บทที่ 127 โง่หรือเปล่า / บทที่ 128 คนที่โดนหลอกคือเธอ

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 127 โง่หรือเปล่า

 

 

สนามแข่งบาสเกตบอลวันนี้เป็นการแข่งขันสนามสุดท้ายของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 นับว่าเป็นสนามสั่งลา จึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

 

 

เยี่ยหวันหวั่นยืนอยู่ที่ประตูมองอยู่ไกลๆ เห็นนักกีฬาของทั้งสองทีมกำลังวอร์มร่างกายกันอยู่บนสนาม ไม่เห็นฉู่เฟิง คงเป็นเพราะยังไม่มา

 

 

ส่วยซ่งจื่อหาง ร่างกายสูงใหญ่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนแถวที่สองของอัฒจันทร์ผู้ชม

 

 

ตรงนั้นมีเฉินเมิ่งฉี ฟางฉินและผู้หญิงห้อง A คนอื่นอีกหลายคน

 

 

สายตาที่ผู้หญิงเหล่านั้นมองที่ซ่งจื่อหางล้วนเป็นประกาย เต็มไปด้วยความชื่นชม

 

 

ทว่าในสายตาของซ่งจื่อหางมีเพียงเฉินเมิ่งฉี

 

 

สายตาของซ่งจื่อหางสนใจมองเพียงหญิงสาวด้านหน้า เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “ขอบคุณพวกเธอที่มาเชียร์พวกเรานะ!”

 

 

“ฮ่าๆ ที่จริงหัวหน้าทีมซ่งอยากจะมาขอบคุณเฉินเมิ่งฉีที่มาดูเขาแข่งต่างหากล่ะมั้ง พวกเราทั้งหมดล้วนก็แค่พามาด้วยเท่านั้น”

 

 

“มีแรงเชียร์ของเมิ่งฉี วันนี้จะต้องเป็นสนามหลักของหัวหน้าทีมซ่งอย่างแน่นอน! พาพวกเราชิงเหอสังหารอย่างสวยงามไม่เหลือซาก”

 

 

“ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว! พลังแห่งรักอย่างไรล่ะ!”

 

 

วันนี้เฉินเมิ่งฉีสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน ดูสะอาดสะอ้านสง่างามอย่างมาก ใบหน้าสดใสแหวใส่ผองเพื่อนที่กำลังหยอกล้อ “พวกเธอเลิกพูดเล่นได้แล้ว! มาเชียร์ทีมบาสเกตบอลโรงเรียนตัวเองก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว”

 

 

เยี่ยหวันหวั่นยืนอยู่ไม่ไกล มองดูอยู่อย่างพะอืดพะอมพูดอะไรไม่ออก

 

 

เจียงเยียนหรานซื้อน้ำซื้ออาหารซักเสื้อผ้าให้ทั้งทีมบาสเกตบอล แค่คำว่าดีหนึ่งคำยังไม่เคยได้ยิน เฉินเมิ่งฉีเพียงแค่นั่งดูการแข่งอยู่ตรงนั้น ก็ทำให้เขาซาบซึ้งใจอย่างกับอะไรไปแล้ว

 

 

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เยี่ยหวันหวั่นเหลือบมองเจียงเยียนหรานอย่างห่วงใย

 

 

เจียงเยียนหรานสูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง ถอนสายตาจากคนทั้งสองตรงหน้าที่กำลังจีบกัน “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”

 

 

ตั้งแต่ที่โพสต์ตอบกระทู้นั้นอย่างเปิดเผย ซ่งจื่อหางก็เริ่มจีบเฉินเมิ่งฉีอย่างไม่เกรงกลัวอะไรอีก

 

 

ทั้งสอง คนหนึ่งเดินนำหน้า คนหนึ่งเดินตามหลังมุ่งหน้าไปยังที่นั่งที่ว่างอยู่

 

 

ฝูงชนในสนามบาสเกตบอลเมื่อเห็นเยี่ยหวันหวั่นก็พากันกระซิบกระซาบ เพียงแต่เยี่ยหวันหวั่นมีชื่อเสียงมากมายอยู่แล้ว ทุกคนไม่เห็นเป็นสิ่งแปลกใหม่อะไรอีกแล้ว ความสนใจของทุกคนจึงเบนไปยังผู้หญิงที่เดินตามหลังเยี่ยหวันหวั่นอย่างรวดเร็ว

 

 

พริบตาที่ได้เห็นเจียงเยียนหราน ดวงตาของคนเกือบทุกคนล้วนเป็นประกาย

 

 

โดยเฉพาะพวกผู้ชาย!

