งอบ โดย ProjectZyphon
อาเหลียงไม่ดื่มเหล้าอีก เขารัดน้ำเต้าน้อยสีน้ำเงินไว้บนเอว แต่ยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่เหมือนเดิม ดาบไม้ไผ่ที่เทพผืนดินเขาฉีหลุนทำให้ใหม่วางพาดอยู่บนเข่าของชายฉกรรจ์สวมงอบ มือทั้งคู่ของอาเหลียงตบเบาๆ ลงบนด้ามดาบและยอดบนของฝักดาบ มือหนึ่งอยู่บน มือหนึ่งหนึ่งล่าง กล่าวว่า “อันที่จริงตลอดทางที่เดินทางมา ข้าคอยหยั่งเชิงข้ามาโดยตลอด หลายครั้งมาก การเลือกของเจ้าจะส่งผลต่อการตัดสินใจของข้าว่าจะส่งเจ้าไปถึงที่ไหน พูดง่ายๆ ก็คือ ข้าจะเดินทางเป็นเพื่อนเจ้าได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าข้ามผ่านอุปสรรคไปได้มากน้อยเท่าไหร่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มาถึงช่วงหลังๆ ข้าก็พอจะขบคิดได้บ้างแล้ว แต่ก็แค่รู้สึกว่าในท้องของเจ้าอาเหลียงมีความคิดมากมายอัดอยู่ ส่วนที่ว่าเจ้าคิดอะไรบ้าง ข้ากลับไม่เคยรู้เลย”
อาเหลียงไม่รู้สึกแปลกใจกับคำพูดนี้ของเขา กล่าวประกาศอย่างเปิดเผยว่า “ครั้งแรกคือบนธารน้ำหลงซวี หากครั้งนั้นเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลก เป็นคนดีเกินเหตุที่อาศัยเพียงความเลือดร้อนมาตัดสินใจกระทำเรื่องราว ข้าก็อาจจะทำเพียงแค่ทิ้งลาไว้ให้เจ้าตัวหนึ่งแล้วสะบัดก้นจากไป ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะรอดด่านของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะไปได้หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว จะอย่างไรซะไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องตาย มีแต่จะเปลืองน้ำใจข้าเปล่าๆ”
อาเหลียงย้อนนึกถึงรายละเอียดของเหตุการณ์พลางพูดจ้อเป็นต่อยหอย เฉินผิงอันฟังจนปากอ้าตาค้าง คิดไม่ถึงเลยว่าความคิดของอาเหลียงจะละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่อาจจินตนาการได้ว่าในชีวิตของตนจะมีการทดสอบแปลกประหลาดมากมายขนาดนี้เกิดขึ้น
“นับย้อนหลังไปครั้งที่สาม คือศึกบนพื้นหินเรียบยอดเขาฉีตุน หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจล่อหลอก เว่ยป้อเทพผืนดินเขาฉีตุนและงูสองตัวนั้นก็คงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามถึงเพียงนั้น”
“นับถอยหลังไปครั้งที่สอง ข้าล่อให้เจ้าย้อนกลับไปที่ป่าไผ่ เพื่อตัดไม้ไผ่เพิ่มขึ้นอีกหลายๆ ลำ”
“ครั้งนี้หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันก็จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เดิมทียังคิดว่าจะคุ้มครองพวกเจ้าไปให้ถึงด่านเย่ฟูก่อนแล้วค่อยจากไป แต่ตอนนี้มีสถานการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง จึงจำต้องจากไปก่อนล่วงหน้า”
อาเหลียงยิ้มสง่างาม “การทดสอบบางอย่างเกิดจากความตั้งใจ แต่การหยั่งเชิงบางอย่างกลับคล้อยไปตามสถานการณ์ ในช่วงเวลาระหว่างนี้ เรื่องบางเรื่องที่เจ้าทำลงไป ข้าไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพราะคร่ำครึเกิดเหตุ แต่เรื่องบางเรื่องกลับทำให้ข้ารู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก นี่ต่างหากถึงจะถูกต้อง นี่ไม่ใช่การสอบเคอจวี่ของพวกบัณฑิตอย่างฉีจิ้งชุนหรือชุยฉานที่ให้ความสำคัญกับความจริง หลังจากที่ข้าทำเรื่องพวกนี้ลงไปก็นิ่งดูดาย มองทุกการกระทำและคำพูดของเจ้า เป็นวิธีเดียวกับการรับลูกศิษย์คนสุดท้ายของพวกเทพเซียนเฒ่าในสำนักบางแห่ง ให้ความสำคัญกับจิตใจมากกว่าพรสวรรค์”
อาเหลียงเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “รู้สึกว่าข้าอาเหลียงสอดเรื่องชาวบ้าน จิตใจน่ากลัวดุจผี ในท้องมีแต่น้ำครำชั่วร้ายหรือเปล่า?”
