หลังการพูดคุยกันอย่างยาวนาน สวีหงอวี่ได้ทิ้งหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งบันทึกทางการ บันทึกลับ และบันทึกส่วนตัวไว้ให้เยี่ยหลีกองใหญ่ พร้อมสั่งไว้ให้นางหาเวลาอ่านเสีย จากนั้นจึงนำสวีหงเยี่ยนออกเดินทางไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเจ้ากรมเยี่ยออกมาส่งด้วยท่าทีประหม่า เยี่ยหลีสบตาที่ดูซับซ้อนของบิดาคู่นั้น ก่อนย่อตัวลงคารวะ แล้วเดินกลับเรือนชิงอี้เซวียนของตนไปศึกษาหนังสือประวัติศาสตร์เหล่านั้นด้วยท่าทีเป็นปกติ 

 

 

           วันสมรสของเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยากำหนดไว้เป็นวันที่สิบสอง เดือนห้า ว่ากันว่าเป็นวันที่ดีที่สุดของเดือนห้า ได้ยินว่าเดิมทีเจ้ากรมเยี่ยไม่ค่อยพอใจที่จะจัดงานในวันนี้สักเท่าไร ด้วยเพราะวันนี้ไม่ถือเป็นวันฤกษ์ดีเท่าที่ควร เรื่องที่เกิดขึ้นในงานแต่งงานของเยี่ยอิ๋งทำให้เจ้ากรมเยี่ยมีเรื่องขุ่นเคืองใจมากพออยู่แล้ว หากเกิดปัญหาอันใดขึ้นในงานของเยี่ยหลีอีก เยี่ยหลินและเยี่ยซานคงไม่ได้แต่งงานออกไปแน่แล้ว แต่เพราะตำหนักติ้งอ๋องและตระกูลสวี รวมถึงตัวเยี่ยหลีเองไม่ได้ถือเรื่องวันมงคล และหากไม่เลือกวันนี้แล้ว การแต่งงานคงต้องเลื่อนออกไปไกลถึงเดือนแปด เพราะเดือนหกและเดือนเจ็ดไม่เหมาะกับการจัดงานมงคลเสียยิ่งกว่า แล้วยิ่งเพิ่งเกิดเรื่องที่เยี่ยหลีโดนจับตัวไปด้วยแล้ว ไม่ว่าตำหนักติ้งอ๋องหรือตระกูลสวีคงไม่ยอมให้เลื่อนวันแต่งงานออกไปเป็นแน่ ดังนั้นความไม่พอใจเพียงเล็กน้อยของเจ้ากรมเยี่ย จึงถูกทุกคนมองข้ามไปโดยปริยาย 

 

 

           เข้าสู่กลางเดือนห้าได้ไม่นาน ชีวิตของเยี่ยหลีที่เคยสบายๆ ก็สิ้นสุดลงทันที ชิงอี้เซวียนที่เคยเงียบสงบ กลับคึกคักขึ้นผิดหูผิดตา ทุกวันจะมีของมากมายส่งเข้ามายังชิงอี้เซวียน ทำให้มีบัญชีและรายการสิ่งของจำนวนมากให้เยี่ยหลีต้องสะสางทุกวัน ถึงแม้จะมีหมัวมัวทั้งสองของช่วยเหลือชี้แนะ แต่ก็ยังทำให้เยี่ยหลีต้องเหนื่อยไม่น้อย ผู้คนในเมืองหลวงเมื่อเห็นว่าทั้งตระกูลเยี่ย ตระกูลสวี และตำหนักติ้งอ๋องยังคงจัดเตรียมงานแต่งงานกันตามปกติราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น ทำให้จากเดิมข่าวลือที่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็ค่อยๆ ลืมเรื่องนี้กันไปเอง 

 

 

           “อิจฉาหลีเอ๋อร์จริง งานแต่งงานที่ตำหนักติ้งอ๋องจะต้องเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสิบปีนี้เป็นแน่”  

 

 

ที่ชิงอี้เซวียน มู่หรงถิงกำลังเอนตัวกอดผ้าไหมชื่อดังพับหนึ่งที่เพิ่งส่งเข้ามาที่เรือนอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น โดยมีเยี่ยหลี ฉินเจิง และฮว่าเทียนเซียงกำลังนั่งสะสางบัญชีกันอยู่อีกด้าน ห่างไปไม่ไกลมีเยี่ยซานและเยี่ยหลินนั่งช่วยงานด้านเย็บปักถักร้อยอยู่ ด้านนอกยังคงคึกคักไปด้วยเสียงคนเดินเข้าออก ฮว่าเทียนเซียงเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชี มองไปที่นาง  