 

 

“โอ้โห! รีบดูเร็วเข้า รีบมาดู! สาวสวย!”

 

 

“สาวสวยคนนี้อยู่ห้องไหนเนี่ย? ทำไมถึงเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน?”

 

 

“เอ๋? นี่ไม่ใช่เจียงเยียนหรานห้อง A หรอกเหรอ โอ้โห! แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าทรงผมเท่านั้นเอง”

 

 

“แม่เจ้าโว้ย! ดวงตาหมาของฉันช่างตาบอด คิดไม่ถึงว่าเจียงเยียนหรานจะสวยได้ขนาดนี้ รูปร่างก็เยี่ยมยอดจริงๆ”

 

 

 

 

ความเคลื่อนไหวในสนามบาสเก็ตบอลดึงความสนใจของเฉินเมิ่งฉีและซ่งจื่อหางที่นั่งอยู่แถวหน้าได้อย่างรวดเร็ว และมองไปทางด้านหลังตามกระแส

 

 

ซ่งจื่อหางได้ยินแว่วๆ ว่ามีคนพูดชื่อของ “เจียงเยียนหราน” จิตใต้สำนึกพลันเกิดอารมณ์หงุดหงิด

 

 

หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะตามมาราวีอย่างไม่ยอมตัดใจอีกอย่างนั้นเหรอ?

 

 

ซ่งจื่อหางขมวดคิ้วมองตามสายตาของผู้คนไป ผลลัพธ์คือ วินาทีถัดมา สีหน้าพลันนิ่งอึ้ง

 

 

เห็นหญิงสาวตรงหน้าสวมชุดเดรสสีสดใสพิมพ์ลายดอกสไตล์ย้อนยุค การตัดเย็บที่ปราณีตได้ขับเน้นเส้นโค้วเว้าน่าตะลึงของสาวน้อย ผมยาวประบ่าสีชาทำให้เธอดูสดใสและน่าประทับใจ ไม่มีเค้าของความน่าเบื่อหลงเหลืออยู่เลย

 

 

หญิงสาวที่สวยเสียจนเพียงพอที่จะทำให้ผู้ชายลุ่มหลง กลับเป็น…เจียงเยียนหราน!

 

 

ซ่งจื่อหางแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง

 

 

เวลานี้หัวข้อสนทนาของผู้คนที่รายล้อมอยู่ก็เริ่มดังขึ้น โดยเฉพาะหลังจากได้มองซ่งจื่อหางกับเยี่ยหวันหวั่น

 

 

“นี่ พวกเธอไม่คิดว่าเจียงเยียนหรานสวยกว่าเฉินเมิ่งฉีตั้งเยอะเหรอ?”

 

 

หน้าตาของเฉินเมิ่งฉีบวกกับการแต่งหน้าแต่งตัวที่เหมาะสมนับได้ว่าเป็นสาวสวยที่มีออร่าคนหนึ่ง แต่เทียบกับเจียงเยียนหรานที่สวยจนคนตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าจืดสนิทไปในพริบตาอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“สวยกว่ามากเกินไปต่างหาก! ปกติแล้วมองไม่ออกเลยนะเนี่ย”

 

 