แต่เขาไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไรก็ถามเองตอบเองอย่างรวดเร็ว “ข้าหรือจะมีเวลาว่างมากขนาดนั้น? ข้าอาเหลียงคือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ยุ่งมากเลย รู้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยกเท้าสองข้างวางบนเก้าอี้ตัวยาว นั่งขัดสมาธิอย่างเกียจคร้าน ยกมือสองข้างขึ้นเท้าคาง ถามว่า “อาเหลียง สาเหตุเป็นเพราะข้ารู้จักกับอาจารย์ฉีใช่หรือไม่? ดังนั้นเจ้าถึงได้ใส่ใจข้าถึงเพียงนี้?”
อาเหลียงเก็บรอยยิ้มสนุกสนานลงไป กล่าวเสียงทุ้มหนัก “บนเส้นทางของการฝึกตน สิ่งล่อลวงใจมีมากมายเกินไป หนังสือหน้าผาใหญ่น้ำหยุดเล่มนั้นของหลี่ไหว พรสวรรค์ในการฝึกตนของหลินโส่วอี ล้วนสามารถนำมาขายเป็นเงิน นำมาเปลี่ยนเป็นหินรองเท้าให้เจ้าเฉินผิงอันเหยียบเดิน ลูกศิษย์ของหลี่จิ้งชุนไม่ควรน่าเวทนาถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยที่ดีขนาดนั้น พอข้าคิดว่านางถูกอาจารย์อาน้อยที่ตัวเองเชื่อใจทำร้ายจิตใจ หัวใจของข้าอาเหลียงก็แทบจะแหลกสลาย”
อาเหลียงเพิ่งจะจริงจังได้ไม่เท่าไหร่ หางจิ้งจอกก็โผล่มาอีกครั้ง เขายิ้มตาหยีพลางพูดว่า “เฮ้อ ผู้ชายมีอายุอย่างพวกเราเนี่ยนะ บ้านเมืองล่มสลาย แผ่นดินสิ้นมลายอะไรก็ล้วนสามารถแบกรับได้ไหว มีเพียงความงดงามเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เท่านั้นที่ทนไม่ได้มากที่สุด”
เฉินผิงอันหยิบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลลูกหนึ่งที่อยู่ข้างกายซึ่งไม่ถูกก้นอาเหลียงนั่งทับขึ้นมาใส่ปาก เคี้ยวช้าๆ ถามเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน “อาเหลียง ตอนนี้เจ้าคิดว่าข้าเป็นยังไง? หากเจ้ารู้สึกว่าข้าไม่ไหวจริงๆ เจ้าก็หาเพื่อนสักคนไปส่งพวกเป่าผิงที่ต้าสุย ดีไหม? ข้าไม่กลัวลำบากหรอก อันนี้ไม่โกหกเจ้าจริงๆ แต่ข้ากลัวว่าอาจารย์ฉีจะผิดหวัง กลัวว่าข้าจะปกป้องพวกเป่าผิงได้ไม่ดีพอ”
อาเหลียงก่นด่ากลั้วยิ้ม “เจ้าอย่าได้หวังว่าจะหนีรอดเลย งานนี้ เจ้านั่นแหละที่เหมาะสมที่สุด ฉีจิ้งชุนเรื่องอื่นไม่ได้ความ แต่เรื่องสายตามองคนกลับยอดเยี่ยมจริงๆ เว้นเสียแต่ว่าจะเปลี่ยนให้ตาเฒ่ามาเป็นคนพาพวกเขาเดินทางไปศึกษาด้วยตัวเอง…ไม่พูดถึงตาเฒ่านั่นแหละ เจ้าเต่าหดหัวอยู่ในกระดองขี้ขลาดกลัวเกิดเรื่อง ซิ่วไฉยากจนขี้เหนียวนั่น พูดถึงแล้วก็อารมณ์ขึ้น…”
อาเหลียงประคองงอบ เงยหน้ามองไปแล้วจุ๊ปากพูด “โอ๊ะโอ ฮ่องเต้ต้าหลีน่าสนใจจริงๆ ร้ายกาจๆ ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีเวลาพูดเรื่องไม่มีประโยชน์กับเจ้าสักหน่อย แล้วก็จะได้อธิบายไปพร้อมกันเลยว่าเหตุใดข้าถึงยอมเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับเด็กอย่างเจ้า”
