บทที่ 26 แขกไม่ได้รับเชิญ EnjoyBook
บทที่ 26 แขกไม่ได้รับเชิญ
เวลานี้ ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาบ่งบอกว่าใกล้เช้าแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็เลยแสดงเจตนาให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน
ไป๋เหรินเจี๋ยชะงักไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง เพราะเขาอยากรู้ว่าฉู่ชวิ๋นจะทำให้เขาเป็นใหญ่ในตระกูลไป๋ได้ยังไง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่กล้าที่จะถาม เพราะต้องตระหนักถึงความเป็นสุนัขของตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการทำสิ่งที่ฉู่ชวิ๋นสั่งการไว้ให้ดีที่สุด เฉินฮั่นหลงรับผิดชอบพาฉู่ชวิ๋นกลับไปยังภูเขาเฉียนหลง
แต่ในเวลานี้ที่บ้านพักของฉู่วิ้นที่เขาเฉียนหลงกลับมีแขกไม่ได้รับเชิญรออยู่หลายคน ด้านหนึ่งคือหญิงสาวที่เป็นหัวหน้าภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงกับผู้อาวุโส อีกด้านหนึ่งกลับเป็นพ่อลูกเจิ้งก่วงอี้กับหลี่เทียน
พ่อลูกเจิ้งก่วงอี้คุกเข่าอยู่ด้วยกันพร้อมใบหน้าที่หวาดกลัว พร้อมกับกัดฟันกัก ๆ ส่วนหลี่เที่ยนแม้จะอยู่ในสภาพเดียวกันแต่กลับอยู่ห่างไปไกลสิบกว่าเมตร
พวกนั้นไม่ทันได้ระวังตัวก็เข้าไปในค่ายกลดูดวิญญาณฟ้า ทั้งสามกลายเป็นคนตาบอดในเวลาเดียวกัน ถึงแม้จะอยู่ใกล้กัน แต่กลับไม่ได้ยินเสียง และมองไม่เห็นอีกคนหนึ่ง ภาพตรงหน้ามันเลอะเลือนไปหมด จะพยายามแค่ไหนก็ออกมาไม่ได้ ตกใจจนเกือบจะลมจับ สีหน้าของผู้อาวุโสเคร่งขรึม
“ผู้อาวุโส นี่มันอะไรกัน?” สายตาของหญิงสาวบ่งบอกถึงความไม่ปลอดภัย ถ้าไม่ได้ผู้อาวุโสดึงตัวไว้คาดว่าเธอก็คงเดินเข้าไปแล้วเหมือนกัน
“คาดว่านี้น่าจะเป็นค่ายกลที่เล่าขานกันมานาน….” ผู้อาวุโสพูดขึ้นเขาก็คิดถึงตอนที่เจอกับเรื่องนี้ที่ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วง ในตอนนั้นเขาก็รู้ว่าฝีมือของฉู่ชวิ๋นไม่ธรรมดายิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก
“คุณหนู ถ้าเกิดเจอท่านฉู่ชวิ๋น จำไว้ว่าต้องให้ความเคารพ” ผู้อาวุโสพูดตักเตือน หญิงสาวกลอกตาไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอฉู่ชวิ๋นกลับมาถึงภูเขาเฉียนหลงฟ้าก็สว่างแล้ว
“นายท่าน!” เฉินฮั่นหลงมองเห็นหน้าบ้านพักมีคนอยู่สองฝ่าย
“ขับตรงไปเลย” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นเรียบ ๆ เขาไม่ได้หยุดรถ แต่ขับตรงเข้าไปยังบ้านพักเลย และในเวลานี้เอง อยู่ ๆ ก็มีสาวงามปรากฏอยู่ด้านหน้าของรถ
เฉินฮั่นหลงตกใจเป็นอย่างมากก่อนจะรีบเหยียบเบรก รถพุ่งไปไม่กี่เมตรจนเกือบจะชนเข้าให้ เฉินฮั่นหลงเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะนิ่งด้วยความตกตะลึง เขาคิดว่าเจอสาวสวยมามากแล้ว แต่ที่เทียบคนตรงหน้าได้กลับมีไม่กี่คน แต่ไม่นานใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นโกรธจัดแล้วพูดขึ้น
“เธออยากตายรึไง!!”
หญิงสาวไม่มีท่าทีใด ๆ แค่กระตุกคิ้วนิดหน่อย ดวงตากลมสวยนั้นแสดงถึงความน่ารักก่อนจะเดินบิดเอวคอด ๆ ไปยังส่วนหลังของรถและเคาะกระจก
กระจกรถถูกลดลง ฉู่ชวิ๋นมองหญิงสาวอย่างใจเย็น พอเห็นว่าฉู่ชวิ๋นไม่ได้สนใจในความงามของเธอ หญิงสาวมีอาการอึ้งนิดหน่อย ก่อนจะโค้งตัวลงนิด ๆ แล้ว ยื่นมือขาวนั้นออกมาแล้วพูดขึ้น
“สวัสดีพ่อรูปหล่อ ทำความรู้จักกันสักหน่อยมั้ย? ฉันชื่อ ฮวาชิงหวู่” เป็นเพราะหญิงสาวนั้นโค้งตัวลงมาพอดีกับระดับสายตาของฉู่ชวิ๋นทำให้เขามองเห็นสองเต้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน
ถ้าหากเป็นผู้ชายคนอื่น คาดว่าคงจะเลือดกำเดาไหลไปแล้ว แต่สายตาของฉู่ชวิ๋นกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ผู้หญิงคนนี้สวยก็จริง แต่เขาก็เจอมาเยอะแล้วเอาง่าย ๆ เลยก็คือ ผู้หญิงคนไหนก็ตามที่ฝึกตนเป็นเซียนในดินแดนเซียนก็สวยพอ ๆ กันไปหมด
อีกอย่าง*คู่บำเพ็ญเซียนของฉู่ชวิ๋นเป็นถึงหญิงสาวที่สวยที่สุดในดินแดนเซียน ถึงแม้หญิงตรงหน้าจะสวยมากแต่ก็ไม่อาจทำให้ฉู่ชวิ๋นใจสั่นได้เลยแม้แต่น้อย
*คู่บำเพ็ญเซียน หมายถึงคู่รักของผู้ฝึกตนเป็นเซียน
“ออกรถ”
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้เอื้อมมือไปจับมือขาวที่ยื่นมา แต่กลับออกคำสั่งให้เฉินฮั่นหลงออกรถแทน
เขาก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน มีสัมผัสและความอยากปกติ แต่เพราะตอนนี้เรื่องการหายตัวไปของพ่อแม่มันสำคัญกว่าการที่เขาจะเสียเวลาให้กับหญิงสาวเขาเลยไม่สนใจ
รถเคลื่อนไปยังหน้าบ้านพัก กว่าฮวาชิงหวู่จะตอบสนองก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะมีค่ายกลกั้นไว้เธอเลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม แต่มันน่าโมโหมากที่ฉู่ชวิ๋นไม่ไว้หน้าเธอเลยสักนิด เธอเชื่อมั่นในความสวยของตัวเองมาก แต่ว่าผู้ชายคนนี้กลับไม่สนใจเธอเลยสักนิด แถมท่าทีแบบนั้นมันก็ไม่ใช่การเล่นตัวให้เธอสนใจอีกต่างหากเพราะเธอดูสายตาเขาออก สงบ ใสสะอาด และบ่งบอกถึงระยะห่างที่ไกลพอสมควร
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะ” ฮวาชิงหวู่ตะโกนขึ้นด้วยความโมโห แต่เสียดายที่ค่ายกลกั้นเสียงเอาไว้ฉู่ชวิ๋นเลยไม่ได้ยินอะไร
“คุณหนู….” ผู้อาวุโสเดินเข้ามา อยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“ฉันรู้ว่าผู้อาวุโสจะพูดอะไร” ฮวาชิงหวู่ส่งสายตาที่ฉลาดหลักแหลมออกมา “คนแบบนี้จะใช้วิธีธรรมดาเหมือนคนอื่น ๆ ไม่ได้”
เฉินฮั่นหลงเดินตามฉู่ชวิ๋นเข้าไปในบ้านพัก พลังลมปราณในบ้านพักกลับมาอีกครั้ง พอเฉินฮั่นหลงเดินเข้าไปในบ้าน ก็สดชื่นขึ้นมาทันที ความเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้เมื่อคืนก่อนหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทั้งเนื้อทั้งตัวกลับมาสดชื่นมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาหันไปมองฉู่ชวิ๋นอย่างประหลาดใจ
ในบ้านพักมีดอกไม้ใบหญ้ามากมาย แต่บนใบนั้นก็มีหมอกเม็ดเล็ก ๆ อยู่ ฉู่ชวิ๋นมองเขาพักหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่หมอกเม็ดเล็ก ๆ บนใบไม้นั้น
“น้ำเม็ดเล็ก ๆ นั้นกินได้นะ” จริง ๆ แล้วในหยดน้ำเม็ดเล็ก ๆ นั้นมีความสดชื่นของพลังลมปราณอยู่ถึงแม้มันจะไม่ได้มีผลอะไรกับฉู่ชวิ๋นแต่กลับมีประโยชน์ต่อคนธรรมดามาก
เฉินฮั่นหลงไม่ได้สงสัยในคำพูดของฉู่ชวิ๋น เขาเดินเข้าไปใช้นิ้วปาดหยดน้ำนั้นเข้าปาก มันเป็นรสชาติที่ยากจะอธิบาย มันค่อย ๆ แทรกซึมไปทั่วร่างกายของเฉินฮั่นหลง ทำให้เขารู้สึกเบาสบายเอามาก ๆ
“ขอบคุณครับท่าน งั้นผมขอตัวกลับก่อน” เฉินฮั่นหลงกล่าวขอบคุณก่อนจะกล่าวลา เฉินฮั่นหลงกลับไปยังรถเตรียมที่จะออกจากที่นี่ ด้วยความเคยชินก็เลยยกมือขึ้นเช็ดกระจกครั้งหนึ่งและมันก็ทำให้เขาเห็นในสิ่งที่แปลกออกไป
เขาเหมือนโดนสายฟ้าฟาดลงบนตัวเหมือนเห็นตัวเองในกระจก ผิวมีน้ำมีนวล ดวงตาใส่แจ้ว ขนาดผมงอกสีขาวก็ดกดำ ดูเหมือนว่าเขาหนุ่มลงไปเป็นวัยรุ่นอายุสิบแปด เฉินฮั่นหลงสำรวจร่างกายตัวเองดูดี ๆ อีกที นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อ! เป็นเพราะหยดน้ำเมื่อครู่แน่ ๆ …เขาตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ ว่าต้องเป็นเพราะหยดน้ำเมื่อกี้แน่ ๆ แววตาของเฉินฮั่นหลงบ่งบอกถึงความร้อนรุ่ม ก่อนจะรีบกระโดดลงรถแล้ววิ่งกลับเข้าไปในบ้านพัก
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นที่เห็นเฉินฮั่นหลงวิ่งกลับมาก็ถามขึ้นอย่างไม่คิดอะไร
“นายท่าน ผมมีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่งไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรพูดดี” เฉินฮั่นหลงพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“พูดมาสิ” ฉู่ชวิ๋นพูด
“นายท่าน หยดน้ำพวกนี้….”
“อยากได้เหรอ? อยากได้ก็หยิบไปสิ” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นอย่างใจกว้าง
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” เฉินฮั่นหลงส่ายหัว ก่อนจะพูดต่อ
“ผมอยากจะช่วยนายท่านขายหยดน้ำพวกนี้”
“ขาย?” ฉู่ชวิ๋นสงสัย
“ประโยชน์ของหยดน้ำนี้อาจจะไม่ได้เตะตานายท่านเท่าไหร่ แต่สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเราแล้ว มันกลับมีประโยชน์ต่อชีวิตมากมาย” หัวการค้าอย่างเฉินฮั่นหลง เขารู้ดีว่าหยดน้ำพวกนี้จะนำมาซึ่งทรัพย์สินเงินทองมากมาย
เขาถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำเร็จคนหนึ่ง และเข้าใจความคิดความอ่านของพวกมีเงินดี คนพวกนี้ใช้เวลาของความหนุ่มไปกับการหาเงิน โดยไม่สนใจร่างกายตัวเอง จนกระทั่งตอนนี้พออายุมากขึ้นก็มีปัญหาสุขภาพมากมาย รู้สึกไม่มีกำลังวังชาต้องเสียเงินมากมายเพื่อซื้อสุขภาพกลับมา
ถึงแม้ฟังดูแล้วจะแย่ ๆ หน่อย แต่ความจริงมันก็เป็นแบบนี้ เขาก็เลยคิดออกว่าจะทำยังไงให้หยดน้ำนี้มีความน่าสนใจดี
“นายอยากจะขายมันสักเท่าไหร่?” ฉู่ชวิ๋นถามขึ้นอย่างสงสัย ถึงแม้จะเป็นเซียนที่มีพลัง แต่เงินทองมันก็ไม่เข้าใครออกใคร
เฉินฮั่นหลงลูบหัวด้วยความเขินอายก่อนจะพูดขึ้น “เรื่องนั้นผมยังไม่ได้คิด แต่ถ้าเกิดนายท่านยิมยอม ผมจะกลับไปคิดให้เร็วที่สุด”
“ฉันยังไงก็ได้ นายจัดการเลยแล้วกัน” สำหรับเฉินฮั่นหลงแล้ว ฉู่ชวิ๋นวางใจในตัวเขาไม่น้อย เฉินฮั่นหลงดีใจจนเกือบจะตัวลอย ก่อนจะเดินออกไป ฉู่ชวิ๋นมองผ่านกระจกไปยังด้านนอก พ่อลูกเจิ้งก่วงอี้กับหลี่เทียนยังคงโดนขังอยู่ในค่ายกล และเป็นเพราะความกลัวทั้งสามยังคงอยู่ในสภาพที่หวาดระแวง
ส่วนฮวาชิงหวู่กับผู้อาวุโสยังไม่ได้ห่างหายไปไหน แต่เพียงแค่ยืนอยู่นอกค่ายกลไม่กล้าเข้าใกล้ ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วเบา ๆ ก่อนจะสะบัดมือ
พ่อลูกเจิ้งก่วงอี้กับหลี่เทียนก็โดนพลังที่ไร้รูปร่างจับโยนออกนอกค่ายกลทั้งสามตกอยู่ข้างฮวาชิงหวู่ จนทำให้เธอตกใจ
ฮวาชิงหวู่ลูบหน้าอกตัวเองด้วยความตกใจ ก่อนจะตะโกนกลับเข้าไปในบ้านของฉู่ชวิ๋น “แน่จริงก็ออกมาสิ เรื่องแบบนี้มันทำให้ฉันตกใจไม่ได้หรอกนะ!”
