุดก็มาถึงด้านหน้าตำหนักหลังหนึ่ง

ขณะนั้นเองก็ได้มีเสียงแหบแห้งดังออกมา

“เข้ามาเถิด”

สิ้นเสียงนั้นประตูห้องที่ปิดสนิทก็ค่อย ๆ เปิดออก

เยี่ยนหยางเหนียนสองคนพ่อลูกสบตากันครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงก้าวเข้าไปด้านในด้วยท่าทางนอบน้อม

ทันทีที่ก้าวเข้าไปด้านใน พวกเขาเห็นเพียงแสงสลัว ๆ ด้านข้างทั้งสองด้านมีเทียนมากมายนับร้อยถูกจุดเอาไว้ แผ่นหลังที่ผอมบางของคนผู้หนึ่งที่กำลังหันหลังอยู่ ทำให้สองคนพ่อลูกนิ่งไม่ไหวติงราวกับรูปปั้น

“ผู้เยาว์เยี่ยนหยางเหนียนคาราวะท่านบรรพบุรุษขอรับ ! ”

“เยี่ยนปิงซินคาราวะท่านบรรพบุรุษเจ้าค่ะ ! ”

หลังจากได้เห็นแผ่นหลังนั้นแล้ว เยี่ยนหยางเหนียนและเยี่ยนปิงซินก็รีบคุกเข่าและคำนับกับพื้นทันที

เห็นได้ชัดว่าบุรุษตรงหน้าเป็นผู้ที่ลึกลับที่สุดแห่งแคว้นต้าเยี่ยน

เขาก็คือบรรพบุรุษของราชวงค์ต้าเยี่ยน เยี่ยนเทียนซาน

“การออกจากเมืองหลวงครั้งนี้ของปิงซิน ดูเหมือนจะได้พบวาสนาที่มิธรรมดาทีเดียว” เสียงที่แหบแห้งดังขึ้นด้านหน้าเยี่ยนหยางเหนียนและเยี่ยนปิงซิน

สองคนพ่อลูกมีสีหน้างุนงง ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น พลันเห็นชายชราสวมชุดคลุมสีเทายืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง ด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่นิ่งสงบ

“พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด” เยี่ยนเทียนซานกวาดตามองคนทั้งสองและเปรยขึ้นเบา ๆ

เยี่ยนหยางเหนียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้แก่เยี่ยนปิงซิน จากนั้นจึงได้ลุกขึ้นยืน

“ท่านบรรพบุรุษ ข้ามิอยู่ ท่านคิดถึงข้าหรือไม่เจ้าคะ ? ” เยี่ยนปิงซินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน พลางเดินเข้าไปหาเยี่ยนเทียนซาน

เยี่ยนหยางเหนียนอิจฉาภาพที่เห็นตรงหน้ายิ่งนัก

เยี่ยนปิงซินมีรากวิญญาณชั้นยอด บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ในบรรดาราชนิกูลทั้งหลาย จึงมีเพียงเยี่ยนปิงซินที่ได้รับความโปรดปรานจากท่านบรรพบุรุษ

นอกจากนี้ในปีที่เยี่ยนปิงซินกำเนิดนั้น ท่านบรรพบุรุษยังยอมปรากฏกายและตั้งชื่อให้เยี่ยนปิงซินด้วยตัวเองอีกด้วย สิ่งนี้ทำให้ตกตะลึงไปทั่วทั้งวังหลวง

เยี่ยนเทียนซานเดินออกมายืนตรงหน้าประตูตำหนักโดยมีเยี่ยนปิงซินเคียงข้าง

“ปิงซิน เจ้ายังมิได้ตอบคำถามข้าเลยว่าช่วงที่เจ้าออกนอกเมืองหลวง เจ้าไปพบกับวาสนาอันใดมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เยี่ยนเทียนซานเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ต่อหน้าเยี่ยนปิงซินเขาเป็นเพียงชายชราใจดีผู้หนึ่งเท่านั้น หาได้มีท่าทีน่าเกรงกลัวแต่อย่างใดไม่

เยี่ยนปิงซินสบตากับเยี่ยนหยางเหนียนเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกไปตามความจริง “เรียนท่านบรรพบุรุษ ก่อนหน้านี้ปิงซินได้พบกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งในเขตแดนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมาเจ้าค่ะ…”

“ทำให้ตบะบำเพ็ญเพียรและการรู้แจ้งล้วนเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นเพราะการชี้แนะของผู้อาวุโสท่านนั้นเจ้าค่ะ”

เยี่ยนเทียนซานมองเยี่ยนปิงซินก่อนจะส่งเสียงเป็นการรับรู้ออกมาเบา ๆ และถามต่ออย่างสนใจว่า “เช่นนั้นเจ้าลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าเขาเป็นคนเช่นไรกัน ? ”

“คือว่า…”

เมื่อได้ยินคำถามของเยี่ยนเทียนซาน เยี่ยนปิงซินก็มีท่าทีอึกอักเล็กน้อย

ด้วยตบะบำเพ็ญเพียรของนางตอนนี้มิอาจที่จะสัมผัสถึงตบะของผู้อาวุโสเย่ได้เลย ผู้อาวุโสเย่เองก็มิเคยเอ่ยถึง ส่วนความแตกฉานในด้านอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่น่าเหลือเชื่อทั้งสิ้น

“ตอบยากมากขนาดนี้เชียวหรือ หรือว่าผู้อาวุโสท่านนั้นมิอยากให้คนนอกรู้เรื่องของเขากัน” เยี่ยนเทียนซานเอ่ยถามขึ้น

เยี่ยนปิงซินส่ายหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีอึกอัก “ท่านบรรพบุรุษเจ้าคะ มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ เพียงแต่ผู้อาวุโสท่านนั้นมิเคยบอกอะไรข้าเลย ข้ารู้เพียงว่าเขาแซ่เย่ ชื่อฉางชิงเจ้าค่ะ”

“เย่… ฉางชิงงั้นหรือ ? ” เยี่ยนเทียนซานขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็มิเคยได้ยินชื่นนี้มาก่อนเช่นกัน

แต่ด้วยคลื่นปราณที่ปกคลุมอยู่บนกายเยี่ยนปิงซินจาง ๆ บวกกับไอพลังเต๋าที่สับสนวุ่นวายนี้ ทำให้เขารับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีฝีมือที่มิธรรมดาเลย

เยี่ยนหยางเหนียนจึงเอ่ยขึ้นว่า “ปิงซิน เจ้านำภาพอักษรพู่กันที่ผู้อาวุโสเย่มอบให้เจ้ามาให้ท่านบรรพบุรุษดูสิ ด้วยความแตกฉานในวิถีดาบของท่านบรรพบุรุษ ต้องมองอะไรหลายสิ่งหลายอย่างออกอย่างแน่นอน”

“ภาพอักษรพู่กันงั้นหรือ ? ” เยี่ยนเทียนซานยิ้มออกมาอย่างมิถือสา

‘แค่ภาพอักษรพู่กันจะแสดงให้เห็นอะไรได้ ? ’

เยี่ยนปิงซินพยักหน้า ก่อนจะเพ่งสมาธิแล้วนำภาพอักษรพู่กันที่เย่ฉางชิงมอบให้ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ

“หืม ? ”

สีหน้าของเยี่ยนเทียนซานเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลง พลันหันไปมองภาพอักษรพู่กันในมือของเยี่ยนปิงซินอย่างรวดเร็ว

หลังจากเยี่ยนปิงซินคลี่ภาพอักษรพู่กันออกมา สีหน้าของเยี่ยนเทียนซานก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

“เจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“คาดมิถึงว่าเพียงแค่ภาพอักษรพู่กันจะแฝงเจตจำนงแท้จริงของกระบี่เอาไว้ได้มากมายถึงเพียงนี้ ! ”

“ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ คนผู้นี้แตกฉานในวิถีกระบี่เพียงใดกันนะ”

หลังจากได้สติเยี่ยนเทียนซานก็เอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น “ปิงซิน ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นคนเขียนภาพอักษรพู่กันภาพนี้จริง ๆ หรือ ? ”