อาเหลียงเลิกนั่งไขว่ห้าง เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิเหมือนเฉินผิงอัน วางดาบพาดอยู่บนเข่า พูดช้าๆ ว่า “ไม่ว่าจะฝึกวรยุทธ์หรือฝึกลมปราณ บนเส้นทางของการฝึกตน สิ่งที่เป็นข้อต้องห้ามมากที่สุดคือความอืดอาดชักชา ดังนั้นการผูกสัมพันธ์กับผู้คนโดยทำตามเจตนารมณ์เดิมของตัวเองจึงเป็นทางลัดเส้นหนึ่ง แต่ยากก็ยากตรงที่ชอบคิดว่าเพราะอะไร ผู้ฝึกตนของสำนักการทหารไม่มีทาง ‘ถอยมาคิดอีกก้าว’ ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่บนโลกยากที่จะหนีพ้นกฎเกณฑ์ตายตัวนี้ รู้สึกเพียงว่าการเดินทวนกระแสน้ำขึ้นสู่เบื้องบน ก็คือการรุกไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ พยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะบุกไปข้างหน้าอย่างองอาจ เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ลัทธิเต๋าชอบสำรวจตรวจสอบจิตใจตัวเอง ศาสนาพุทธชอบมองอดีตชาติและการเกิดใหม่ ลัทธิขงจื๊อชอบพร่ำกฎเกณฑ์อันเป็นกรอบประเพณี สำนักโม่ค่อนข้างแปลก ชอบช่วยเหลือคนใต้หล้า เน้นย้ำในการผดุงความยุติธรรมมากที่สุด ไม่ชอบพูดถึงเรื่องความเป็นอมตะ สำนักประพันธ์เย่อหยิ่งแต่ไร้ฝีมือ หวังให้ตนเองสร้างโลกบนกระดาษขึ้นมาได้”
“ใจคนนี้เปราะบางดุจกระจก ไม่อาจทนรับการเคาะตี ฉีจิ้งชุนคือวิญญูชนที่ทั้งคร่ำครึและถือดี ในเมื่อเขาไม่ยอมทดสอบ ข้าก็จะทำแทนเขาเอง เรื่องที่เกี่ยวพันกับการสืบทอดควันธูปของสายบุ๋น จะทำเป็นเด็กเล่นได้อย่างไร? หากเจ้าเฉินผิงอันเป็นเพียงหมอนปักลายดอกไม้ หรือไม่แข็งแกร่งพอต่อสิ่งล่อลวง ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร? ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว แต่ข้าอาเหลียงยังมีชีวิตอยู่ ถึงเวลานั้นฉีจิ้งชุนตาไม่เห็นใจย่อมไม่รำคาญ แต่ข้ากลับต้องทนสะอิดสะเอียนน่ะหรือ? ต้องรู้ว่าการทนรับต่อความยากลำบากกับการทนต่อสิ่งยั่วเย้า คือสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
อาเหลียงถอนหายใจ “นี่ก็คงจะเป็นดั่งคำว่าฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ แต่ขันทีร้อนรนกระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน “อาเหลียงเจ้าวางใจได้ แม้ข้าจะชอบเงิน แต่ข้าชอบแค่เงินที่ช่วงชิงมาได้ด้วยสองมือของตัวเอง ทรัพย์สมบัติของคนอื่น ต่อให้หล่นอยู่บนพื้นแล้วข้าพบเข้า ก็มีแต่จะตามหาเจ้าของ ไม่มีทางเอาเก็บใส่กระเป๋าของตัวเองแน่นอน”
อาเหลียงยิ้ม “ไม่อาจพูดได้ว่าเจ้าผิด แต่หากเจ้ามีธุระด่วนต้องรีบใช้จริงๆ ก็สามารถเอามาใช้แก้ไขปัญหาคับขันเฉพาะหน้าก่อนหน้า เพียงแค่จดจำบัญชีนี้ไว้ให้ขึ้นใจก็พอ วันหน้าเมื่อมีกำลังจะใช้คืนก็ชดเชยให้มากหน่อยเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยินดี นี่ต่างหากถึงจะเป็นคนดีที่แท้จริง หาไม่แล้วเจ้าจะยังเฝ้าเงินนั่นเอาไว้แล้วปล่อยให้ตัวเองหิวตายหรือ?”
