ภายในสนามประลอง บนอัฒจันทร์มีผู้ชมไม่น้อย คนส่วนใหญ่ล้วนมาเพื่อดูว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะถูกโจมตีอย่างไร จะถูกให้ไสหัวไปเช่นไร
พวกเขายั่วยุซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ไหว แต่ถ้าหากได้เห็นเขาถูกบีบออกไปจากวิทยาลัย ทุกคนล้วนยังเต็มใจจะมาดูท่าทีอันน่าอนาถของเขา
“เหตุใดเจ้าคนไร้ค่าผู้นั้นจึงยังไม่ปรากฏตัวอีกเล่า”
ถึงแม้จะไม่กล้าพูดต่อหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ว่าเธอเป็นคนไร้ค่า แต่พอลับหลังเธอแล้วก็เรียกเธอว่าคนไร้ค่า คนไร้ค่า กันไม่หยุดหย่อน
“เช่นนั้นมิใช่ว่าคนไร้ค่าหวาดกลัวไปแล้วกระมัง” มีคนถามขึ้น
“ก็เป็นไปได้นะ ถึงอย่างไรคุณหนูเมิ่งผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกวิญญาณ ส่วนเขาเป็นคนไร้ค่าโดยสมบูรณ์แบบ เมื่อเผชิญกับการท้าประลองเช่นนี้ ด้วยอุปนิสัยของเขาแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะหนีเอาตัวรอดไปเสียแล้ว”
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่มีหน้าอยู่ในวิทยาลัยแล้วกระมัง!”
“เขาจะไม่มีหน้าได้อย่างไรกัน! คนไร้ค่าผู้นั้นหนังหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองเสียอีก ไม่อย่างนั้นคงจะไม่เกาะแกะคุณชายมู่หรงสุดชีวิตไม่ยอมปล่อยหรอก!”
“คุณชายมู่หรงผู้นี้ก็ช่างน่าสงสารเสียจริง ถึงกับถูกบุรุษผู้หนึ่งชมชอบเข้า เมื่อเห็นสีหน้าของเขาทุกครั้งที่ได้ยินชื่อซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็รู้สึกว่าเขาช่างน่าสงสารยิ่งนัก”
“ฮ่าๆ ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้จะถูกไล่ออกจากวิทยาลัยอยู่แล้ว พวกคุณชายมู่หรงมาแล้วหรือยัง”
“มาแล้ว นั่งอยู่ตรงที่นั่งแถวล่างสุดนั่นอย่างไรเล่า!”
ทุกคนมองไปตามคำพูดของคนผู้นั้น แล้วก็เห็นมู่หรงอานและน่าหลานหลาน คุณหนูของตระกูลน่าหลานนั่งอยู่ตรงกลางของที่นั่งแถวแรก
“มู่หรง มิใช่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้จะไม่มาแล้วหรือ” น่าหลานหลานนั่งอยู่ข้างกายมู่หรงอาน กลิ่นอายสูงศักดิ์ของคุณหนูตระกูลใหญ่ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย
“ต่อให้เขาไม่มา ข้าก็มีวิธีทำให้เขาหายสาบสูญไปจากวิทยาลัยอยู่ดีนั่นแหละ!” มู่หรงอานพูด “เดิมทีข้าคิดว่าเขาถูกวิทยาลัยไล่ออกไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะไปเข้าชั้นเรียนของนักเรียนใหม่เสียได้ ถ้าหากเขายังกล้ามารังควานข้าอีก ก็อย่าตำหนิว่าข้าใจดำลงมือโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!”
“พี่เขย ท่านวางใจเถิด คนไร้ค่าผู้นั้นจะต้องไม่กล้ามารังควานท่านอีกอย่างแน่นอน” น่าหลานฉีพูดอมยิ้ม
“น้องข้า เจ้าจะป่วนไปไยเล่า!” น่าหลานหลานถูกคำเรียกหามู่หรงอานของน่าหลานฉีทำให้อายจนหน้าแดงก่ำ
“ฮ่าๆ ถึงอย่างไรพวกท่านสองคนตกลงสานสัมพันธ์เช่นคู่ครองกันแล้ว เพียงแค่ยังมิได้จัดงานแต่งงานเท่านั้นเอง ในใจของข้า พี่มู่หรงก็เป็นพี่เขยข้าไปเรียบร้อยแล้ว ใช่ไหมพี่เขย” น่าหลานฉีพูดจบแล้วก็ยังไม่ลืมลากมู่หรงอานลงคลองมาด้วย
ถึงแม้ว่ามู่หรงอานจะไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าเขามิได้ปฏิเสธ จึงนับได้ว่ายอมรับคำพูดของน่าหลานฉี
“ดูสิ เจ้าคนไร้ค่ามาแล้ว!”
