ส่วนที่ 2 ฝันร้ายหมายเลขเก้า ตอนที่ 12 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (12)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ซูหว่านปั่นป่วนในใจไม่น้อย คืนนี้จิตใจของสับสนไม่หยุด ตั้งแต่ความฝันแปลกประหลาด จนถึงการปรากฏตัวของอี้จื่อเซวียน ตลอดจนคำพูดชวนงงงันของฉีมู่ที่ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า 

 

 

ตอนนี้ตรรกะของเธอบอกตัวเองว่าไม่อาจเชื่อใครหน้าไหนได้ทั้งนั้น ทว่า… 

 

 

เมื่อนึกถึงคำสัญญาหนักแน่นของอี้จื่อเซวียน คิดถึงท่าทีขึงขังเกินบรรยายของฉีมู่ ซูหว่านก็ลังเลใจ เธอนึกลังเลอยู่ในใจ 

 

 

“เสี่ยวหว่าน” 

 

 

เมื่อเห็นซูหว่านเอาแต่ใจลอย ฉีมู่ก็อดไม่ได้จะโน้มตัวไปด้านหน้า เขายกมือหมายจะแตะตัวซูหว่านซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเขาไป 

 

 

“หื้ม” 

 

 

เธอได้สติกลับมาและเบี่ยงหลบมือของเขาทันควันอย่างประหม่า “ฉีมู่ พี่รออยู่ตรงนี้แล้วกัน ฉันจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้” 

 

 

เธอวิ่งหนีไปในห้องของพ่อแม่เธอขณะที่บอก ซูหว่านสัมผัสถึงสายตาของตัวเองที่หม่นลงเมื่อประตูห้องนอนงับปิดลง ทั้งกายของอี้จื่อเซวียนโถมมาทาบทับเธอ ร่างซูหว่านแนบติดกับประตูอย่างไม่มีทางเลือก “จื่อเซวียนเหรอ” 

 

 

เธอส่งเสียงเรียกเสียงแผ่วอย่างกลัวว่าฉีมู่ซึ่งอยู่ในห้องนั่งเล่นจะได้ยินเข้า 

 

 

“หึ” 

 

 

อี้จื่อเซวียนทำเพียงยกยิ้มบาง รอยยิ้มที่แอบแฝงแววเย้ยหยันระคนดูแคลน “ฉันไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเธอจะคบกับฉีมู่ไวขนาดนี้” 

 

 

แม้ว่าพวกเขาจะเลิกกันไปกว่าครึ่งปีแล้ว แต่เขาก็ทำใจและพักเรื่องนี้เอาไว้ ซ้ำยังเพราะเขาได้ครอบครองความสามารถพิเศษและมีคนอื่นมาชอบพอหลายคน หากแต่การได้ยินบทสนทนาของฉีมู่กับซูหว่านกับหูตัวเองก็ยังชวนให้เขารู้สึกอึดอัดใจ 

 

 

เขากับซูหว่านคบหากันมานานเท่าไร  

 

 

ซูหว่านกับฉีมู่รู้จักกันได้ไม่กี่วันเองไม่ใช่หรือ 

 

 

ไม่นานก่อนหน้านี้เขายังไร้เดียงสาที่คิดว่าซูหว่านยังนึกอาวรณ์เขาอยู่บ้าง ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เหลืออะไรไปมากกว่าความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนของเขาเอง 

 

 

อ่าห์ ยังโง่เง่าขนาดนี้อยู่อีก! 

 

 

ผู้หญิงคนนี้ทิ้งเขาไปเพราะว่าเขาจนไม่ใช่หรือ 

 

 

แล้วฉีมู่ล่ะ ต่อให้เขาเป็นคุณชายมาดดีที่ตกหลุมรักทุกคนที่ผ่านตา แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นคนรุ่นที่สองที่ร่ำรวยและมีอำนาจ 

 

 

“อี้จื่อเซวียน นายคิดอะไรอยู่” 

 

 

สีหน้าซูหว่านกลับกลายเย็นชาเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดของอี้จื่อเซวียน 

 

 

“เธอไม่ได้ฟังที่ฉันพูดหรือยังไง ฉันไม่อยากพูดซ้ำเป็นครั้งที่สองหรอกนะ” 

 

 

อี้จื่อเซวียนถอยไปไม่กี่ก้าว เขาจ้องเธอคล้ายกำลังมองบางอย่างที่โสมมเหลือเกิน “ฉันน่าจะคิดได้ก่อนหน้านี้ เธอมันผู้หญิงสมองกลวง ยอมแลกทุกอย่างเพื่อเงิน” 

 

 

“กลวงงั้นเหรอ” 

 

 

ซูหว่านได้ยินคำพูดของเขาและอดจะหัวเราะออกมาดังๆ ไม่ได้ “ฉันแค่อยากจะมีชีวิตที่ดีและให้ครอบครัวตัวเองสุขสบาย มันเรียกว่ากลวงงั้นเหรอ อย่างนั้นเรียกเธอว่าอะไรดีล่ะ มีปมหรือสมถะดีล่ะ คนเราอยู่ในโลกที่หมุนไปเพื่อการเอาตัวรอดและเงินตราใบนี้ ชอบเงินแล้วผิดตรงไหนล่ะ ฉันไม่ได้ไปขโมย ไปปล้น หรือทำตัวเองให้เสื่อมเสีย ฉันแค่อยากหาใครสักคนที่พึ่งพาได้ คนที่หาเงินได้ คนที่มอบชีวิตที่ดีให้ตัวเองและพ่อแม่ฉันได้ แล้วมันผิดตรงไหนกันล่ะ อี้จื่อเซวียน นายเองนั่นแหละที่เอาแต่รู้สึกมีปมด้อยอยู่ตลอดเวลา นายอยากจะกลับไปบนเขาเพราะนายจะหลบจากเมืองหลวงที่มีแสงสีนี้! นายรับปากอะไรฉันไม่ได้สักอย่างด้วยซ้ำ นายไม่มีสิทธิ์มาวิพากษ์วิจารณ์ฉัน!” 

