บทที่ 25 นักฆ่าผู้ไร้รอยเลือด Ink Stone_Fantasy
กลางดึก ณ คฤหาสน์ที่เฉินหู่อาศัยอยู่ ท่ามกลางความมืดมิด เฉินหู่และลูกน้องอันธพาลทั้งสามล้วนตายหมด โดยเฉพาะเฉินหู่ที่ถูกมีดสั้นเล่มหนึ่งปักติดอยู่กลางกำแพงห้อง หลอดลมถูกมีดสั้นเสียบทะลุ สองตาเบิกโพลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา
เย่เทียนเฉินเพิ่งจะจากไปไม่นาน เงาร่างสองสายก็พลิกตัวพุ่งเข้ามา พวกเขาสะกดรอยตามเย่เทียนเฉินมาตลอด สุดท้ายก็มาถึงที่นี่
เงาร่างทั้งสองค่อยๆ คลำทางมาถึงห้องที่เฉินหู่อยู่ ตอนที่พวกเขาพบศพของอันธพาลทั้งสาม กับเฉินหู่ที่ถูกปักติดอยู่บนกำแพง ตายโดยที่เลือดไหลออกมาจนหมดตัว ก็อดตกใจไม่ได้
“ไอ้เด็กนี่มันโหดจริงๆ ฆ่าหมดทุกคนเลย” คนๆ หนึ่งเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้ว
“ทุกคนตายภายในการโจมตีครั้งเดียว ร้ายกาจมาก” อีกคนหนึ่งหลังจากตรวจสอบศพของอันธพาลทั้งสามที่อยู่บนพื้น ก็อดอุทานออกมาอย่างตกตะลึงไม่ได้
“หรือว่าไอ้ตัวตลกของเมืองหลวงคนนี้ จะระเบิดศักยภาพออกมาได้จริงๆ ?”
“คิดว่าคงจะไม่มีใครกล้าเห็นมันเป็นเศษสวะอีกแล้วล่ะ วันนี้ไม่เหมือนกับในอดีต ฉันว่าเรื่องนี้ต้องรีบรายงานทันที”
“ไปกันเถอะ ถูกคนพบเข้าคงไม่ดีแน่!”
เวลานี้ ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลลั่ว ลั่วซงเฉิงโกรธจนทนไม่ไหว แทบกระอักเลือดออกมา พริบตาเดียวก็ทำแก้วชาในมือแตกออกเป็นผุยผง
“พ่อ มีเรื่องอะไรทำไมถึงโมโหขนากนี้ครับ?” ลั่วกวงฮุยตกใจจนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วค่อยกล่าวถาม
“เรื่องอะไรงั้นรึ? มันน่าโมโหจริงๆ ไม่เคยมีใครกล้ามาดูถูกตระกูลลั่วของฉันขนาดนี้!” ลั่วซงเฉิงด่าออกมาด้วยน้ำเสียงอันดัง
“พ่อ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ?” ลั่วฉีก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นพ่อของตนโกรธขนาดนี้มาก่อน
ลั่วซงเฉิงมองลูกชายทั้งสอง สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “วันนี้ฉันโทรไปหาชางหลาง บอกว่าอยากจะดูข้อมูลของเย่เทียนเฉิน ไม่คิดว่าชางหลางจะไล่ให้ฉันไปดำเนินเรื่องตามปกติ ไอ้หมอนี่มันไม่ไว้หน้าฉันเลยสักนิด สุดท้ายฉันก็ยื่นเรื่องขึ้นไปที่สำนักความมั่นคงแห่งชาติ แต่พวกเขาดันบอกฉันว่าข้อมูลของเย่เทียนเฉินถูกเหยียนหลงแห่งกองกำลังเหยี่ยวนักล่าเอาไปแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าไม่เห็นฉันลั่วซงเฉิงอยู่ในสายตาหรอกเหรอไง?”
เมื่อได้ยินเสียงด่าของลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุยกับลั่วฉีก็พลันกระจ่างแจ้ง ปกติพ่อเป็นคนมีอำนาจและถือหางพวกตัวเอง แม้ว่าตระกูลลั่วจะไม่ได้เป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง แต่ก็ไม่เคยถูกใครดูหมิ่นมาก่อน อีกทั้งครั้งนี้พ่อของตนที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหาร แค่คิดอยากจะตรวจสอบข้อมูลของทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ยังยากเย็นขนาดนี้ ทำให้จิตใจที่หยิ่งทะนงในตนเองของลั่วซงเฉิงรับไม่ได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต่อให้เย่เทียนเฉินมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเย่ แต่ตระกูลเย่ก็ตกต่ำลงตั้งนานแล้ว ไม่มีทางเทียบเคียงกับตระกูลลั่วได้ แค่อยากดูข้อมูลมันยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้นเชียวหรือ?