“อีกทั้งถ้าลองคิดดูดีๆ ตระกูลของเจียงเยียนหรานมีฐานะดีกว่าเฉินเมิ่งฉีตั้งเยอะ พ่อเป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียง แม่เป็นนักเขียนบทชื่อดัง ส่วนพ่อของเฉินเมิ่งฉีได้ยินว่าแต่ก่อนเป็นคนขับรถของพ่อเยี่ยหวันหวั่น พวกเธอว่าซ่งจื่อหางโง่หรือเปล่า? ยอมปล่อยหญิงงามชาวเศรษฐีที่รักเขาจนยอมถวายชีวิต ไปหาหมวกเก่าๆ ใบหนึ่ง”

 

 

คำพูดพวกนี้ย่อมลอยเข้าหูของซ่งจื่อหางและเยี่ยหวันหวั่นอย่างชัดเจน

 

 

ใบหน้าของซ่งจื่อหางพลันถมึงทึง ใบหน้าของเฉินเมิ่งฉีเปลี่ยนเป็นเขียวซีด

 

 

………………………………..

 

 

 

 

 

 

บทที่ 128 คนที่โดนหลอกคือเธอ

 

 

คำพูดเหล่านี้ย่อมเข้าถึงหูของซ่งจื่อหางและเฉินเมิ่งฉีอย่างชัดเจน

 

 

สีหน้าซ่งจื่อหางพลันดำคล้ำ ใบหน้าเฉินเมิ่งฉีซีดเผือด

 

 

เธอจะรับได้อย่างไร เจียงเยียนหรานที่เป็นตัวเสริมให้ตัวเองมาโดยตลอดได้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน ทั้งยังถูกนำมาเปรียบเทียบเยาะเย้ยเธออีกด้วย

 

 

ปกติแล้วเจียงเยียนหรานดีต่อเธอมาก ถึงกระทั่งช่วยเธอได้ไม่น้อยทีเดียว แต่สิ่งที่เธอเกลียดที่สุดก็คือท่าทางอย่างกับผู้สูงศักดิ์มีจิตกุศลนั่น ก็เหมือนกับตอนแรกที่เธอเกลียดเยี่ยหวันหวั่น

 

 

เป็นเพราะบิดาของเธอเป็นคนขับรถของตระกูลเยี่ย เธอก็ต้องคอยวิ่งตามคุณหนูใหญ่นั่นจนหัวหมุนราวกับเป็นผู้ติดตาม คอยเอาใจเธอ ปรนนิบัติราวกับเธอเป็นญาติผู้ใหญ่ ถึงกระทั่งถูกบังคับให้ซ้ำชั้นเป็นเพื่อนเธอ

 

 

คำพูดของคนรอบๆ พวกนั้นจี้ใจดำของเธออย่างที่สุด สายตาซ่งจื่อหางที่ตกตะลึงในความสวยเมื่อครู่ยิ่งทำให้สีหน้าของเธอบูดบึ้ง

 

 

น่าตายนัก ทำไมถึงไม่เหมือนที่เธอคิดไว้เลยสักนิด จากนิสัยของเจียงเยียนหราน เพิ่งจะถูกซ่งจื่อหางสลัดทิ้ง ทำไมถึงยังมีอารมณ์แต่งตัว แล้วยังปรากฎตัวอย่างสดใสเป็นประกายอีกด้วย

 

 

เสื้อผ้าที่สวมอยู่นั้นก็ไม่ใช่สไตล์ที่เธอชอบใส่ เธอรู้จักนิสัยของเจียงเยียนหรานดี ไม่มีทางใส่เสื้อผ้าที่โดดเด่นขนาดนี้แน่นอน…

 

 

เฉิงเมิ่งฉีคิดไม่ออกว่าทำไมนิสัยของเจียงเยียนหรานถึงได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน หรือเป็นเพราะถูกกระทบกระเทือนจิตใจ?