 

 

“หลีเอ๋อร์ไม่ได้เชิญเจ้ามาให้นั่งอิจฉาริษยาเสียหน่อย หากเจ้ามีเวลาพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ สู้มาดูว่าพอมีไรที่เจ้าพอช่วยได้บ้างไม่ดีกว่าหรือ แต่จะว่าไป…ที่เจ้าพูดก็ถูกนะ” 

 

 

           ฉินเจิงถือพู่กันขีดๆ เขียนๆ อยู่บนสมุดบัญชี พร้อมเอ่ยถามว่า “หวังซื่อฮูหยินไม่คิดที่จะช่วยเจ้าจัดเตรียมงานเลยจริงๆ หรือ หากมีใครพูดออกไปคงไม่ดีต่อชื่อเสียงของนางเป็นแน่” 

 

 

           เยี่ยหลีเพียงยิ้มน้อยๆ “ฮูหยินผู้เฒ่าให้สินเดิมเพิ่มมาอีกไม่น้อย สองสามวันมานี่นางไม่ค่อยสบายนัก เห็นว่าน้องสี่ที่อยู่ตำหนักติ้งอ๋องเกิดป่วย นางจึงต้องไปคอยดูแล ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วละ”  

 

 

ได้ยินเช่นนี้มู่หรงถิงจึงหัวเราะเยาะออกมาก “มีที่ไหนที่ลูกสาวแต่งออกไปได้ไม่ถึงเดือน คนเป็นแม่ก็รีบแจ้นไปคอยดูแลเช่นนี้ ว่าแต่ เยี่ยอิ๋งคงไม่ได้ป่วยไปจริงๆ หรอกใช่หรือไม่ หลายวันนี้ไม่เห็นนางออกมาโอ้อวดตัวเลยจริงๆ”  

 

 

ฮว่าเทียนเซียงเชิดคางขึ้นยิ้ม “นั่นก็ต้องให้นางมีเรื่องออกมาโอ้อวดได้หน่อยนะ หากหลีอ๋องดีกับนางหน่อย ไม่แน่ว่านางอาจจะพอออกมาโอ้อวดความสุขหลังแต่งงานได้ แต่ได้ยินว่าช่วงนี้องค์หญิงซีสยายังคอยตอแยหลีอ๋องอยู่ทุกวัน นางไม่กลายเป็นภรรยาผู้ระทมทุกข์ไปก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” 

 

 

           ฉินเจิงส่ายหน้า นางไม่สนใจข่าวเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มากนัก แต่สนใจงานแต่งงานของเยี่ยหลีเสียมากกว่า  

 

 

“ไม่รู้จริงๆ ว่าหวังซื่อฮูหยินคิดอันใดอยู่ ตำหนักติ้งอ๋องส่งของหมั้นมามากน้อยเพียงใดทุกคนต่างรู้ดี ต่อให้ตระกูลเยี่ยให้สินเดิมเพิ่มเข้าไปอีกหน่อย อย่างไรนางก็ไม่ขาดทุน ที่นางสร้างเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ตระกูลเยี่ยหรือที่จะเสียหน้า”  

 

 

ฮว่าเทียนเซียงพูดต่อว่า “เจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ประวัติของหวังซื่อฮูหยินนี่ ต่อให้ตอนนี้นางเป็นภรรยาเอกของใต้เท้าเยี่ย แต่ฐานะอย่างนางไม่เพียงพอที่จะเป็นประธานจัดงานแต่งงานให้เยี่ยหลีหรอก เกรงว่าถึงเวลาจริงอาจต้องให้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าช่วยออกหน้าให้เสียด้วยซ้ำ เออใช่สิ ทางตำหนักติ้งอ๋องเองก็ไม่มีผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงที่สามารถเป็นประธานได้เลยนี่ อาหลี ติ้งอ๋องเคยพูดหรือไม่ว่าจะให้ใครมาเป็นประธานที่ตำหนักติ้งอ๋อง” 

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “เดิมทีองค์หญิงเจาหยางมีพระประสงค์จะมาทำหน้าที่นี้ให้ แต่ถึงแม้ติ้งอ๋องจะเรียกองค์หญิงเจาหยางว่าเสด็จป้า แต่ได้ยินว่าถ้าว่ากันตามฐานันดรศักดิ์แล้วถือว่าเท่ากัน ดังนั้นองค์หญิงเจาหยางจึงแนะนำให้เชิญองค์หญิงซีฝูมาทรงเป็นประธานให้” 