เฉินผิงอันถาม “แล้วจะวิเคราะห์ได้อย่างไรว่าข้ารีบใช้หรือไม่?”
อาเหลียงชี้นิ้วไปที่หัวใจตัวเอง แล้วค่อยชี้ต่อไปที่ศีรษะ “ผ่านสองด่านนี้ไปได้ เงินก้อนนั้นก็เอามาใช้ได้แล้ว”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงพยักหน้ารับอย่างแรง “อาเหลียง แม้ว่าเจ้าจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็เป็นคนที่เดินบนเส้นทางมามากมาย เจ้าพูดอย่างนี้ ข้าก็เข้าใจได้แล้ว”
อาเหลียงลูบสันจมูกตัวเอง “ทำไมถึงได้รู้สึกว่ายังสู้คำประจบของหลี่ไหวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
อาเหลียงเอนพิงรั้วระเบียง มองไปยังท้องฟ้าที่มีแสงจันทร์กระจ่างนอกระเบียง กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “รู้หรือไม่ ความคร่ำครึของเจ้า แท้จริงแล้วหากเปลี่ยนมาเป็นคำพูดของบัณฑิตอย่างพวกฉีจิ้งชุนจะเรียกว่า เที่ยงตรง ใช่ เป็นความเที่ยงตรงจริงๆ จิตใจสอดคล้องกับการกระทำ เที่ยงจากวิญญูชนคือผู้เที่ยงธรรม ตรงจากก้าวเดินบนทางตรง”
อาเหลียงพลันหัวเราะเสียงดัง ชี้หน้าเด็กหนุ่มที่ทำหน้าเหลอหลา “ฮ่าๆ ตัวเจ้าเองก็รู้เรื่องพวกนี้ เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลน คนโลภเห็นแก่เงิน ผีขี้เหนียว แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ เจ้าก็ยิ่งเหมือนตอนที่ตาเฒ่านั่นยังเป็นหนุ่มมากๆ อันที่จริงตอนที่ฉีจิ้งชุนอายุเท่าเจ้า นิสัยเขาแย่มาก กลับเป็นตาเฒ่าที่ทุกฝ่ายยอมรับว่าเป็นคนมีความสามารถที่ต้องใช้เวลานานถึงจะประสบความสำเร็จนั่นต่างหากที่เหมือนกับเจ้ามาก เป็นคนคิดมากมาตั้งแต่เด็ก นิสัยก็ดีมาก แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากรูปปั้นดินโคลนพระโพธิสัตว์ เกิดมาก็นั่งอยู่บนแท่นเทพเจ้าแล้ว…”
ยิ่งพูดน้ำเสียงของอาเหลียงก็ยิ่งแผ่วต่ำ เพียงแต่จู่ๆ เขาก็เพิ่มระดับน้ำเสียง “แน่นอนว่า ข้าอาเหลียงเป็นคนทำอะไรตามใจตัวเองมาจนชินแล้ว จึงไม่ค่อยชอบลักษณะเช่นนี้ของเจ้านัก ปีนั้นก็เป็นเพราะความรู้สึกเช่นนี้ถึงทำให้ข้าปฏิเสธคำขอร้องของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อืม ตอนนั้นเจ้านั่นก็มีอายุพอๆ กับเจ้าในเวลานี้ ข้ามักจะคิดอยู่บ่อยๆ ว่า หากตอนนั้นพาเขาไปท่องยุทธภพด้วยกัน ชีวิตจะดีกว่าตอนนี้หรือไม่ สุดท้ายตอนนั้นข้าพูดกับเด็กหนุ่มคนนั้นว่า เชื่อข้าเถอะ เจ้าเรียนหนังสือได้ดีกว่า ยุทธภพกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ มีข้าอาเหลียงแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว ทว่ามหาสมุทรตำราไร้ขอบเขตสิ้นสุด เหตุใดต้องลำบากตรากตรำตามหลังอาเหลียงด้วย”