 

 

“เธอ…” 

 

 

ท่าทีของอี้จื่อเซวียนซึ่งถูกซูหว่านก่นด่าเปลี่ยนไปสุดขั้ว “ฉันรู้สึกมีปมงั้นเหรอ” 

 

 

แววตาเขาแข็งกร้าวราวกับได้ยินเรื่องน่าขันที่สุดในโลก “ซูหว่าน เธอเองนั่นแหละที่ไม่เข้าใจคุณค่าของหยก ต่อไปฉันจะต้องมีหน้ามีตาในสังคมแน่ แล้วเธอล่ะ นอกจากมองหาผู้ชายรวยๆ เธอมีอะไรอีก” 

 

 

การร่ำรวยขึ้นมาในชั่วข้ามคืนหรือเผยกลโกงเด็ดเหมือนอย่างคุณชายผ้าแพรทำให้อี้จื่อเซวียนสัมผัสถึงความมั่นใจในตัวเองที่ได้เติมเต็มจนถึงจุดปะทุ เขารู้สึกเพียงว่าเหตุผลเดียวที่ตนเองชายตามองผู้หญิงแบบซูหว่านซึ่งไร้ศีลธรรมเป็นเพราะว่าเขาหลงผิดไป 

 

 

เขาในตอนนี้ลืมสิ้นถึงตัวตนเดิมที่เคยตามตื๊อซูหว่าน เขานึกโทษทุกคนและทุกสิ่งไปทั่วยกเว้นตัวเขาเองในใจไปช่วงที่หัวเสียและผิดหวังที่ถูกปฏิเสธ 

 

 

หลังได้พลังนี้มาเขาก็รู้สึกว่าตัวเองครอบงำทั้งโลกและผู้หญิงทุกคนได้ ตอนนี้ซูหว่านดูน่ารังเกียจเต็มทีเมื่อได้ใคร่ครวญมองเธอ  

 

 

เขา อี้จื่อเซวียน เป็นที่โปรดปรานของสรวงสวรรค์ เขาจะเปล่งประกายในโลกใบนี้ และคนอย่างซูหว่านนั้นไม่คู่ควรจะอยู่ข้างกายเขา ตอนนี้มีเพียงเด็กสาวแบบเมิ่งถิงเหยาที่พอจะเหมาะสมกับเขาอยู่ 

 

 

“ซูหว่าน ตอนแรกที่เกิดเรื่อง คนแรกที่ฉันนึกถึงก็คือเธอ แต่ว่าเธอทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ!” 

 

 

อี้จื่อเซวียนไม่ได้มองใบหน้าขาวฉายแววกรุ่นโกรธของเธอขณะที่ว่าขึ้น เขารีบจ้ำอ้าวผ่านเธอไปและผลักประตูห้องนอนออกทันที 

 

 

“ช้าจังเลย…” 

 

 

ฉีมู่ถามขณะที่เอนหลังอยู่บนโซฟา เมื่อเขาหันศีรษะไปท่าทีของเขาก็หม่นลงไปแวบหนึ่ง “โย้ว นั้นอี้จื่อเซวียนไม่ใช่เหรอ” 

 

 

ประสบการณ์โชกโชนส่งให้ฉีมู่กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาไม่ลืมที่จะงัดสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มมาใช้จ้องไปทางอี้จื่อเซวียนอย่างเคย 

 

 

ในสายตาของอี้จื่อเซวียน ฉีมู่เห็นว่าเขาเป็นคนรุ่นที่สองที่เหลาะแหละและเพ้อฝันมาตลอด แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะนับได้ว่าภูมิฐาน ทว่านอกจากความสามารถของเขาในการหลอกล่อคนอื่น เขาจะมีอะไรอีกกัน เงินทองและสถานะของฉีมู่ล้วนแล้วแต่มาจากพ่อแม่ของเขา หากเขาตัดขาดกับครอบครัวไปเขาก็ไม่เหลือสิ่งใด 

 

 

เศรษฐีรุ่นที่สองเช่นนี้เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนอี้จื่อเซวียนนึกรังเกียจ หากฉีมู่ไม่ใช่เพื่อนสมัยเด็กของเฉินอวี้เฟิง เขาคงขี้คร้านจะพูดคุยแม้แต่คำเดียวกับคนแบบนี้ 

 

 

อี้จื่อเซวียนจ้องเขาด้วยแววตาเข้มเจือห่างเหินเมื่อปะทะกับรอยยิ้มของฉีมู่ เขาหันขวับเดินไปทางประตู อี้จื่อเซวียนซึ่งรู้ตัวว่าได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของฉีมู่แล้ว รู้สึกเกรงว่าคืนนี้ซูหว่านคงไม่ได้อยู่เป็นสุขขึ้นเมื่อเขาจากไป 

 

 

แต่อย่างไรเธอก็เป็นคนทำตัวเอง เขาจึงไม่ได้อธิบายกับเธอแต่อย่างใด 

 

 

สิ่งที่อี้จื่อเซวียนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมีเพียงเมื่อมือของเขากำลังจะปลดกลอนประตู เสียงของฉีมู่ 

 

 

กลับพลันดังขึ้นด้านหลังเขา “อี้จื่อเซวียน เรามาตกลงกันดีไหม”