เซียวเยี่ยนเดินกลับมาด้วยใบหน้าเย็นชาอีกครั้ง หลินชิงเวยกำลังนั่งอยู่ในศาลาก้มหน้าบีบนวดขาที่เมื่อยล้าทั้งคู่ของตนเอง เมื่อหันมาเผชิญหน้ากับใบหน้าเย็นชาของเซียวเยี่ยน หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นอย่างน่าสงสารว่า “คิดไม่ถึงว่าวังหลวงจะกว้างใหญ่เช่นนี้ เดินมาเนิ่นนานแล้วยังไม่ถึงไหน ข้าเดินเหนื่อยแล้ว ท่านอ๋องคงไม่ถือสาที่ข้าขอพักที่นี่สักครู่กระมัง”

เซียวเยี่ยนเอ่ยออกมาสองคำ “ถือสา”

หลินชิงเวยกล่าว “ถือสาก็ต้องทน”

เซียวเยี่ยนยืนอยู่เบื้องหน้านาง “นี่เจ้าเจตนาจะเป็นปฏิปักษ์กับเปิ่นหวางใช่หรือไม่?”

หลินชิงเวยหรี่ตาเอ่ยว่า “นี่ท่านอ๋องพูดอะไรกัน…”

ยังไม่ได้พูดจบประโยค หลินชิงเวยพลันรู้สึกร่างกายของตนเอนเอียงแล้วลอยวูบ นางพบว่าเซียวเยี่ยนหิ้วร่างนางขึ้นมาราวกับนางเป็นนกตัวเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น

หลินชิงเวยดิ้นรนต่อสู้ เซียวเยี่ยนจึงยิ่งชูมือขึ้นสูง ไม่มีความคิดที่จะปล่อยนางลงมาแม้สักกระผีก

นี่คิดว่านางเป็นลูกนกหรือไร คิดจะหิ้วก็หิ้วขึ้นมา? แม้นางจะมีรูปร่างเล็กบอบบาง แต่การมีรูปร่างเล็กมิใช่ความผิดของนาง ความเคารพนับถือตนเองของนางนั้นทั้งอ้วนและหนักแน่น ไหนเลยจะทานทนได้เมื่อเซียวเยี่ยนปฏิบัติกับนางเช่นนี้

“ท่านปล่อยข้านะ” หลินชิงเวยถีบขาทั้งคู่ ตวัดเล็บมือที่กางออกมา ทว่ากลับมิอาจแตะต้องแม้แต่ชายเสื้อผ้าของเซียวเยี่ยน

เซียวเยี่ยนเห็นท่าทีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือตะกุยตะกายของนางเช่นนี้แล้ว ความไม่ได้ดั่งใจก่อนหน้านี้ราวกับพลันหายไปสิ้น เวลานี้เขาเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด จึงเลิกคิ้วและกล่าวว่า “มิใช่เดินไม่ไหวหรือไร เปิ่นหวางหิ้วเจ้าเดินไปได้”

“ผู้ใดต้องการให้ท่านหิ้วแล้วเดินไปเล่า” หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นถลึงตาใส่เขา ดวงตาทั้งโตและวิบวับไปด้วยประกายน้ำ ทั้งดำขลับและสว่างไสว

ทว่าเซียวเยี่ยนมิได้ใส่ใจนาง เขาหิ้วปีกนางเดินออกไปจากศาลา อาการประชวรของฮ่องเต้รอไม่ได้ เขาไม่อนุญาตให้นางอิดๆ ออดๆ อยู่ที่นี่ต่อไป

ซินหรูหดคอไปมาคิดจะติดตามไป แต่จนใจที่ทันทีที่นางก้าวเดินออกจากศาลาก็ต้องเบิกตากว้าง ด้วยเห็นเซียวเยี่ยนที่จับตัวหลินชิงเวยเดินไปไกลโยชน์แล้ว นางคิดจะวิ่งตามไป ก็พบว่าท่ามกลางการต่อต้านของหลินชิงเวย เซียวเยี่ยนกลับพานางเหินขึ้นกลางอากาศ

ร่างกายของเขาเบาประดุจอินทรีย์ที่เหินขึ้นฟ้า ทำให้ผู้คนเห็นแล้วต้องตื่นตะลึง

หลินชิงเวยพบว่าร่างกายของตนกำลังเหินขึ้นสู่กลางอากาศไม่หยุด นางก้มหน้าลงไปดู ที่แท้พื้นดินข้างล่างค่อยๆ ห่างจากตนเองไปไกล ร่างของนางกำลังเหินขึ้นจากพื้นดินเบื้องล่างสู่ท้องฟ้าเบื้องบน…

หากยังคงต่อต้านต่อไป เกิดตกลงไปคงต้องแย่แน่ๆ

ชั่วพริบตา เซียวเยี่ยนพานางเหินขึ้นสูงกว่าต้นไม้ ปลายเท้าของเขาแตะบนกิ่งไม้เพียงเบาๆ ราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำอย่างไรอย่างนั้น ทว่ากลับเหินกายออกไปได้ไกลยิ่งยวด วังหลวงทั้งหมด กำแพงวังสีแดงเป็นแนวยาว กระเบื้องกระจกท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องมานั้นเป็นประกายระยิบระยับ ทว่าหลินชิงเวยไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมสิ่งเหล่านี้

นางต่อสู้ดิ้นรนรุนแรงขึ้น ทั้งมือทั้งเท้าของนางล้วนปรารถนาที่จะจับตัวเซียวเยี่ยน

ที่จริงหากจะพูดว่าดิ้นรนต่อสู้ ไม่สู้พูดว่าพยายามอย่างยิ่งที่จะคว้าฟางเส้นสุดท้ายเพื่อให้มีชีวิตรอดจะถูกต้องกว่า

นางกลัวว่าจะตกลงไปจริง สูงเช่นนี้ แค่มองขาก็พลันอ่อนยวบ

หลินชิงเวยหายใจรัวเร็ว ใบหน้าแดงเรื่อด้วยเลือดฝาดก่อนหน้านี้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาวเผือด เมื่อเห็นว่าตนจับตัวเซียวเยี่ยนไม่ได้ จึงด่าทอออกไปประโยคหนึ่ง “ให้ตายสิ ตาเฒ่า”

เซียวเยี่ยนฟังออกว่ามิใช่คำที่มีความหมายดีอันใด คิ้วนั้นมุ่นลงเล็กน้อย แล้วค่อยๆ คลายมือออก

จากนั้นหลินชิงเวยก็ได้รับอิสระโดยการดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างไร้การยื้อยุดใดๆ

หัวใจของนางหนาวยะเยือก ต่อให้นางรู้ว่าเซียวเยี่ยนไม่มีทางมิคำนึงถึงอาการประชวรของฮ่องเต้ด้วยการปล่อยนางออกมาจากตำหนักเย็น แล้วปล่อยให้นางมาตกลงไปตายเช่นนี้ แต่…ความรู้สึกที่ต้องตกลงไปนั้นช่างไม่น่าอภิรมย์จริงๆ

เมื่อเห็นว่ากำลังจะตกลงสู่พื้น ทันใดนั้นเบื้องหน้าคลองจักษุก็ปรากฏเงาร่างดำมืดพาดผ่าน ร่างของนางที่กำลังดำดิ่งลงนั้นพลันหยุดชะงัก เซียวเยี่ยนกลับมาหิ้วปีกนางเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที แล้วเหินกายกลางอากาศต่อไป เล่นกับนางราวกับนางเป็นลูกนก