ชายฉกรรจ์สวมงอบยิ้มกว้าง “ดังนั้นมาต้าหลีในครั้งนี้ ข้าจึงอยากจะคุยกับคนบางส่วนสักหน่อย ข้าอยากบอกกับพวกเขาว่า เรื่องที่ฉีจิ้งชุนไม่สนใจ มีคนที่สนใจ”
จู่ๆ อาเหลียงก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง
ในร้านหนังสือของตรอกเล็กบนถนนชมน้ำ หน้าผากของคุณชายหนุ่มที่เรียกขานตัวเองว่าหลี่จิ่นแห่งแม่น้ำชงตั้นพลันเหมือนถูกค้อนทุบลงมาอย่างแรก ร่างทั้งร่างที่ปลิวกระเด็นออกไปไม่เพียงแต่ชนชั้นหนังสือ ยังทะลุกำแพงออกไปร่วงลงในร้านที่อยู่ติดกัน ทำเอาลูกจ้างร้านนั้นที่เดิมทียืนงีบหลับอยู่หลังโต๊ะคิดเงินตกใจจนตัวสั่นสะท้าน
อาเหลียงพึมพำกับตัวเอง “เทพเซียนตีกัน แค่ชมงิ้วก็พอแล้ว เป็นเพียงปลาหลีตัวเล็กๆ นึกจริงๆ หรือว่าเคยพบเห็นแม่น้ำกว้างลูกคลื่นใหญ่มาทั้งหมดแล้วจริงๆ? แม่น้ำกว้างลูกคลื่นใหญ่ที่ข้าอาเหลียงเคยพบเห็นมามากกว่าเม็ดข้าวที่หลี่ไหวเคยกินเสียอีก นึกจริงๆ หรือว่าประโยคนี้แค่เป็นการคุยโว? ชั่วชีวิตนี้ข้าอาเหลียงไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอะไรคือการคุยโว”
แล้วเขาก็คว้าจับกลางอากาศข้างกายตัวเอง บนผนังลานกว้างที่ห่างออกไปไกล ภูตตัวจิ๋วลักษณะเหมือนปลาสีเขียวตัวหนึ่งคล้ายปลาที่งับเบ็ด พยายามดิ้นรนสุดชีวิต ฝ่ามือของอาเหลียงกระชากกลับ ปลาชิงหมิงตัวนี้ก็ถูกเขาพันธนาการอยู่ในพื้นที่คับแคบเท่าหนึ่งฝ่ามือ ที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลังจากตัดขาดการเชื่อมโยงทางจิตระหว่างมันกับเจ้านายแล้ว วัตถุวิเศษที่เดิมทีควรหายใจรวยริน กลับมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ มันส่ายสะบัดหางอย่างอิสระเสรี
อาเหลียงอธิบาย “เดี๋ยวไว้เอาไปให้หลี่ไหวเลี้ยงไว้ใน ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้น…เอ๊ะ? ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าเต่าน้อยตัวนี้เหยียบขี้หมานำโชคทุกวันเลย? ตอนอยู่เมืองเล็กหลี่ไหวเหยียบขี้หมาทุกวันแล้วไม่เคยเช็ดรองเท้าเลยหรือเปล่า?”
ห่างออกไปไกลมีเสียงใสกังวานของเด็กน้อยดังขึ้นมา “อาเหลียงเจ้าต่างหากที่เหยียบขี้หมาทุกวัน!”