 

 

           ฮว่าเทียนเซียงยิ้มพร้อมโบกมือไปมา  

 

 

“ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ท่านปู่ข้าบอกว่า แต่ก่อนผู้ที่องค์หญิงโปรดปรานที่สุดก็คือติ้งอ๋อง ตอนติ้งอ๋องเกิดองค์หญิงยังเคยอุ้มเขาอีกด้วย ตอนที่ติ้งอ๋องเกิดเรื่องจนเหลือชีวิตอยู่เพียงครึ่งนั้น องค์หญิงซีฝูนี่เองที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง สรุปว่า ติ้งอ๋องจะเชิญองค์หญิงให้ช่วยมาเป็นประธาน แสดงให้เห็นว่าเขามีความจริงใจต่ออาหลีไม่น้อย”  

 

 

มู่หรงถิงยิ้มจนตาหยี “ข้าถึงได้บอกไง งานแต่งของหลีเอ๋อร์ถือเป็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติที่สุดในรอบสิบปีนี้เลยเทียว ได้ยินว่าผู้ยิ่งใหญ่จากแคว้นอื่นๆ ก็จะมาร่วมงานนี่ด้วย” 

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “งานแต่งงานของตำหนักติ้งอ๋องเกี่ยวอันใดกับผู้ยิ่งใหญ่จากแคว้นอื่นๆ หรือ” 

 

 

           “อาหลี เจ้าอย่าได้ดูถูกอิทธิพลของตำหนักติ้งอ๋องเชียว ตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักติ้งอ๋องมาร้อยกว่าปีนี้ จะว่าได้กวาดล้างดินแดนมาทั่วทั้งสี่ทิศแล้วก็ว่าได้ แคว้นที่มีพรมแดนติดกับต้าฉู่ได้ก็ล้วนต้องติดต่อกับตำหนักติ้งอ๋องทั้งสิ้น” 

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว พวกเขามาเพื่อเยาะเย้ยนี่เอง”  

 

 

ทายาทเพียงคนเดียวของตำหนักติ้งอ๋องที่น่ายำเกรง คนที่ดำรงตำแหน่งเป็นติ้งอ๋องคนปัจจุบันเป็นเพียงคนไร้สมรรถภาพ ทั้งเสียโฉมและต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ยังมีเรื่องอันใดที่จะทำให้ผู้ยิ่งใหญ่จากต่างแคว้นเป็นสุขกว่านี้ได้อีก เกรงว่าราชสำนักของแต่ละแคว้นจะดีใจเสียยิ่งกว่าต้าฉู่เปลี่ยนองค์ฮ่องเต้เสียอีก  

 

 

ทุกคนต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง แล้วอดถอนใจออกมาไม่ได้ ถูกแล้ว แคว้นต่างๆ ที่ส่งทูตเข้ามาร่วมงานครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีกับติ้งอ๋อง แต่จะมาดูว่า หลังจากที่เงียบหายไปถึงเจ็ดปีทายาทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตำหนักติ้งอ๋องจะมีสภาพเช่นไร จะยังทำให้พวกเขาเกรงกลัวได้อีกหรือไม่ 

 

 

           “หลีเอ๋อร์…” 

 

 

           หากเยี่ยหลีกลับโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ  

 

 

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก ในเขตเมืองหลวงของต้าฉู่ พวกเขาจะทำอันใดข้าได้ หากพวกเจ้ามีเวลามานั่งเป็นกังวลเรื่องนี้ สู้ช่วยข้าจัดการของเหล่านี้เสียยังดีกว่า พรุ่งนี้ท่านป้าสะใภ้รองจะขอดู”  

 

 

เยี่ยหลีมองกองสมุดบัญชีและรายการต่างๆ ตรงหน้าด้วยความปวดหัว มาตอนนี้ถึงได้รู้ว่าพวกตัวเลขกับการจดบัญชีระบบบัญชีคู่นี่ยุ่งยากน่าดูเลยจริงๆ แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ รอให้อีกหน่อยย้ายเข้าไปอยู่ตำหนักติ้งอ๋องและมีเวลามากขึ้นแล้วค่อยๆ สะสางก็ยังได้  

 

 

ฮว่าเทียนเซียงและฉินเจิงมองกองสมุดบัญชีตรงหน้าที่ยังเหลืออีกกว่าครึ่งแล้วก็พูดอันใดไม่ออก เจ้าของพวกนี้เยอะเกินไปแล้ว 

 

 