 

 

เธอรีบหยุดความคิด มองไปทางเจียงเยียนหรานด้วยสีหน้ากังวลใจ “เยียนหราน สองวันนี้เธอไปไหนมา พวกเราตามหาเธอไปทั่ว โทรไปเธอก็ไม่ยอมรับสาย วันนี้กลับห้องไปยังเห็นว่าของๆ เธอไม่อยู่แล้ว พวกเราเป็นห่วงแทบแย่ กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ…”

 

 

เฉินเมิ่งฉีทำท่าสาวน้อยบริสุทธิ์ราวดอกสาลี่ต้องฝน ถ้าหากไม่รู้ เกรงว่าจะหลงผิดคิดว่าคนที่ถูกทิ้งถูกคำนินทาโจมตีสะบักสะบอมเป็นเธอ

 

 

เจียงเยียนหรานมองท่าทางเสแสร้งของเฉินเมิ่งฉีด้วยสายตาเย็นชา “ขอบคุณจริงๆ ที่เธอเป็นห่วงฉันขนาดนี้”

 

 

เยี่ยหวันหวั่นที่นอนแอ้งแม้งพิงพนักเก้าอี้แถวแรก กระพริบตาปริบๆ เอ่ยถามด้วยท่าทางไร้เดียงสาไร้พิษภัย “เอ๋? เมิ่งฉี เธอเป็นห่วงเยียนหรานมากเลยเหรอ?”

 

 

เฉินเมิ่งฉีสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเยี่ยหวันหวั่นถึงได้มาพร้อมกับเจียงเยียนหรานได้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าพวกเขาคงบังเอิญเจอกัน พอได้ยินคำของเยี่ยหวันหวั่นพลันรีบเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “ฉันจะไม่เป็นห่วงได้ยังไง! เยียนหรานก็เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉันนะ”

 

 

เยี่ยหวันหวั่นทำหน้าสงสัย พึมพำเบาๆ “อ้อ…เป็นห่วงขนาดนี้ยังมีอารมณ์มาดูแข่งบาสเกตบอลด้วย…”

 

 

ดูเหมือนเยี่ยหวันหวั่นกำลังพูดกับตัวเอง แต่ว่าเสียงดังพอที่จะให้คนรอบข้างได้ยินอย่างชัดเจนทั้งหมด

 

 

หน้าเฉินเมิ่งฉีพลันเปลี่ยนสี แอบถลึงตาใส่เยี่ยหวันหวั่นทีหนึ่ง จากนั้นอธิบายว่า “หวันหวั่น ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นเพราะการแข่งขันวันนี้สำคัญมาก ฉันเพียงแค่…”

 

 

เยี่ยหวันหวั่นไม่รอให้เธอพูดจบก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้น เธอทำท่าพยักหน้าเข้าใจ “ก็จริง ฉันก็คิดว่าการแข่งขันสำคัญมากกว่า ฉันรอการแข่งสนามนี้มาตั้งนาน ถ้าไม่ได้มาคงจะเสียดายน่าดู”

 

 

ประโยคนี้ของเยี่ยหวันหวั่นดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับแอบบอกทุกคนว่า สำหรับเฉินเมิ่งฉี การแข่งขันสนามหนึ่งสำคัญกว่าคนที่เธอเรียกว่าเพื่อนสนิท

 

 

ได้ยินคำพูดซื่อบื้อของเยี่ยหวันหวั่นนั้น คนรอบด้านพลันส่งเสียงหัวเราะเสียดสี “ฮึฮึ” ขึ้นมาตามๆ กัน

 

 

“ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึก แต่จู่ๆ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าเฉินเมิ่งฉีปลอมเปลือกมาก!”

 

 

“นั่นสิ! แสร้งทำเป็นรักใคร่กันเหมือนพี่น้อง ทำเป็นเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว ผลสุดท้ายกลับมาพลอดรักกับซ่งจื่อหางอยู่ที่นี่ ฉันว่าเขาคงทนรอไม่ไหวอยากให้เจียงเยียนหรานตายๆ ไปซะจะได้จับต้นไม้ใหญ่อย่างซ่งจื่อหางต้นนี้ได้สะดวกซะล่ะมั้ง”

 

 

“ได้ยินว่าตระกูลซ่งกำลังจะร่วมมือกับรัฐบาลทำโครงการใหญ่ สินทรัพย์เพิ่มมูลค่าหลายสิบเท่าในชั่วพริบตาเชียวนะ!”