เฉินผิงอันหันมามองอาเหลียง ฝ่ายหลังหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไร เจ้าสามคนนี้เพิ่งจะมาถึงไล่เลี่ยกันได้ไม่นาน ไม่รู้เรื่องของจูเหอกับจูลู่ สำหรับ ‘การจากไปโดยไม่ลา’ ของพ่อลูกคู่นี้ หลังจากนี้เจ้าค่อยหาข้ออ้างไปอธิบายกับพวกเขาก็แล้วกัน”
อาเหลียงโบกมือ “อย่ามัวไปแอบฟังอยู่มุมกำแพงกันอีกเลย มาๆๆ มาแบ่งของกัน”
หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีเดินตามกันมาที่ระเบียง หลี่เป่าผิงนั่งอยู่ฝั่งขวาของเฉินผิงอัน หลี่ไหวนั่งลงฝั่งซ้ายของเฉินผิงอัน ผลกลับกลายเป็นว่าเจอเหตุการณ์เดียวกับอาเหลียงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เขาก่นด่าพลางหยิบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่ติดก้นออก แล้วก็ยิ้มหน้าบาน ไม่ถามไถ่ใครก็จับพุทราเชื่อมยัดใส่ปากทันที ส่วนหลินโส่วอีไปนั่งเงียบๆ อยู่ข้างกายอาเหลียง
อาเหลียงหันมาส่งยันต์กระดาษเหลืองปึกหนึ่งให้แก่หลินโส่วอี “ตั้งใจศึกษาให้ดี อย่าใช้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ฉีจิ้งชุนเคยบอกว่า ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ของเมืองเล็กพวกเจ้ามีความลี้ลับยิ่งใหญ่ จนถึงตอนนี้ก็ยังซุกซ่อนโชควาสนาที่ไม่เล็กอย่างหนึ่งเอาไว้”
อาเหลียงตบไหล่เด็กหนุ่มผู้เย็นชา “ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้เจ้าหลินโส่วอีก็ถือว่าเป็นคนแรกของกลุ่มที่กลายมาเป็นผู้ฝึกตนสมชื่ออย่างแท้จริงแล้ว ต้องรู้จักทะนุถนอมอนาคตของตัวเองให้มาก”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ เก็บยันต์ปึกนั้นเข้าไปซ่อนไว้ในสาบเสื้อเหมือนกับ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ อย่างระมัดระวัง
อาเหลียงหันกลับไปมองหลี่ไหวที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หนังสือเฮงซวยเล่มนั้นของเจ้าล่ะ? เอาออกมา”
หลี่ไหวผรุสวาท “เจ้าคอยนึกถึงมันทำไม? ข้าจะเอาออกมาก็ต่อเมื่อเจ้าจ่ายให้ข้าก่อนสิบตำลึงเงิน!”
อาเหลียงดีดนิ้วหนึ่งที ปลาชิงหมิงตัวนั้นที่เดิมทีซ่อนตัวอย่างไร้ร่องรอยพลันลอยมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสี่ นอกจากเฉินผิงอันแล้ว เด็กอีกสามคนต่างก็มองตาค้าง
อาเหลียงกล่าวด้วยสีหน้าเดียดฉันท์ “เอาหนังสือเฮงซวยเล่มนั้นออกมาแล้วเปิดหน้าไหนก็ได้ จากนั้นหนีบปลาตัวนี้ไว้ตรงกลางก็พอ ส่วนจะเลี้ยงอย่างไร เจ้าไปคิดเอาเอง ข้าผู้อาวุโสไม่สอนให้หรอก”
หลี่ไหวกระโดดผลุง หยิบ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้นออกมา หลังจากเปิดหนังสือก็สาวเท้าพุ่งเข้าหาปลาชิงหมิงตัวนั้นแล้วปิดลงดังปั่บ ระหว่างหน้าหนังสือคล้ายจะมีเสียงร้องครางเบาๆ ดังลอยมา
อาเหลียงลูบคลำหน้าผาก “ลาตัวนั้น ใครจะเอา?”
หลี่ไหวรีบยกมือ “ข้าๆๆ เอาไปขายแลกเงินได้ไหม? หรือถ้าหิวจนทนไม่ไหว ฆ่าแล้วเอาเนื้อมาตุ๋นได้หรือเปล่า?”
อาเหลียงไม่อยากพูด
หลี่ไหวพลันกดเสียงลงต่ำ ถามอย่างขลาดๆ ว่า “อาเหลียง เจ้าคงไม่ได้ใกล้จะตายแล้วเลยสั่งเสียพวกเราไว้ก่อนหรอกนะ?”