           เยี่ยหลินกับเยี่ยซานนั่งฟังพวกนางคุยเล่นกันแล้ว ก็รู้สึกทั้งอิจฉาและเห็นใจเยี่ยหลี แต่พวกนางต่างรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้พวกนางจะพูดสอดไม่ได้ ทำได้เพียงเงี่ยหูตั้งใจฟังพร้อมก้มหน้าก้มตาทำงานในมือเท่านั้น 

 

 

           “เอ๊ะ” อยู่ดีๆ มู่หรงถิงที่นั่งเอนหลังอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บนฟูกก็กระเด้งตัวลุกขึ้นมา พร้อมกับพุ่งไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน นางยื่นตัวออกไปมองอยู่พักใหญ่ก่อนดึงตัวกลับเข้ามาด้วยความสงสัย สีหน้าเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง  

 

 

           ฮว่าเทียนเซียงมองนางแล้วกล่าวว่า “ทำไมหรือ นอกหน้าต่างมีอันใด” 

 

 

           มู่หรงถิงส่ายหน้า เหลือบมองเยี่ยหลีแต่ยังคงไม่พูดอันใด  

 

 

เยี่ยหลียิ้มให้นางน้อยๆ “เมื่อครู่ข้าเหมือนเห็นนกสีเขียวหยกบินออกไป มู่หรงก็เห็นเหมือนกันใช่หรือไม่”  

 

 

มู่หรงถิงกะพริบตาปริบๆ ก่อนพูดอย่างใช้ความคิดว่า “ใช่ๆ ข้าเห็นนกที่สวยมากตัวหนึ่ง ใครจะรู้ว่าพอข้าไปถึงหน้าต่าง ก็บินหายไปเสียแล้ว”  

 

 

ฉินเจิงหัวเราะพรืดออกมา ก่อนปิดปากพูดว่า “นกบินเร็วออกจะตาย จะมารอเจ้าที่ไหนกัน”  

 

 

ฮว่าเทียนเซียงเหลือบมองนางทีหนึ่ง “เจ้านึกชอบนกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด หากเจ้าชอบจริง ไปขอให้ท่านพ่อเจ้าช่วยจับให้สักตัวสิ หรือไม่ก็ไปหาซื้อที่สวยๆ มาสักตัวก็ยังได้ จะมาตื่นเต้นอันใดเช่นนี้” 

 

 

           “ก็ข้าพอใจนี่” มู่หรงถิงเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ก่อนทิ้งตัวลงกลับไปนอนบนฟูกเช่นเดิม พร้อมกับถือโอกาสถลึงตาใส่เยี่ยหลีเสียทีหนึ่ง เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ มู่หรงถิงเห็นสิ่งใด นางย่อมรู้ดีแก่ใจ หลายวันมานี้มักมีคนแปลกๆ คิดอยากเข้ามาเยี่ยมนางอย่างลับๆ เสมอ แต่มักโดนองครักษ์ที่ม่อซิวเหยาส่งมาคอยคุ้มกันจับโยนออกไปหมด เพียงแต่ที่บุกเข้ามากลางวันแสกๆ เช่นนี้ก็ไม่มีให้เห็นบ่อยนัก 

 

 

           “คุณหนูขอรับ ทายาทท่านเจิ้นหนานอ๋อง เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิงให้คนนำของขวัญแสดงความยินดีสำหรับวันมงคลใหญ่ของคุณหนูกับท่านอ๋องมาให้ขอรับ” พ่อบ้านจวนเยี่ยยืนรายงานอยู่ที่หน้าประตู  

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ทายาทท่านเจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิงหรือ หากจะนำของขวัญมาให้ก็ควรส่งไปที่ตำหนักติ้งอ๋องมิใช่หรือ”  

 

 

พ่อบ้านตอบอย่างนอบน้อมว่า “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อบอกว่าของขวัญชิ้นนี้เป็นของขวัญที่แคว้นซีหลิงเตรียมให้พระชายาติ้งอ๋องในอนาคตขอรับ ดังนั้นจึงต้องส่งมาให้คุณหนูโดยตรง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของแคว้นซีหลิงขอรับ” 

 

 

           “ตอนนี้เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่ออยู่ที่ใด ท่านพ่ออยู่หรือไม่” เยี่ยหลีถาม 

 

 

           “อยู่ที่ห้องโถงใหญ่ขอรับ นายท่านเพิ่งกลับมากำลังรับรองแขกอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ขอรับ” พ่อบ้านกล่าว 

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ขอให้ท่านพ่อและเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อรอสักครู่ อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไป”