บทที่ 29: สงครามคำพูด

50,000 เหรียญทองงั้นเหรอ?

ราวกับว่าน้ำเย็นถูกสาดลงบนเปลวไฟในใจของอาร์เว่น ทันทีที่เขาได้ยินเงื่อนไข ‘ข้อตกลง’ ที่โรเอลเสนอให้กับเขา

ผู้จัดการสาขาจ้องไปที่เด็กชายด้วยความสับสนอย่างที่สุด ความคิดแรกที่ผุดเข้ามาในหัวของเขาก็คือต้องปฏิเสธราคาที่เกินจริงนี่ไปซะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นมืออาชีพของอาร์เว่น เขาจึงนึกเตือนตัวเองว่า เขากำลังเจรจาทำธุรกิจอยู่กับเด็ก ซึ่งทำให้อาร์เว่นสงบลงได้อย่างรวดเร็ว

“นายน้อยโรเอล ผมว่าท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับราคาตลาด แต่จำนวนเงินที่ท่านเสนอนั้นมันสูงเกินไปนะครับ”

อาร์เว่นถูฝ่ามือเข้าหากันอย่างเชื่องช้าแล้วพูดด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนกับจะสับสนกับโรเอล

“50,000 เหรียญทอง นั้นมากพอที่จะซื้อคฤหาสน์ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้เลยนะครับ สำหรับสินค้าเพียงชิ้นเดียว ราคานี้มันสูงเกินไปมาก แม้แต่ชุดเกราะลงอักขระเวทโบราณทั้งชุดก็ยังไม่ได้มีราคาแพงขนาดนั้นเลย”

“ชุดเกราะลงอักขระเวท? ขอโทษนะ นี่ท่านกำลังเปรียบเทียบสมบัติในคลังของตระกูลแอสคาร์ดกับสินค้าผลิตจำนวนมากอย่างงั้นเหรอ?”

โรเอลกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

เขาใช้กำปั้นทุบลงบนโต๊ะอย่างโอหัง แผ่รังสีอำมหิตอันชั่วร้ายในฐานะทรราชตัวน้อยออกมา

“ขยะพวกนั้นจะเอามาเทียบกับสมบัติที่ข้าเสนอได้ยังไง? ท่านพ่อเคยบอกข้าว่ามันเป็นของดีที่หาได้ยาก มีมูลค่าอย่างน้อย ๆ ก็หลายหมื่นด้วยซ้ำไป!”

โรเอลไม่ลังเลที่จะพูดชื่อของคาร์เตอร์ออกมาใช้เพื่อกดดันอาร์เว่น

ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าของอาร์เว่นที่ดูสับสนก็ดูจะจริงจังมากขึ้น เขาตอบกลับไปอย่างกังวล

“แต่นายน้อยโรเอล พวกเรายังไม่มีโอกาสได้เห็นสินค้าที่ท่านจะนำมาเสนอให้แก่ทางเราเลยนะครับ ผมเกรงว่าราคาที่ท่านร้องขอจะเกินกว่างบประมาณปัจจุบันของทางเราไปมาก …”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ โรเอลก็สวนขึ้นทันควัน

“ท่านอาร์เว่น ข้าสามารถรับประกันผลของมันได้เลย หากสินค้าใช้งานไม่ได้ ข้าก็พร้อมที่จะคืนเงินเต็มจำนวนให้กับพวกท่านในทันที ข้ายื่นข้อเสนอที่มีหลักประกันเป็นชื่อของข้าออกไปแล้วเพื่อแสดงความจริงใจ แล้วท่านล่ะเต็มใจจ่ายเงินเพื่อสมบัติของข้ามากแค่ไหนกัน?”

เมื่อเห็นว่าโรเอลเต็มใจที่จะรับรองคุณภาพสินค้าของเขามากแค่ไหน อาร์เว่นก็ประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ช่วงราคาที่ทางสำนักงานใหญ่สามารถยอมรับได้ สำหรับรายการคำขอหมายเลข 172 ก็คือ 0 ถึง 20,000 เหรียญทอง

แต่สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์มีกฎพิเศษว่าสาขาที่รับซื้อสินค้านั้นสามารถรับส่วนต่างของราคาเป็นค่าจัดหาสินค้าได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้พวกเขามีความกระตือรือร้นในการทำธุรกิจเชิงรุกมากขึ้นในรายการคำร้องขอ

ด้วยเหตุนี้เองสาขาย่อยส่วนใหญ่จึงมักจะเสนอราคาซื้อที่ 15,000 เหรียญทอง เพื่อที่พวกเขาจะได้รับ 5,000 เหรียญทองที่เหลือเป็นค่าจัดหาสินค้าสำหรับตัวเอง

อย่างไรก็ตามในแง่ของการเป็นพันธมิตรระยะยาวกับโรเอล ในการซื้อขายสมบัติของตระกูลแอสคาร์ด อาร์เว่นจึงตัดสินใจที่จะเสนอข้อตกลงที่ดีกว่าให้กับเด็กชาย

ผู้จัดการสาขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นในที่สุด

“ผมคิดว่าราคา 18,000 เหรียญทองเป็นราคาที่เหมาะสมสำหรับกรณีนี้ นายน้อยโรเอลมีความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ?”

อาร์เว่นมองเด็กน้อยอย่างประหม่า เด็กชายตรงหน้าเขานั้นดูเหมือนจะไม่ได้รู้หลักการต่าง ๆ ในวงการ เขากังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะโวยวายขึ้นมา​ เมื่อได้ยินความต่างของราคาที่แตกต่างกันมากจากข้อเสนอของตัวเอง แต่ด้วยความที่อาร์เว่นนั้นมีประสบการณ์มากมายในการเจรจาธุรกิจกับลูกค้ามากหน้าหลายตาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจในความสามารถด้านการโน้มน้าวของตัวเอง ว่าจะทำให้โรเอลยอมรับราคาที่เขาเสนอได้

ทว่าผลกลับตรงกันข้ามกับที่อาร์เว่นคิดไว้โดยสิ้นเชิง โรเอลวางถ้วยชาของเขาลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินออกจากห้องรับรองแขกไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ

“เอ๊ะ? เดี๋ยวครับ นายน้อยโรเอล! ท่านกำลังจะไปไหน?”

อาร์เว่นรีบลุกขึ้นยืนทันที เพื่อขวางทางออกของเด็กชายอย่างร้อนรน

“ท่านอาร์เว่น ข้าข้องใจเกี่ยวกับความจริงใจของท่าน ราคาที่ท่านเสนอมานั้นยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของข้อเสนอเริ่มต้นที่ข้าเสนอไปด้วยซ้ำ” โรเอลเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“นายน้อยโรเอล ผมขอรับรองเลยว่าผมไม่มีเจตนาที่จะหลอกลวงท่าน ข้อเสนอเริ่มต้นของท่านนั้นสูงเกินไป ราคา18,000 เหรียญทองคือขีดจำกัดเท่าที่พวกเราจะสามารถจ่ายได้แล้วครับ”

อาร์เว่นพูดด้วยสีหน้าที่จริงใจที่สุด ราวกับว่าเขาไม่ได้รับเหรียญทองจากข้อตกลงนี้เลยสักเหรียญเดียว

โรเอลมองไปที่อาร์เว่นเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเห็นอกเห็นใจ

ไอ้ลูกหมา แกคิดว่าฉันเป็นลูกไก่ในกำมือของแกใช่มั้ย? ได้เลย ฉันจะแสดงให้เห็นเองว่าวิธีในการเจรจาข้อตกลงมันทำกันยังไง!

“ข้าพอเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าขนาดของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์สาขาเขตการปกครองแอสคาร์ด จะยังเล็กเกินไปสินะ”

ความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโรเอล จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วตบที่หน้าอกของอาร์เว่นเบา ๆ

“หมายความว่ายังไงครับ​?” อาร์เว่นมีสีหน้างุนงง

เด็กชายมองเขาอย่างเหนือกว่า แล้วพูดต่อว่า “ท่านอาร์เว่น ข้ารู้ดีว่าความสามารถทางการเงินของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์สาขาของท่านนั้นมีจำกัด ดังนั้นข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ เร็ว ๆ นี้จะมีงานเลี้ยงเนื่องในวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิง​นอร่า ซึ่งข้าเองก็จะไปร่วมงานในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ด้วย ข้าเชื่อว่าสำนักงานใหญ่ของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ในจักรวรรดิเซนต์เมซิท จะต้องสามารถจ่ายในราคาที่ตอบสนองความต้องการของข้าได้แน่”

“!!!”

ประโยคดังกล่าวทำให้อาร์เว่นเบิกตากว้างพร้อมกับเหงื่อเย็น ๆ ที่เริ่มหลั่งไหลบนหลังของเขา

เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ

หากสิ่งที่โรเอลพูดเป็นความจริงล่ะก็ อาร์เว่นจะไม่เพียงแต่​พลาดข้อตกลงทางธุรกิจที่มีกำไรมหาศาลสองรายการสำหรับสาขาของเขาเท่านั้น แต่การประเมินตัวเขาในฐานะผู้จัดการสาขาของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์เองก็จะพังพินาศโดยสิ้นเชิงอีกด้วย!

อันที่จริงแล้วสำนักงานใหญ่ของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ในจักรวรรดิเซนต์เมซิทที่ทั้งยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามตามชื่อนั้น เหนือกว่าสาขาย่อยในเขตการปกครองแอสคาร์ดเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาจะต้องสนใจข้อเสนออันเปี่ยมไปด้วยผลกำไรของโรเอลเป็นแน่ อีกทั้งยังอาจเสนอข้อตกลงที่ดีกว่าของอาร์เว่นให้กับเด็กชายอีกด้วย

จากนั้นเมื่อคู่แข่งของอาร์เว่นรู้ว่าเขาพลาดข้อตกลงทางธุรกิจนี้ที่สาขาเขตการปกครองแอสคาร์ด พวกเขาจะต้องป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปเพื่อกำจัดคู่แข่งภายในสมาคมแน่

ผู้สืบทอดของตระกูลแอสคาร์ดจะเดินทางไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขายสมบัติของเขาโดยไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ? นอกจากนี้รายการหมายเลข 172 ยังเป็นรายการที่ร้องขอโดยสำนักงานใหญ่กลาง ดังนั้นพวกเขาจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

เมื่อถึงตอนนั้นอาร์เว่นจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนไร้ความสามารถ

แน่นอนว่าอาร์เว่นไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้จัดการสำนักงานใหญ่ของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ในจักรวรรดิเซนต์เมซิท เป็น ‘เพื่อนเก่า’ ของเขาที่เคยดูแลเขาเป็นอย่าง ‘ดี’ ในวัยเด็ก

อาร์เว่นจึงได้แต่กัดฟันทน และต้องยอมตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

“นายน้อยโรเอลได้โปรดสงบสติอารมณ์ลงสักครู่ก่อนเถอะครับ​ ทำไมพวกเราไม่ลองตกลงกันแบบนี้ดูล่ะ ตราบใดที่ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหลังจากการตรวจสอบสินค้าแล้ว ผมจะจ่ายให้ 25,000 เหรียญทอง”

อาร์เว่นกลัวว่าโรเอลจะปฏิเสธข้อตกลงนี้ เขาจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้งก่อนจะกลั้นใจพูดต่อ

“ผมรู้ว่าราคานี้อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับนายน้อย แต่ผมต้องขอบอกกับท่านตรง ๆ เลยว่าราคาโดยประเมินสูงสุดสำหรับคำขอหมายเลข 172 คือ 20,000 เหรียญทองเท่านั้น และตอนนี้ผมกำลังเสนอเหรียญทองเพิ่มให้ท่านอีก 5,000 เหรียญ จากกระเป๋าของตัวผมเอง เพื่อเป็นการแสดงถึงมิตรภาพระหว่างเรา ผมขอสาบานในนามของเทพีเซียได้เลยว่า แม้แต่สำนักงานใหญ่ของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ก็คงไม่สามารถเสนอราคานี้ให้แก่ท่านได้แน่นอนครับ”

เมื่อได้ยินคำปฏิญาณของอาร์เว่น การแสดงของโรเอลก็ปรับระดับลงเล็กน้อย เขาใช้เวลาไตร่ตรองข้อเสนอก่อนจะค่อย ๆ เดินกลับไปนั่งบนโซฟา จ้องมองไปทางนักธุรกิจเจ้าเล่ห์ตรงหน้าเขาสักครู่ก่อนที่จะพยักหน้ารับในที่สุด

“ดีมาก ข้าจะเชื่อใจท่าน เนื่องจากท่านได้สาบานในนามของเทพีเซีย เอาตามราคาที่ท่านว่ามาก็ได้ ทว่าข้ามีเงื่อนไขอยู่สองอย่าง”

“เอาสิครับ ได้โปรดระบุมาเลย” ตอนนี้อาร์เว่นทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับข้อเสนอ​ทุกอย่าง