อาเหลียงค้อนตาใส่ “ไสหัวไปหาแม่เจ้าโน่น ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
หลี่ไหวถอนหายใจ กลับไปนั่งข้างกายเฉินผิงอันอีกครั้ง “ท่านพ่อท่านแม่ข้า แล้วก็พี่สาวข้า ตอนนี้อยู่ห่างจากที่นี่ไกลนัก”
เพียงแต่ว่าประโยคสุดท้ายของเด็กชายมีความเสียใจอยู่หลายส่วน “ดังนั้นอาเหลียง เจ้าอย่าไปเลยได้ไหม? วันหน้าข้าไม่ด่าเจ้าแล้วก็ได้?”
อาเหลียงขยับปากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีเงินใบนั้นลงมาโยนให้หลี่เป่าผิง “รับเอาไว้ น้ำเต้าเล็กใบนี้คือหนึ่งในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ดีที่สุดในโลก น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ทั่วไปไม่อาจเทียบติดเลย”
อาเหลียงลุกขึ้นยืน ยืดแขนบิดขี้เกียจ “ไม่มีภาระ ร่างก็เบาสบาย”
เขาก้มหน้าลงมองดาบไม้ไผ่สีเขียวแวบหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นก็ถามยิ้มๆ ว่า “เป่าผิงน้อย ขอข้ายืมใช้ดาบแคบยันต์มงคลเล่มนั้นหน่อยได้หรือไม่?”
หลี่ไหวพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ “อาเหลียง? จะตีกับใครใช่ไหม? ข้าช่วยเจ้าเอง…”
อาเหลียงหันมามองด้วยสายตาสงสัยและสอบถาม
เด็กชายหัวเราะแห้งๆ “ช่วยโบกธงร้องให้กำลังใจเจ้าไง!”
หลี่เป่าผิงวิ่งห้อออกไปคล้ายล้อรถที่บดอยู่บนถนน ไม่นานก็กลับมา ใช้มือสองข้างประคองดาบแคบส่งให้อาเหลียง
อาเหลียงรับดาบที่ชื่อว่ายันต์มงคลเล่มนั้นไปห้อยไว้
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอีสี่คนมายืนเรียงหน้ากระดานตรงข้ามกับชายฉกรรจ์สวมงอบ
ชายฉกรรจ์สวมงอบยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาคีบตรงขอบงอบ หัวเราะร่าพลางกล่าว่า “ก่อนหน้านี้บอกกับพวกเจ้าว่าข้าอาเหลียงแข็งแกร่งแค่ไหน เวทกระบี่สูงส่งเท่าไหร่ พวกเจ้ากลับไม่เชื่อ แถมยังชอบหาว่าข้าคุยโว พวกเจ้าน่ะยังเด็กจึงไม่รู้ความ ข้ากลัวว่าจะทำให้พวกเจ้าตกใจ เลยจงใจเล่าให้พวกเจ้าฟังเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่นชักกระบี่ว่องไวจนน้ำที่สาดมาไม่โดนตัว”
สุดท้ายอาเหลียงยิ้มตาหยีถามว่า “พวกเจ้าไม่เชื่อ ใช่ไหม?”
อาเหลียงหันไปมองยังมุมมืดแล้วเอ่ยสั่งความว่า “คุ้มครองพวกเขา”
มีคนพยักหน้ารับ
จากนั้นชายฉกรรจ์ที่สวมงอบมาตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรก ในที่สุดก็ปลดงอบลงแล้วโยนทิ้งไป แต่ไม่รอให้งอบตกลงพื้นมันก็ระเบิดแตกเป็นผุยผง แล้วสลายวับไปไม่เหลือร่องรอย
เวลาเดียวกันนั้น
พื้นที่ที่มีชายพกดาบสองเล่มเป็นจุดศูนย์กลาง
พื้นแผ่นดินในรัศมีพันลี้พลันสั่นสะเทือนเลือนลั่นรุนแรงราวกับวัวดินพลิกตัว
อาเหลียงยกมือขึ้นประคองงอบตามจิตใต้สำนึก นั่นถึงตระหนักได้ว่าไม่มีงอบอยู่แล้ว จึงกำหัวแทน กระแอมหนึ่งทีแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม”