บทที่ 31 ตามหาเบาะแส

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 31

ตามหาเบาะแส

เมื่อเทียนเอ๋อได้ยินเรื่องของอาหาร ก็มีดีใจขึ้นมาทันที และหลินซีเหยียนก็อดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

แต่ทว่าบรรยากาศในพระราชวังรัตติกาลนั้นกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย เจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ที่บัลลังก์เพียงคนเดียวด้วยสีหน้าซีดๆ ในมือของเขานั้นเขามีข้อมูลอย่างละเอียดที่รวบรวมมาโดยหอพันกล

“นายท่านขอรับ ผู้ที่ลอบสังหารท่านคือกลุ่มภูติทะลวงขอรับ” อันอี้ขมวดคิ้วที่เหมือนกระบี่ของเขาแน่น กลุ่มภูติทะลวงนั้นคือองค์กรนักฆ่าที่สามารถแกะรอยได้ยาก จนมีชื่อเสียงไปทั่วว่า หากตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มภูติทะลวงแล้ว ลูกศรที่มองไม่เห็นนี้ก็ยากที่จะปัดป้องได้ จนกว่าเป้าหมายจะถูกกำจัด

และเข็มพิษที่ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ไปชั่วขณะ ถ้าไม่ดึงเข็มออก พิษก็จะไม่คลาย

เจียงหวายเย่บิดริมฝีปากอย่างรังเกียจ “ไม่มีทางที่จะป้องกันกลุ่มภูติทะลวงได้งั้นเหรอ? ในเมื่อพวกเขากล้ามายุ่งเกี่ยวกับเปิ่นหวาง ถ้าเช่นนี้เปิ่นหวางจะเป็นถอนรากถอนโคนมันเอง”

“แต่ที่อยู่ของกลุ่มภูติทะลวงนั้นยังไม่ชัดเจน ข้าเกรงว่าในระยะเวลาสั้นๆ…..” แต่ก่อนที่อันอี้จะได้พูดจบ เขาก็ถูกขัดโดยเจียงหวายเย่เสียก่อน

“ยกให้จุนหานเป็นคนดำเนินการ” เจียงหวายเย่คิ้วขมวด และแสดงสีหน้าที่สนุกสนานออกมา

อันอี้ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ จุนหานนั้นเคยเป็นคนของกลุ่มภูติทะลวงมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาถูกกลุ่มภูติทะลวงขับไล่ และได้องค์ชายเย่ช่วยเหลือเขาเอาไว้ อันอี้จำได้ว่าตอนแรกที่พบเขานั้น ชายคนนั้นทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลน่ากลัวมาก ในเวลานี้เขาถูกรักษาจนหายสนิทแล้ว

และในเวลานี้มันเป็นเวลาที่เขาจะต้องใช้หนี้ให้องค์ชายแล้ว จากนั้นอันอี้ก็ได้หายไปทันที

เจียงหวายเย่หยิบเอาเอกสารของหอพันกลขึ้นมาดูอีก แล้วก็พบว่ามีข้อมูลของหมอผีอยู่ในนั้นด้วย แล้วเขาก็เผยยิ้มออกมาแล้วจากนั้นก็ครุ่นคิดเรื่องบางอย่างก่อนจะคิ้วขมวดและเรียก “อันเอ้อ”

แล้วก็มีคนผู้หนึ่งที่ปรากฏตัวเข้ามาในห้องนี้แล้วคุกเข่ากับพื้นและกล่าว “ขอรับนายท่าน”

“เจ้าได้ข่าวของผู้หญิงคนนั้นเมื่อ 5 ปีที่แล้วบ้างหรือไม่?” เจียงหวายเย่กล่าวรู้สึกได้ว่ามันจะต้องมีอะไรผิดปกติ ถ้าคนคนนั้นคือแม่นางหลินจริงๆทำไมนางถึงไม่มีการโต้ตอบอะไรเลย ในตอนที่ได้พบกันอีกครั้ง

อันเอ้อนั้นไม่รู้เลยว่าเจ้านายของเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เขาที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นก็ได้รายงานด้วยความเคารพ “ข้ายังไม่พบอะไรเพิ่มเติมขอรับ ทราบเพียงอย่างเดียวคือปิ่นปักผมที่เหลือทิ้งไว้โดยหญิงสาวคนนั้นคือสิ่งของที่สามารถหาพบได้แค่นอกกำแพงใหญ่เท่านั้นขอรับ”

นอกกำแพงใหญ่งั้นเหรอ? เจียงหวายเย่รู้สึกไม่ดีขึ้นมา เขาได้โบกมือให้อันเอ้อนั้นกลับไปก่อน แล้วจากนั้นเขาก็เริ่มจัดการเรื่องของหอพันกลต่อ

ณ จวนมหาเสนาบดี ตำหนักเชียนหยาน หลินซีเหยียนได้สั่งให้จัดหาโต๊ะขนาดใหญ่มา แล้วให้ทุกคนในตำหนักทานอาหารร่วมกัน จิ่งชุนที่คุ้นเคยกับท่าทีเช่นนี้ของคุณหนูแล้วก็ได้นั่งลง ในขณะที่อีกสามคนที่เหลือนั้นไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา

หลินซีเหยียนกับเทียนเอ๋อจึงช่วยไม่ได้และรับบทเป็นไม้เรียวกับลูกกวาด แล้วทั้งหมดจึงยอมนั่งโต๊ะร่วมกันในลักษณะข่มขู่

หลังจากที่ทานอาหารกันอย่างมีความสุข รั่วฉุ่ยกับจิ่งชุนก็ได้เก็บกวาดทำความสะอาด

เมื่อมองออกไปด้านนอกก็พบว่าดึกแล้ว และเทียนเอ๋อก็ง่วงแล้วด้วย จึงได้ให้เขานอนก่อน เหลือเพียงแม่ครัวกับแม่นมจ้าวที่ยังอยู่

“คุณหนูเจ้าค่ะ ข้าน้อยมีเรื่องที่จะบอกคุณหนูเจ้าค่ะ” แม่ครัวสวี่หงอิงพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว “ว่ามาสิป้าสวี่”

แล้วแม่ครัวก็ได้กล่าวต่อ “การที่นายหญิงจู่ๆล้มป่วยและไม่สามารถรักษาได้นั้น ข้าน้อยเคยคิดว่ามันจะต้องมีอะไรแปลกๆ ดังนั้นข้าจึงได้แอบน้ำใบสั่งยานั้นไปให้ร้านยาที่เชื่อใจได้ดู แล้วหมอคนนั้นก็บอกกับข้าว่ามีตัวยาที่เป็นพิษรุนแรงผสมอยู่ด้วย ซึ่งตัวยานั้นมีชื่อว่าหงเหยียนเจ้าค่ะ”

หงเหยียนคือยาพิษชนิดหนึ่งที่หลินซีเหยียนก็เคยได้ยิน มันเป็นยาพิษที่ร้ายแรงมาก ใครกันที่ชิงชังท่านแม่ของนางถึงขนาดต้องใช้ยาพิษชนิดนี้

แม่นมจ้าวก็สายตาเบิกกว้างขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ยาที่นายหญิงทานเมื่อก่อนนั้นเป็นยาที่ให้ทานโดยนายท่านเองเจ้าค่ะ”

แล้วสีหน้าของหลินซีเหยียนก็ได้มืดมนและน่ากลัวขึ้นมา มหาเสนาบดีนั้นไม่เพียงแต่จะเลี้ยงดูนางอย่างโหดร้ายแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับการตายของท่านแม่ของนางจริงๆอีกจะหาว่านางไม่ปรานีก็คงไม่ได้แล้ว

“ข้าจะสืบเรื่องนี้ต่อเอง” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างมั่นใจ

จากนั้นแม่ครัวกับแม่นมจ้าวก็ได้ลุกขึ้นแล้วจากไปด้วยเศร้าใจ

คืนนั้นหลินซีเหยียนจึงตัดสินใจที่จะเริ่มสืบดูจากเรื่องของการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วของมหาเสนาบดีก่อน แต่ถึงแม้นางจะคิดอะไรออก แต่การนอนหลับก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นนั้น

รุ่งเช้าวันต่อมา หลินซีเหยียนหลังจากที่แต่งตัวเสร็จก็ได้พาเทียนเอ๋อไปที่พระราชวังเย่ ถ้าเป็นเรื่องของการรวบรวมข้อมูลแล้ว หลินซีเหยียนคิดว่าไม่มีที่ไหนที่เหนือไปกว่าหอพันกลแล้ว

เมื่อทั้งสองคนได้มาถึงที่หน้าพระราชวังเย่แล้ว พวกนางก็พบกับสาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดอย่างง่วงๆ หลินซีเหยียนจึงคิดว่าคราวนี้นางคงโชคร้ายและถูกห้ามเข้าอีกแน่นอน

เมื่อคิดเช่นนี้นางจึงได้พาเทียนเอ๋อเข้าไปในพระราชวังแบบไม่ได้สนใจอะไร แล้วผลก็เป็นไปตามที่นางคาดไว้จริงๆ

แล้วก็มีไม้กวาดที่โผล่มาตรงหน้านางและขวางไม่ให้เข้าไป “แม่นางท่านนี้ พระราชวังนี้ไม่ใช่สถานที่อนุญาตให้เข้าออกตามใจชอบได้ ขอให้กลับออกไปด้วยเจ้าค่ะ”

หลินซีเหยียนก็เม้มปากของนางอย่างช่วยไม่ได้ แล้วจากนั้นก็หยิบเอาแผ่นหยกออกมาจากแขนเสื้อของนาง

เมื่อเห็นแผ่นหยก สาวใช้ก็ได้ลงไปคุกเข่ากับพื้นด้วยความหวาดกลัว “ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ ขอเชิญพระชายาเข้ามาด้านในด้วยเจ้าค่ะ”

พระชายา? หรือว่าสาวใช้คนนี้ก็จะรู้เรื่องที่นางถูกบังคับให้แต่งงานกับเจียงหวายเย่แล้ว แต่ก่อนที่นางจะทันได้คิดอะไร นางก็ถูกจูงมือโดยเทียนเอ๋อแล้วพาเข้ามาในพระราชวัง “ท่านแม่ข้าได้กลิ่นหอมมากๆด้วยล่ะ”

เรียกได้ว่าเทียนเอ๋อนั้นมีจมูกที่ดีมากจริงๆ ถึงแม้จมูกของเขาจะตามรอยคนร้ายไม่ได้ก็เถอะ แต่พอเป็นเรื่องได้กลิ่นของกินแล้ว เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์เลยก็ว่าได้

ภายใต้การนำของเทียนเอ๋อ หลินซีเหยียนกับเทียนเอ๋อก็ได้มาหยุดอยู่ที่ห้องห้องหนึ่ง นางนั้นคิดที่จะขออนุญาตก่อนแต่เจ้าลูกชิ้นที่ไร้ความอดทนและดื้อรั้นของนางก็ได้เข้าไปด้านในแล้ว

นางจึงรีบตามเข้าไปและพบกับเจียงหวายเย่ที่สวมชุดบางๆแค่ชั้นเดียว แล้วร่างกายท่อนบนของเขาก็เปลือยเปล่า ภาพที่ราวกับฤดูใบไม้ผลิที่เย็นสบายตรงหน้านางนั้นทำให้นางถึงกับต้องกลืนน้ำลาย

เจียงหวายเย่นั้นมั่นใจในรูปร่างของเขามาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดมากที่จะโชว์ให้หลินซีเหยียนได้ดู

“ท่านแม่ขอรับ เจ้าซาลาเปาน้อยพวกนี้อร่อยมากเลยขอรับ มาทานด้วยกันสิขอรับ!” เทียนเอ๋อที่กินเต็มปาก ก็ยังไม่ลืมที่จะเรียกแม่ของเขาให้มาทานด้วยกัน

หลินซีเหยียนจึงได้ตั้งสติได้ แล้วรีบหันหน้าหลบแล้วไอกระแอมสองหนแล้วกล่าว “ข้าอยากที่จะซื้อข้อมูลเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วของมหาเสนาบดีจากองค์ชายเสียหน่อยเจ้าค่ะ”

เจียงหวายเย่ที่เห็นสายตาที่บอกไม่ถูกของหลินซีเหยียนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าและยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าว “เจ้าเป็นถึงว่าที่พระชายาของเปิ่นหวาง ไม่จำเป็นต้องซื้อข้อมูลจากเปิ่นหวางหรอกนะ”

“ท่านแม่จะแต่งงานกับท่านอาจารย์เหรอขอรับ?” เทียนเอ๋อเงยหน้าขึ้นมาแล้วถาม

หลินซีเหยียนก็ได้แย้งกลับไป “การแต่งงานนั่นเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ต่างหาก”

“แม่นางหลินไม่อยากที่จะแต่งกับเปิ่นหวางอย่างนั้นเหรอ?” ดวงตาสีเข้มของเจียงหวายเย่ก็ได้มืดมนขึ้นมา

“องค์ชาย ท่านนั้นเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวเป็นร้อยเป็นพัน อย่างข้าจะไปคู่ควรกับท่านได้อย่างไร?” หลังจากที่หลินซีเหยียนกล่าวจบ นางก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่หนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ นางจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมาว่าองค์ชายกำลังโกรธอย่างนั้นเหรอ? ทำไมล่ะ? นางจึงได้ระวังตัวมากขึ้น!

เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

หลินซีเหยียนที่รู้สึกไม่สู้ดีเมื่อเห็นเข้าจึงได้พูดออกไป “องค์ชาย ข้าพูดอะไรผิดไปเช่นนั้นเหรอ?”

หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าว “หากเปิ่นหวางว่าเจ้าเหมาะสม เจ้าก็ต้องเหมาะสม”

ประโยคนี้ทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกสับสนมากกว่าเดิม นางนั้นมีค่ามากพอจริงๆเหรอ? ในขณะที่นางนึกขึ้นได้นางกำลังคิดอะไรอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็อยากที่จะฆ่าตัวเองให้ตาย เพราะนางนั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานมาก่อนเลย

ในขณะที่หลินซีเหยียนอยากที่จะบอกถึงความคิดของนาง ก็ได้มีเสียงที่ดังฟังชัดออกมาจากข้างนอกเสียก่อน “พี่สี่ขอรับ ข้ากลับมาจากการชนะครั้งใหญ่แล้ว”

แล้วก็มีบางคนที่เขาห้องมาโดยที่ไม่ได้แจ้งเตือนอะไร

แม่ทัพหนุ่มในชุดเกราะสีขาวเงินได้เดินเข้ามา เขานั้นคิดที่จะอวดพี่สี่ของเขา แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหลินซีเหยียนกับเทียนเอ๋อเข้าเสียก่อน