“ประการแรก ข้าต้องการรับเงินล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งในห้าเป็นค่ามัดจำ เพื่อนำกลับไปให้ท่านพ่อ ประการที่สอง ด้วยเหตุผลบางประการท่านพ่อไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าสินค้าเหล่านี้มาจากคลังสมบัติของตระกูลแอสคาร์ด ดังนั้นข้าจะไม่ลงนามในข้อตกลงใด ๆ หรือรับทราบการทำธุรกรรมนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ข้าเชื่อใจและคาดหวังในการรักษาความลับระดับสูงสุดจากท่านนะ”

“ได้ครับ ผมเข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลไป สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ของพวกเรามีชื่อเสียงในด้านการรักษาความลับระดับโลก ดังนั้นท่านสามารถมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีใครได้รับรู้เกี่ยวกับการทำธุรกรรมครั้งนี้”

อาร์เว่นดีใจมากที่เห็นว่าเขาสามารถโน้มน้าวโรเอลได้สำเร็จ ต่อจากนั้นเขาจึงได้คุยเรื่อยเปื่อย​กับโรเอลเรื่องน้ำชา ก่อนจะยื่นเงินให้กับเด็กชายหนึ่งกล่องและพาเขาเดินออกจากตึกสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ไป

“แอนนา ท่านอาร์เว่นบอกว่าสินค้าชุดใหม่จะเข้ามาในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นพวกเราจะมาที่นี่กันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้นะ”

“รับทราบเจ้าค่ะ นายน้อย ดิฉันจะจัดการให้ตามนั้น”

หลังจากออกคำสั่งกับแอนนา โรเอลก็เข้าไปนั่งในรถม้า ก่อนที่จะหันไปอำลาอาร์เว่น

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ ท่านอาร์เว่น”

—————————————–

ภายในรถม้า ระหว่างกลับบ้านโรเอลลูบไล้กล่องที่เต็มไปด้วยเหรียญทอง พลางคิดเกี่ยวกับข้อตกลงทางธุรกิจก่อนหน้านี้ที่ตนเองตกลงไว้กับอาร์เว่น โชคดีที่เขาสามารถใช้ประโยชน์จากอายุ และชื่อเสียงในฐานะทรราชตัวน้อยของตัวเองให้เป็นประโยชน์ในระหว่างการเจรจาได้

ด้วยความที่โรเอลโด่งดังเลื่องชื่อในฐานะผู้สืบทอดอันไร้ความสามารถของตระกูลแอสคาร์ดอันทรงอิทธิพล เด็กชายจึงสามารถทำตัวไร้เหตุผลได้อย่างเต็มที่ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้อาร์เว่นผู้ยึดติดในหลักการและเหตุผลไม่สามารถรับมือกับเขาได้ ตัวแปรหลักก็คืออาร์เว่นเชื่อสนิทใจเลยว่า โรเอลนั้นจะเดินทางไปขายสมบัติของเขาที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ด้วยโทสะที่มี

แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรเอลไม่สามารถทนรอจนถึงวันคล้ายวันเกิดของนอร่าเพื่อไปทำการค้าที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะเขาจำเป็นต้องจ่ายค่าใช้จ่ายภายในเดือนนี้

อย่างไรก็ตามมันไม่มีทางเลยที่อาร์เว่นจะทราบถึงเรื่องนั้น เพื่อรักษาผลประโยชน์ในสิทธิ์​การซื้อขาย ‘สมบัติในคลังของตระกูลแอสคาร์ด’ ให้กับตัวเอง เขาจึงเลือกที่จะยอมขาดทุนในข้อตกลงแรก เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับโรเอล

น่าเสียดายที่โรเอลนั้นไม่มีแผนการที่จะทำการค้ากับสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์อีกต่อไปแล้ว

มันเสี่ยงเกินไปที่เขาจะดึงสิ่งของต่าง ๆ ออกมาจากอากาศ แล้วส่งมันลงไปในตลาดซื้อขาย เพราะมันอาจดึงดูดความสนใจที่โรเอลไม่ต้องการได้ในระยะยาว

นอกจากนี้เด็กชายคงไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มาร์ควิสคาร์เตอร์เข้าใจได้แน่ ๆ หากเขาทราบถึงเรื่องการทำธุรกิจในครั้งนี้ แต่หากเป็นเพียงแค่รายการเดียวล่ะก็ …

“มันก็แค่ตะเกียงสงบวิญญาณน่า อีกอย่างนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราทำธุรกิจนี้ด้วย เราคงไม่โชคร้ายโดนจับได้ตั้งแต่ครั้งแรกหรอกใช่ไหม?”

โรเอลพึมพำคนเดียวพลางคิดในแง่ดี