“แม่งเอ้ย ชางหลางกับเหยียนหลงมันกล้าไม่ไว้หน้าตระกูลลั่วของพวกเรา สักวันจะต้องฆ่าไอ้เดรัจฉานสองคนนั่นให้ได้” ลั่วกวงฮุยพูดเสียงดังอย่างไม่มีเหตุผล
เพียะ!
เมื่อลั่วซงเฉิงได้ยินคำพูดไร้สมองของลั่วกวงฮุย ก็ตบใส่หน้าฉาดหนึ่ง ลั่วกวงฮุยทั้งรู้สึกมึนงง ทั้งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เหตุใดทุกครั้งคนที่ถูกตบจึงต้องเป็นเขาด้วย?
“เจ้าโง่ ฉันคิดว่าไอ้เจ้าเย่เทียนเฉินมันเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเมืองหลวงแล้ว แกสิถึงจะเป็นไอ้คนไม่เอาไหนกับเศษสวะที่สุด!” ลั่วซงเฉิงด่าอย่างดุร้าย
“พ่อ ผมทำเพื่อตระกูลนะครับ…” ลั่วกวงฮุยที่ยังคงรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม กล่าวอธิบาย
“แกบอกว่าทำเพื่อตระกูลงั้นเหรอ? ฉันว่าแกอยากจะทำให้ตระกูลตกต่ำจนไม่เหลืออะไรเลยซะมากกว่า ชางหลางเป็นใคร เป็นถึงคนของคณะกรรมาธิการทหาร เหยียนหลงก็เป็นผู้บัญชาการของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า แกรู้ถึงความร้ายกาจของกองกำลังเหยี่ยวนักล่ารึเปล่า? เป็นกองกำลังขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยตรง แกบอกว่าอยากจะฆ่าชางหลางกับเหยียนหลง ไม่ต้องพูดถึงลงมือหรอก แค่ถูกคนรู้เข้า พวกเราตระกูลลั่วจะต้องมีปัญหาแน่” ลั่วซงเฉิงด่าโครมๆ ใส่หน้าของลั่วกวงฮุยผู้เป็นลูกชายคนโต
สมควรแล้วที่ลั่วกวงฮุยคนนี้จะถูกด่า ช่างโง่งมจริงๆ ที่ลั่วซงเฉิงพูดคำเหล่านั้นออกมา ก็เพราะต้องการระบายเท่านั้น และอยากจะให้ลูกชายทั้งสองคิดหาวิธีดูว่ามีทางใดที่จะใช้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินในช่วงที่อยู่ในกองทัพได้บ้าง ไม่ได้อยากจะจัดการกับชางหลางและเหยียนหลง หากคิดถึงสถานะของชางหลางกับเหยียนหลงแล้ว ตระกูลลั่วย่อมไม่กล้าลงมือ สองคนนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งสามราชันย์นักรบของประเทศจีน การลงมือกับพวกเขาทั้งสองคงจะเป็นการรนหาที่ตายเปล่าๆ ใครจะรู้ว่าลั่วกวงฮุยอยู่ดีๆ ก็พูดว่าจะฆ่าชางหลางกับเหยียนหลง เป็นการกระทำฆ่าตัวตายโดยแท้
“ถะ…ถ้างันพวกเราจะทำยังไงกันดีครับ? หรือว่าเรื่องของลูกเหลยกับลูกเทาจะพอแค่นี้?”
“พอเหรอ? ตระกูลลั่วของฉันไม่เคยถูกคนรังแกแบบนี้มาก่อน ถ้าพอแค่ตรงนี้ ตระกูลลั่วจะไปยืนอยู่ตรงไหนในเมืองหลวง ตระกูลเย่บังอาจมาเป็นศัตรูกับฉัน ฉันจะต้องเอาคืนมันให้ได้ เย่เทียนเฉินมันบังอาจทำร้ายเหลยเอ๋อร์กับเทาเอ๋อร์จนพิการ ฉันจะเอาคืนมันเป็นสิบเท่า” ลั่วซงเฉิงกล่าวอย่างเกรั้ยวกราด
“พ่อ พ่อหมายถึง…” ลั่วฉีที่ยืนไม่กล่าวอะไรอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดเปิดปากถาม
“เจ้าเดรัจฉานเย่เทียนเฉินยังไงก็ต้องตาย ในเมื่อลงมือต่อหน้าไม่ได้ งั้นก็ส่งคนไปซะ” ลั่วซงเฉิงกล่าวออกมาพร้อมยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ทราบแล้วครับพ่อ ผมจะรีบไปหาอู๋เสวี่ยทันที” ลั่วฉีพยักหน้าพลางกล่าวออกมา
ลั่วซงเฉิงพยักหน้า จากนั้นจึงเปิดปากกล่าวว่า “แกระวังหน่อยนะ เจ้าอู๋เสวี่ยคนนี้มันควบคุมไม่ง่ายเลย ถ้าหากว่ามันไม่ยอมทำก็บอกมันว่า ขอเพียงมันช่วยฉันฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ ฉันก็จะหาวิธีปล่อยพ่อบุญธรรมของมันออกมาจากคุก…”
“ทราบแล้วครับ!”
“แล้วก็ติดต่อไปหาเหยียนหลงด้วย ฉันยังหวังวาจะได้รับข้อมูลส่วนนั้น ฉันคิดว่าเย่เทียนเฉินไม่ธรรมดาขึ้นทุกวันๆ!” ลัวซงเฉิงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
อู๋เสวี่ยราชาโลกมืดแห่งเมืองหลวง ไม่มีใครทราบว่าเขามีลักษณะหน้าตาอย่างไร แต่กลับมีคนมากมายที่ได้ยินเรื่องราวของเขา เขาคือเทพแห่งความตายที่เดินอยู่ในราตรีอันมืดมิด มักจะได้รับการว่าจ้างจากเหล่าผู้ทรงอิทธิพลและเหล่าตระกูลใหญ่ต่างๆ หลายคนทราบว่าขอเพียงอู๋เสวี่ยลงมือ ก็จะไม่มีใครฆ่าไม่ได้เด็ดขาด ที่ได้รับสมญานามว่า ‘อู๋เสวี่ย(ไร้รอยเลือด)’ ก็เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรการฆ่าคนของเขาล้วนสะอาดสะอ้าน ไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย ถึงขั้นฆ่าคนได้โดยที่ไม่เห็นเลือดสักหยด เขาได้รับการยกย่องทั้งจากโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังว่าเป็นนักฆ่ามือหนึ่งแห่งเมืองหลวง
ครั้งนี้ลั่วซงเฉิงหมดสิ้นหนทางแล้ว คณะกรรมาธิการทหารใกล้จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ จึงไม่สามารถลงมือต่อหน้าอย่างโจ่งแจ้งได้ มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อการเลื่อนขั้นของเขา ในเมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาในที่แจ้งได้ ถ้างั้นก็แก้ปัญหาในทางลับก็พอ เขาเชื่อว่าขอเพียงอู๋เสวี่ยลงมือ จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน เพื่อขจัดความเคียดแค้นในใจ
เวลานี้ ภายในตึกสำนักงานใหญ่ของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า เหยียนหลงกำลังมองเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น อย่างเคร่งเครียด ปรากฏความประหลาดใจและความไม่อยากจะเชื่อในสายตา เนื่องจากเมื่อสักครู่นี้ เจียงเหมิงและ เฟยอวิ๋นได้รายงานเรื่องการตายของเฉินหู่ซึ่งเป็นอันธพาลในเขตใต้ให้เหยียนหลงฟัง โดยเฉพาะลักษณะการตายที่บรรยายออกมาได้อย่างละเอียดยิ่ง แม้แต่เหยียนหลงที่ได้รับการยกย่องให้เป็นยอดฝีมือหนึ่งในสามราชันย์นักรบแห่งเมืองหลวงก็รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
“เย่เทียนเฉินเป็นคนฆ่าสี่คนนั่นจริงๆ เหรอ?” เหยียนหลงถาม
“ใช่ครับ มีแต่เขาที่ได้เข้าไป ทุกคนถูกฆ่าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ร้ายกาจมาก โดยเฉพาะเฉินหู่ที่ถูกมีดสั้นเสียบทะลุหลอดลม และถูกปักตายอยู่คากำแพง แขนขวาถูกฟันขาด ในมือซ้ายถือปืนพกอยู่หนึ่งกระบอก น่าเสียดายที่ไม่ทันได้ลั่นไก…” เจียงเหมิงที่มีความประหลาดใจอยู่เต็มหน้ากล่าวออกมา
“หัวหน้าเหยียน เรื่องนี้พวกเราต้องรายงานให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยสาธารณะทราบ เพื่อดำเนินการจับกุมเย่เทียนเฉินไหมครับ” เฟยอวิ๋นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวถาม
หลายวันมานี้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นสะกดรอยตามเย่เทียนเฉินอยู่ตลอด เพื่อต้องการทราบทุกความเคลื่อนไหวของชายคนนี้ ที่เหยียนหลงส่งเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นไปสะกดรอยตามก็ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นใด นอกจากเพื่อกู้หน้าให้กองกำลังเหยี่ยวนักล่าของตนเองเท่านั้น ใครจะทราบว่าสะกดรอยตามอยู่ไม่กี่วันก็จะเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น
“ไม่ต้อง ผมเพิ่งจะได้รับข้อมูลที่เย่เทียนเฉินได้รับการจัดเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศมา พวกคุณเองก็มาดูหน่อยเถอะ!” เมื่อเหยียนหลงพูดจบ ก็ส่งข้อมูลชุดหนึ่งให้แก่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น
เจียงเหมิงและอวิ๋นเฟยรับข้อมูลที่เหยียนหลงส่งให้มาอ่านจากบนลงล่าง ไม่พบว่ามีส่วนผิดปกติ แต่เมื่อพวกเขาอ่านถึงส่วนที่เกี่ยวกับระดับการสู้รบ ทั้งสองต่างก็ปากอ้าตาค้าง เนื่องจากตรงบรรทัดนั้นมีตัวอักษรดูทรงพลังสองตัวกำกับไว้ว่า ‘ไม่ทราบ’
“นี่…เป็นไปไม่ได้ ไม่ทราบระดับพลังการสู้รบ? นี่มัน…” เจียงเหมิงตกใจจนพูดไม่ออก
“นายพลชางหลางเป็นคนเขียนความคิดเห็นด้วยตัวเอง ดูท่าแล้วเรื่องที่พวกทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดอย่างพวกเย่เทียนเฉินถูกลอบโจมตีในครั้งนั้น จะต้องมีความลับที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงอยู่แน่ๆ ” เฟยอวิ๋นเองกล่าวพลางขมวดาคิ้ว
เหยียนหลงพยักหน้า ชางหลางเป็นใคร คงจะไม่มีใครรู้ชัดเจนไปกว่าเขาอีกแล้ว เจ้าหมอนี่เป็นหนึ่งในสามราชันย์นักรบของประเทศจีนเช่นเดียวกับตนเอง ไม่ว่าตำแหน่งหรือความสามารถ ล้วนแต่ไม่มีใครกล้าดูเบา เพียงแต่หลายปีมานี้ เขากับชางหลางต่างก็มีโอกาสลงมือน้อย มีน้อยคนที่ทราบถึงฝีมือความสามารถที่แท้จริงของพวกเขา แต่ว่าต่างก็เป็นคนที่มาจากช่วงเวลาเดียวกัน จะมากน้อยก็รู้ถึงพลังของอีกฝ่าย สามารถทำให้ชางหลางเขียนคำว่า ‘ไม่ทราบ’ ลงไม่ในส่วนของระดับการสู้รบได้ เย่เทียนเฉินคงจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์
“หรือว่าจะเป็นอย่างที่ข่าวลือบอกจริงๆ เย่เทียนเฉินฆ่าล้างพวกโจรทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว กระทั่งยอดฝีมือของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตก็ถูกเก็บหมด แล้วแบกหานเจี๋ยกลับมายังกองทัพคนเดียว?” เฟนอวิ๋นชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวถาม
“นี่มันแกร่งเกินไปหรือเปล่า?” เจียงเหมิงพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เอาล่ะๆ ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องตรวจสอบเย่เทียนเฉินให้ชัดเจน อีกอย่างผมยังยืนยันคำเดิม ถ้ามีโอกาสพวกคุณทั้งสองคนก็ลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ให้เขารู้ถึงความร้ายกาจของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเรา ผมไม่เชื่อว่าพลังการต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งขนาดนั้น” เหยียนหลงกล่าวเสียงเข้ม
ในความเป็นจริง ถ้าหากว่าแข็งแกร่งดังเช่นในข่าวลือล่ะก็ ความสามารถในการสู้รบของเย่เทียนเฉินก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว เพราะจะมีระดับความสามารถสูงพอๆ กับชางหลางและเหยียนหลงเลยทีเดียว หลายปีมานี้ไม่เคยปรากฏผู้แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเย่เทียนเฉินจะมีความสามารถขนาดนี้หรือไม่ เหยียนหลงคิดว่ายังคงต้องรอการตรวจสอบ
เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นรับคำสั่ง แต่เหยียนหลงกลับขมวดคิ้ว จุดบุหรี่ขึ้นมวนหนึ่ง แล้วสูบเข้าไปเต็มปอด นับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ยิ่งทำให้ผู้คนมองไม่ออก สุดท้ายจึงเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก กล่าวพึมพำกับตนเองว่า
“เย่เทียนเฉิน ตกลงแล้วคนทั้งเมืองหลวงหัวเราะเยาะนาย หรือเป็นนายที่กำลังหัวเราะเยาะคนทั้งเมืองหลวงกันแน่? น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ซะแล้วสิ!”
……………………………………………………..