น่าเสียดายที่เสียงโดนกั้นเอาไว้ ฉู่ชวิ๋นก็เลยไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มันกลับทำให้พ่อลูกเจิ้งก่วงอี้กับหลี่เทียนตกใจไม่น้อย หญิงสาวคนนี้เป็นใครกันถึงได้กล้าตะโกนใส่คนข้างในแบบนี้
ทั้งสามมีอาการขาดน้ำ หลี่เทียนก็เลยกลับเข้าไปเอาน้ำในรถตัวเองมาให้ พอดื่มเสร็จถึงได้รู้สึกดีขึ้นมา
“พ่อ ผมว่าพวกเรากลับกันดีมั้ย?” เจิ้งกันไม่เคยได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาก่อน คนทั้งคนอยู่ ๆ ก็หายไป รอบ ๆ ข้างไม่มีอะไรสักอย่าง เหลือเพียงภาพที่เลอะเลือนราวกับว่าทั้งโลกเหลือเพียงเขาคนเดียว เรื่องแบบนี้มันน่ากลัวชะมัด
เจิ้งก่วงอี้ก็ตกใจจนแทบลมจับ ก่อนจะชายตามองลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของตัวเองแล้วพูดขึ้นอย่างโมโห “ไอ้โง่ ยังไม่คุกเข่าลงอีก”
หลายวันมานี้เขาพยายามหาหมอดี ๆ มากมาย แต่ว่าขาของเขาก็ยังคงไม่ได้รับการรักษา เขาเป็นถึงประธานกรรมการใหญ่ แต่กลับต้องมาคุกเข่าแบบนี้ คิดแล้วก็อยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอด ในใจก็อดเสียใจไม่ได้ที่ไม่ฟังหลี่เทียนตั้งแต่แรก และในตอนที่เขากำลังหมดหวังนี้ หลี่เทียนก็บอกให้เขามาขอขมา
จริง ๆ เขาก็มีความคิดนี้มานานแล้ว ตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ แต่ลูกชายกลับยืนค้ำหัว มันทำให้เขาโมโหมาก ๆ ต้องโทษไอ้ลูกไม่รักดีคนนี้ที่ไปหาเรื่องฉู่ชวิ๋นเข้า ไม่งั้นเขาคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก
เจิ้งกันตกใจจนคุกเข่าลง หลี่เทียนถอนหายใจออกมายาว ๆ ออกมาหลังจากที่โดนโยนออกมานั้น ฉู่ชวิ๋นก็ไม่มีแววว่าจะยกโทษเลยสักนิด ถ้ายังคงดื้อรั้นตื้อต่อไป ไม่รู้ว่าจะทำให้ฉู่ชวิ๋นโมโหยิ่งกว่าเดิมรึเปล่า ถ้าทำให้ฉู่ชวิ๋นไม่พอใจเพราะตัวเองอยู่ข้างเจิ้งก่วงอี้ ก็ไม่รู้ว่ามันจะคุ้มกันหรือเปล่า
“หลี่ นายกลับไปก่อนเถอะ” เจิ้งก่วงอี้พูดออกมา เพราะรู้ว่าหลี่เทียนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่ได้โกรธหลี่เทียน เพราะถ้าเทียบกับพวกหลิวย่งแล้ว หลี่เทียนถือว่าทำตามคุณธรรมแล้ว
หลี่เทียนรู้สึกปลาบปลื้มนิดหน่อย แต่กลับมีสายตาที่แน่วแน่ “ก้วงอี้ ถ้าตอนนั้นไม่ได้นายช่วยไว้ บริษัทของฉันคงเจ๊งไปนานแล้ว บุญคุณครั้งนั้นฉันใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด ไม่ว่าครั้งนี้นายท่านจะยกโทษให้หรือไม่ ฉันก็จะไม่หนีไปไหน”
หลี่เทียนพูดจบ ใบหน้าที่แน่วแน่ก็มองไปยังบ้านพักของฉู่ชวิ๋นก่อนจะคุกเข่าลง แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำทั้งหมดของเขาฉู่ชวิ๋นมองเห็นทั้งหมด ทำให้ฉู่ชวิ๋นแปลกใจจนพยักหน้า
ฮวาชิงหวู่ดูคนทั้งสามที่คุกเข่าอยู่ ก็กลอกตาไปมาโดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ทั้งสามคน เธอรู้จักดีเพราะต่างก็เป็นสมาชิกของภัตตาคารป่าไผ่สีม่วง
“คุณหนู!” ผู้อาวุโสร้องขึ้นด้วยความตกใจ เจิ้งก่วงอี้กับหลี่เทียนหัวกลับไปมอง ก็เห็นว่าฮวาชิงหวู่กำลังเดินเข้าไปยังบ้านพัก พวกเขาสามารถมองเห็นฮวาชิงหวู่ แต่ฮวาชิงหวู่กลับหลงทางในค่ายกล
ภาพตรงหน้ามันช่างเลอะเลือนไปหมด ระยะทางไม่มีที่สิ้นสุด รอบ ๆ ตัว เหมือนมีแค่เธอเพียงคนเดียว ฮวาชิงหวู่หลับตาแล้วนอนไม่ขยับเขยื้อน ราวกับนอนหลับไปแล้วยังไงยังงั้น