ไม่รู้ว่าใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา สายตาของทุกคนจึงไปรวมกันอยู่ที่ประตูทางเข้า ก็มองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์และเว่ยจือฉีเดินเข้ามา
เมิ่งถิงที่ยืนอยู่กลางเวทีประลองมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็โบกมือคราหนึ่ง ทั้งสนามพลันเงียบสงบลงในทันใด
“ให้พวกเรารอคอยกันเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้ายังคิดว่าเจ้ามิกล้ามาแล้วเสียอีก!” เมิ่งถิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างหยามหยัน
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ยากนักที่จะมีโอกาสทำให้ภายหน้าภายหลังเจ้าไม่มายุ่งวุ่นวายกับข้าอีกต่อไป ข้าจะไม่คว้าโอกาสอันดีเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูอัฒจันทร์ผู้ชมโดยรอบ มีผู้คนมากันมากมายเหลือเกิน!
ดูท่าทางจะมีคนอยากชมดูเรื่องตลกของเธอไม่น้อยเลยทีเดียว
“ในเมื่อมาแล้วก็อย่ามัวเปลืองน้ำลายอยู่อีกเลย รีบบุกเข้ามาเสียสิ!” เมิ่งถิงเอ่ยอย่างหมดความอดทน
มัวสิ้นเปลืองเวลาอยู่กับคนไร้ค่าพรรค์นี้มากมายถึงเพียงนี้ นางก็แทบจะทนรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“ข้าไปรอเจ้าบนอัฒจันทร์นะ” เว่ยจือฉีพูด
“ไม่ต้องหรอก ข้าจะทำให้มันจบโดยเร็ว เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวเดียวก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ก็ได้” เว่ยจือฉีพยักหน้าแล้วยืนอยู่ที่ด้านล่างเวทีประลองพลางมองดูเธอเดินขึ้นหน้าไปก้าวแล้วก้าวเล่า
เมิ่งถิงมองซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาแล้วก็เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ถ้าหากข้าเป็นเจ้าละก็ คงจะยอมแพ้ไปเพื่อรักษาหน้าตาวงศ์ตระกูลแล้วละ”
“เพราะอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เพราะถ้าหากเจ้าไม่ยอมแพ้ ข้าก็จะโจมตีจนเจ้าพ่ายแพ้ พอถึงเวลานั้นคุณชายแห่งจวนแม่ทัพถูกผู้อื่นโจมตีเสียจนน่าอนาถ เช่นนั้นทั่วทั้งจวนแม่ทัพคงจะกลายเป็นที่ขบขันของชาวบ้านไปทั่ว” เมิ่งถิงพูด
“เจ้ามั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้น่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วถามขึ้น
เมิ่งถิงยืดอกแล้วเชิดคางขึ้นก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจในตนเองว่า “แน่นอนอยู่แล้ว!”
“โยวเย่ว์!”
ขณะนี้เอง ซือหม่าโยวเล่อและเจ้าอ้วนชวีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่บนเวทีประลอง ซือหม่าโยวเล่อก็ตกใจเสียจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
“โยวเย้ว์ เจ้าขึ้นไปได้อย่างไรกัน ลงมาหาข้าเร็วเข้า!” ซือหม่าโยวเล่อตะโกนเสียงดังไปทางซือหม่าโยวเย่ว์
“โยวเย่ว์ เจ้าลงมาเร็วเข้าเถิด เฮือกๆ…” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางหอบหายใจเฮือกใหญ่
“ท่านพี่สี่ ท่านมาได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูคนทั้งสองที่วิ่งเสียจนกระหืดกระหอบแล้วก็คาดเดาได้ว่าเจ้าอ้วนชวีจะต้องไปพาตัวเขามาเป็นแน่
ก่อนหน้านี้ตอนออกมาแล้วไม่เห็นเจ้าอ้วนชวี ก็ยังคิดว่าเขาคงจะอยู่ในห้องของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะไปเรียกกำลังเสริมมา
มิตรภาพนี้ เธอจดจำเอาไว้ในใจแล้ว!
เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลของคนทั้งสอง เธอแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่สี่ ตอนนี้ข้าขึ้นมาบนเวทีประลองแล้ว ยังไม่มีผลแพ้ชนะก็ลงไปไม่ได้หรอก นอกเสียจากว่าข้าจะยอมแพ้ มิฉะนั้นก็ลงไปก่อนไม่ได้หรอกนะ”
ระหว่างทางมาที่นี่เมื่อครู่ นางก็ได้ฟังเว่ยจือฉีบอกกฎกติกามาเรียบร้อยแล้ว
“เช่นนั้น…” ซือหม่าโยวเล่อคิดจะให้ซือหม่าโยวเย่ว์ยอมแพ้ไปเสียเลย เช่นนี้อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกผู้อื่นทุบตี
“ท่านพี่สี่!” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าซือหม่าโยวเล่อจะพูดอะไร จึงเอ่ยเสียงดังว่า “ต่อให้เป็นเพราะชื่อเสียงของจวนซือหม่า ข้าก็มิอาจหลบหนีโดยไม่ต่อสู้ได้หรอกนะ! นอกจากนี้… ข้าไม่มีทางทำให้จวนซือหม่าต้องอับอายเพราะข้าอีกแล้ว”
คำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ผู้คนในที่นั้นตกตะลึงไปเสียแล้ว ไม่มีทางทำให้จวนซือหม่าต้องอับอายเพราะนางอีกแล้ว คนที่เอ่ยวาจาเช่นนี้คือซือหม่าโยวเย่ว์จริงๆ น่ะหรือ!
“โยวเย่ว์…” ซือหม่าโยวเล่อมองดูรอยยิ้มบนใบหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พึมพำเรียกชื่อเธอ
ตอนนี้ “น้องห้า” ของเขา เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“ท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอะไรหรอก!” ซือหม่าโยวเย่ว์ทำสัญลักษณ์สู้ตายให้ซือหม่าโยวเล่อ จากนั้นก็มองเมิ่งถิงพลางพูดว่า “พวกเราเริ่มต้นกันเสียทีเถิด”
เมิ่งถิงมองดูผู้คนด้านล่างปราดหนึ่งแล้วพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์ว่า “ในเมื่อเจ้าฝึกยุทธ์ไม่ได้ ข้าก็จะต่อให้เจ้า อนุญาตให้ใช้อาวุธได้ ตอนนี้ก็หยิบอาวุธของเจ้าออกมาเสียสิ!”
เจ้าคำรามน้อยอยู่ในอ้อมแขนของเว่ยจือฉี เมื่อได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์พูดว่าเริ่มต้นก็ดิ้นพล่านอย่างตื่นเต้น แต่หลังจากได้ยินเมิ่งถิงพูดว่าหยิบอาวุธออกมาแล้วก็สลดลงไปในทันใด ทั้งยังใช้อุ้งเท้าน้อยๆ สองข้างปิดตาตัวเองเอาไว้อีกด้วย
เว่ยจือฉีสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเจ้าคำรามน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อครู่มันเพิ่งจะตื่นเต้นอยู่แท้ๆ แต่เหตุใดตอนนี้จึงเป็นเช่นนี้ไปเสียได้ แต่ว่าเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเขาก็เข้าใจแล้ว
เพราะว่าซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอากริชที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา ฝักหุ้มด้านนอกของกริชนั้นแสนจะเรียบง่าย คล้ายกับว่าเพียงแค่หยิบเอาเศษผ้าชิ้นหนึ่งมาพันเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น และในตอนที่เธอชักกริชออกมาจากฝัก ทั่วทั้งสนามก็มีเสียงหัวเราะดังระเบิดขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ จวนแม่ทัพไม่มีอาวุธแล้วหรือไร หรือจะบอกว่าไม่มีแม้แต่เงินจะไปซื้ออาวุธสักเล่มหนึ่งเลยเชียวหรือ ถึงได้หยิบเอากริชสนิมเขรอะเล่มหนึ่งมาต่อกรกับผู้ฝึกวิญญาณได้!”
“ตลกแทบตายอยู่แล้ว!”
ซือหม่าโยวเล่อมองเห็นกริชในมือซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็อยากจะยกมือขึ้นมาปิดตาเหมือนเจ้าคำรามน้อย นี่มัน… เป็นอาวุธที่น่าผิดหวังเกินไปแล้วจริงๆ!
เมิ่งถิงมองเห็นอาวุธที่ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบออกมาแล้วก็สะดุ้งคราหนึ่งก่อนจะหัวเราะแล้วพูดว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ตัวเจ้าเองไม่มีพลังวิญญาณก็ช่างเถิด นี่ยังถึงกับหยิบเอากริชเช่นนี้เล่มหนึ่งมาประลองกับข้าได้ เจ้าคิดจะใช้สนิมบนนั้นมาสกัดพลังวิญญาณของข้าหรือไร”
ซือหม่าโยวเย่ว์เองพอคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าพอหยิบกริชเล่มนี้ออกมาจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้แน่ แต่ว่าเธอชอบความรู้สึกในมือยามถือกริชเล่มนี้ วางแผนว่าต่อไปจะใช้มันเป็นอาวุธประจำกายตน รอหลังจากกลับไปแล้วค่อยขัดสนิมบนนั้นให้ดีก็ใช้ได้แล้ว
เมื่อเผชิญกับการหัวเราะเยาะของเมิ่งถิง เธอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่วางฝักลงบนพื้นแล้วพูดว่า “เริ่มกันเถิด”
………………