บทที่ 30 ฆ่าเต่าเกราะเหล็ก

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“ข้าว่านะสหายเซียนมู่ เจ้าค้นหาอะไรที่นั่น? ถ้ายังไม่ไปจะตามพวกหัวหน้าไม่ทันนะ” จินเฟยเหยาขมวดคิ้วแน่น มองบุรุษที่นั่งยองๆ ค้นหาสิ่งของในพุ่มไม้ไม่ไกลนักอย่างไม่พอใจยิ่ง

“มาแล้ว มาแล้ว สหายเซียนจินเจ้าดูสิ” บุรุษอายุสามสิบกว่าปี คิ้วหนาตาโต หน้าตาถือว่าพอดูได้ ใช้มือชูสิ่งของสีขาวเป็นประกาย วิ่งมาอย่างตื่นเต้นยินดี

จินเฟยเหยายื่นหน้าไปมอง คิดไม่ถึงว่าจะมีหนอนสีขาวอวบอ้วนขนาดตัวเท่าหัวแม่มือกองหนึ่ง จึงอดมีโทสะไม่ได้ “สหายเซียนมู่ เจ้าชักช้าก็เพื่อหาหนอนเหล่านี้ หามาทำไม นำกลับไปกินที่บ้านหรือ”

สหายเซียนมู่เงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างตกตะลึง “คิดไม่ถึงว่าสหายเซียนจินก็รู้จักสิ่งนี้ ท่าทางจะเป็นคนในเส้นทางเดียวกัน ของสิ่งนี้หลังจากนำไปทอดกรอบรสชาติยอดเยี่ยมยิ่ง ทุกครั้งที่ข้าออกมาล้วนนำกลับไป หลังจากทอดแล้วสามารถใช้เป็นเสบียงแห้งได้”

“ผู้ใดเป็นคนในเส้นทางเดียวกันกับเจ้า ข้าไม่กินของสิ่งนี้หรอก” จินเฟยเหยากำหมัดแน่น คำรามอย่างอดทนไม่ไหวอีกต่อไป

คนผู้นี้ชื่อมู่เสี่ยวสือ เป็นคนในเรือนสี่สิบสี่ นิสัยไม่เลวร้าย ทว่ากลับ ตระหนี่เป็นที่สุด ทุกคนออกมาทำภารกิจด้วยกัน แม้แต่กิ่งไม้เขาก็ต้องเก็บกลับมาเผาเป็นฟืน ตลอดทางมีห่านป่าบินผ่านก็ถอนขน เห็นสิ่งใดก็หยิบสิ่งนั้น

สิ่งที่บินอยู่บนฟ้า ผลที่ออกบนต้นไม้ แม้แต่สิ่งที่ชอนไชอยู่ในดิน เขาก็หยิบกลับไป แม้แต่พบซากศพของผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกฆ่า ชุดบนร่างที่เก่าขาดจนกลายเป็นผ้าขี้ริ้วเหล่านั้น เขาก็ถอดลงมาใส่ไว้ในกระเป๋าเก็บของเหมือนของล้ำค่า มีหลายครั้ง ขนาดเห็นเขานั่งยองๆ อยู่ข้างศพคิดจะเอากระดูกของผู้อื่นกลับไปขายให้กับผู้บำเพ็ญเซียนที่ฝึกวิชามารไปทำอาวุธเวท

หากมิใช่จินเฟยเหยาสุดจะทน เห็นศพก็จุดไฟเผาทิ้ง เกรงว่าเขาคงจะเก็บเข้ากระเป๋าจริงๆ เห็นทั่วร่างทั้งด้านบนและด้านล่างแขวนกระเป๋าเก็บของสิบกว่าใบราวกับผู้ประสบภัยหนีภัยพิบัติ และสิ่งที่บรรจุในกระเป๋าทั้งหมดล้วนเป็นขยะที่ไม่มีราคาเลยสักนิด จินเฟยเหยาก็อดคิดจะอัดเขาไม่ได้

นางสำนึกเสียใจก็สายเกินไป หากรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นน่าจะร่วมมือกับเจ้าบ้ากามติงจี้ ถูกเจ้าบ้ากามเอาเปรียบ ก็ดีกว่าเดินกับเขา มิน่าเล่าตอนแรก ทุกคนเห็นนางตัดสินใจเลือกระหว่างติงจี้และมู่เสี่ยวสือ ตอนเห็นนางเลือกมู่เสี่ยวสือก็เผยให้เห็นสีหน้าทั้งอยากจะหัวเราะและเสียใจ

“โฮก…”

บนภูเขามีเสียงคำรามของสัตว์ดังมา ท่าทางคนอื่นๆ จะค้นหาเป้าหมายพบแล้ว  จินเฟยเหยาอดเอ่ยเตือนไม่ได้ “เร็วหน่อย พวกหัวหน้าเริ่มล่าสังหารแล้ว รอพวกเราไปถึงหากการล่าเสร็จสิ้นแล้วจะไม่ได้ส่วนแบ่งแม้แต่ศิลาวิญญาณสักก้อนนะ ถึงตอนนั้นเจ้าก็อาศัยหนอนสีขาวตัวใหญ่ในมือไปแลกศิลาวิญญาณเถอะ” เอ่ยจบนางก็หันกายวิ่งไปทางเสียงคำราม ทิ้งให้มู่เสี่ยวสือยัดหนอนใส่กระเป๋าเก็บของอย่างลนลาน ปากร้องตะโกนอย่างร้อนใจ “รอข้าด้วย ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

ทั้งสองคนมาถึงสถานที่ที่กำหนดไว้แบบหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ก็เห็นเต่าเกราะเหล็กสูงสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งกำลังถูกพวกหัวหน้าควบคุม รูปร่างเต่าบกขั้นสามชนิดนี้มีขนาดใหญ่ยักษ์ กินพืชเป็นอาหาร กระดองเต่าสีเขียวเข้ม แข็งแกร่งประดุจเหล็ก ถึงแม้จะเป็นสัตว์ปิศาจขั้นสาม แต่เพราะตามธรรมชาติมีนิสัยเชื่อง เคลื่อนไหวช้า ดังนั้นแม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ขอเพียงมีจำนวนมาก ขนาดมดยังสามารถกัดโคตายได้

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองเต่าเกราะเหล็กที่มีขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ แล้วจุปาก ลำบากเต่าเกราะเหล็กแล้วจริงๆ รูปร่างแบบนี้ต้องกินพืชมากมายเพียงใด

ไม่รอให้นางทอดถอนใจจนเพียงพอ ลำต้นไม้หยาบหนาเท่าชามอ่างก็ร่วงตูมลงมาจากฟ้า นางตกใจจนต้องกลิ้งหลบบนพื้น มู่เสี่ยวสือที่ตามมาติดๆ ไม่โชคดีขนาดนั้น ลำต้นต้นไม้กระแทกพื้นแล้วกระเด้งขึ้นมา กระแทกโดนใบหน้าของเขาดังป้าบ ทำเอาเขาร้องอย่างน่าอนาถ

“พวกเจ้าสองคนมันเรื่องอะไรกัน เพิ่งมาเอาตอนนี้  รีบมากางวงเวทเร็ว” อู๋เฮ่าคงใช้เวทเหยียบอากาศอยู่กลางนภา หลบ ลำต้นต้นไม้ที่พ่นจากปากของเต่าเกราะเหล็ก เห็นคนทั้งสองเอ้อระเหยลอยชายจึงตำหนิไปประโยคหนึ่ง แล้วโยนแสงสดใสสองสายในมือไปทางคนทั้งสอง

จินเฟยเหยารับแสงสดใสมา เป็นธงอาคมที่มีสีสันไม่เหมือนกันสองธง นางโยนธงอาคมให้มู่เสี่ยวสือ แล้วถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย มู่เสี่ยวสือกลับเช็ดเลือดกำเดา ดูเหมือนจะเคยชินกับคำตำหนิเช่นนี้นานแล้วจึงไม่เอ่ยอะไร นำธงอาคมออกไถลตัววิ่งไป

เจ้าหมอนี่ตอนนี้วิ่งเร็วกว่าจินเฟยเหยาเสียอีก กระตือรือร้นสุดๆ จินเฟยเหยาไม่อยากออกทำภารกิจครั้งแรกก็ให้เจ้าปรสิตกินดะไร้ความสามารถได้แสดงออก จึงรีบตามไปอย่างรวดเร็ว

เดิมทีจินเฟยเหยานึกว่าเต่าเกราะเหล็กจะไม่มีเวทมนตร์อะไร เพียงแค่ทุบตีอย่างเดียว ก็น่าจะล่าสังหารได้ พอลงมือจึงพบว่า พลังการบำเพ็ญเพียรต่างกันขั้นเดียวก็เป็นคนละเรื่องเลย ไม่ต้องเอ่ยถึงกระดองที่แข็งแกร่ง แม้แต่หัว คอ และขาทั้งสี่ที่โผล่ออกมาภายนอกของมัน ภายใต้การโจมตีด้วยเวทมนตร์ของพวกเขากลับไม่เสียหายเลยสักนิดขนาดบาดแผลก็ยังไม่มี

อีกทั้งพอมันสะบัดคอยาวๆ ทีหนึ่งก็มีลำต้นต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนเหวี่ยงออกมาจากในปากของมัน ทำให้คนระวังป้องกันไม่ได้ อีกทั้งมันยังเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง ในลำต้นไม้ผสมน้ำย่อยที่มีคุณสมบัติกัดกร่อนอย่างมาก ถ้าโดนเข้าก็ย่ำแย่

“รีบกางวงเวท โจมตีอย่างดุเดือดเช่นนี้ไม่มีประโยชน์” อู๋เฮ่าคงเอ่ยอย่างมีประสบการณ์ เห็นการโจมตีเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ก็ให้ทุกคนแยกกันไปกางวงเวทสังหาร

ยามปกตินอกจากฝึกบำเพ็ญแล้วอู๋เฮ่าคงยังศึกษาวงเวท ระดับการกางวงเวทมีชื่อเสียงอยู่บ้างในสำนักเฉวียนเซียน คนจำนวนมากมายล้วนมาหาเขาให้จัดทำวงเวทป้องกันที่เหมาะสม ราคาสูงกว่าข้างนอกมากนัก และวงเวทที่เขาให้สหายร่วมกลุ่มกางในวันนี้ก็คือวงเวทสังหารที่ใช้บ่อยที่สุด

วงเวทนี้ยังสามารถกระตุ้นการโจมตีอันแข็งแกร่งให้ออกมาในขณะเดียวกันกับที่ขังเหยื่อไว้ เหมาะสมจะใช้ล่าสังหารสัตว์ปิศาจที่มีการป้องกันแข็งแกร่งที่สุด ปกติมีเพียงสิบสองคน อู๋เฮ่าคงนอกจากสั่งการแล้วยังต้องรักษาวงเวทด้วยตนเอง รู้สึกใจสู้แต่เรี่ยวแรงไม่ยอมเป็นใจอยู่บ้าง

ตอนนี้มีจินเฟยเหยาเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เขาก็สามารถสั่งการให้ทุกคนกางวงเวทอยู่กลางอากาศได้ ประสิทธิผลของวงเวทสังหารแสดงออกมาทันที

ทุกคนยืนอยู่ในสิบสองตำแหน่งเรียบร้อยตามที่อู๋เฮ่าคงสั่งการ แต่ละคนถือธงอาคมหนึ่งสี ธงที่จินเฟยเหยาถือเป็นธงอาคมสีแดง ธงอาคมขนาดเท่าฝ่ามือพอถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปก็ขยายใหญ่สูงกว่าคน นางปักธงไว้ในดินแล้วร่ายเวทที่อู๋เฮ่าคงสอนไว้ก่อนหน้านี้

เพิ่งร่ายเวทมนตร์เสร็จ พลังวิญญาณในร่างก็พุ่งออกมาทันที ทั้งหมดถูกดูดซับเข้าไปในธงอาคม เสาแสงแต่ละสีจำนวนสิบสองสายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า หลังจากแสงรวมตัวกันแล้วก็เปลี่ยนรูปเป็นม่านแสงปกคลุมเต่าเกราะเหล็กไว้ภายใน

ลำต้นไม้และน้ำย่อยที่สาดกระจายไปทั่วท้องนภา ก็ถูกวงเวทสังหารสกัดไว้ภายใน เช่นนี้ก็สามารถทำให้ทุกคนตั้งใจกางวงเวทได้ ไม่ต้องแบ่งจิตใจไประวังลำต้นไม้และน้ำย่อยอีก

เพราะว่าถูกขังจึงเห็นได้ชัดว่าเต่าเกราะเหล็กมีโทสะยิ่ง เริ่มโจมตีม่านแสงของวงเวทสังหาร อู๋เฮ่าคงลอยอยู่เหนือวงเวท พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ร่ายคาถาอย่างเงียบๆ และดีดแสงสายหนึ่งไปทางธงอาคมสีขาวที่เวิงเหล่าถืออยู่ ลำแสงไม่ได้เข้าสู่ธงอาคม ธงอาคมมีเสียงดัง สาดแสงรัศมีเจิดจ้าออกมา

ในวงเวทสังหารอันโปร่งใสพลันมีหมอกสีขาวออกมา ไม่นานก็กรอกใส่วงเวทสังหารจนเต็ม ยืนอยู่นอกวงเวท เห็นเพียงหมอกหนาสีขาวผืนหนึ่ง ยามนี้เต่าเกราะเหล็กเข้าสู่ภาพมายาและหยุดโจมตีวงเวท

จากนั้นเห็นสองมือของอู๋เฮ่าคงทำมุทราร่ายเวทอย่างรวดเร็ว โจมตีด้านบนธงอาคมไม่หยุด จนกระทั่งธงอาคมทั้งสิบสองด้านปลดปล่อยแสงประหลาดออกมาจำนวนมาก หลังจากร่ายเวททั้งหมดแล้ว จึงได้ลงจากกลางอากาศกลับมาพักผ่อนบนพื้น

ภายใต้การเปิดธงอาคมทั้งหมดวงเวทสังหารเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มมีเสียงเอะอะนานาชนิดออกมา มีแสงสายฟ้าแลบแปลบปลาบภายในหมอกสีขาว เสียงตูมดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนัก จินเฟยเหยาที่เฝ้าอยู่ข้างธงอาคมก็รู้สึกได้ว่าเต่าเกราะเหล็กพยายามโจมตีวงเวทอย่างรุนแรง ม่านแสงถูกโจมตีจนสั่นสะเทือนไม่หยุด

สภาพเช่นนี้ดำเนินต่อไปถึงครึ่งชั่วยามกว่าเต็มๆ นอกจากหัวหน้าอู๋เฮ่าคงที่อยู่ว่าง คนอื่นๆ อีกสิบสองคนล้วนพยายามใช้พลังวิญญาณรักษาวงเวทไว้อย่างสุดกำลัง พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงปลายนั้นดีหน่อย สภาพและสีหน้าไม่แย่มากนัก ส่วนพวกจินเฟยเหยาที่เป็นขั้นฝึกปราณช่วงกลางสีหน้าซีดขาว มือและเท้าสั่นสะท้านไปนานแล้ว

สุดท้าย ในขณะที่คนส่วนมากใกล้จะยันไม่ไหวอีกต่อไป ในวงเวทก็ค่อยๆ เงียบสงบลง อู๋เฮ่าคงเห็นว่าเกือบจะได้เวลาแล้ว จึงเหินขึ้นกลางนภาอีกครั้งเริ่มถอนเวทมนตร์ของธงอาคม

ถึงรอบธงอาคมของผู้ใดโดนถอน คนผู้นั้นก็จะรู้สึกผ่อนคลาย หลังจากถอนเวทมนตร์บนธงสีขาวของเวิงเหล่า หมอกสีขาวก็ค่อยๆ หายไป เผยให้เห็นเต่าเกราะเหล็กด้านใน

หัวของเต่าเกราะเหล็กวางอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง บนกระดองเต่าเต็มไปด้วยหลุมใหญ่น้อย ท่าทางจะเจอเข้ากับการโจมตีอันรุนแรง กระดองเต่าเดิมทีสีเขียวเข้มคิดไม่ถึงว่าหลังจากมันตายแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเทา ในมืออู๋เฮ่าคงถือธงอาคมสีสันฉูดฉาด เข้าไปในวงเวทได้อย่างง่ายดาย มือกุมดาบกว้าง ตัดส่วนหัวของเต่าเกราะเหล็ก แสงสีขาวสายหนึ่งวาบผ่าน หนังเต่าที่ยามมีชีวิตแข็งแกร่งสุดเปรียบปานยามนี้ไม่มีพลังวิญญาณคอยค้ำจุนจึงไม่แข็งแกร่งอีกต่อไป ถูกเขาฟันเป็นแผลลึกได้อย่างง่ายดาย เขาใช้มือเดียวดูด ตานสัตว์ปิศาจ[1]ขนาดเท่าผลหลี่[2] ลอยออกมาจากในหัวร่วงลงในมือของเขา

“เต่าเกราะเหล็กตัวใหญ่ขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าตานสัตว์ปิศาจจะเล็กเช่นนี้ ข้ายังนึกว่าอย่างน้อยต้องมีขนาดเท่าชามอ่างเสียอีก” จินเฟยเหยายู่ปาก เพราะว่ายืนอยู่ไกล เห็นตานสัตว์ปิศาจขนาดเท่าเม็ดถั่ว จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ

“สหายเซียนจิน ตานสัตว์ปิศาจขนาดเท่าชามอ่างนั้นมีอยู่ ก็คืออยู่ในร่างของเต่า เจ้าอยากไปล่าอีกตัวหรือไม่” คนอ้วนท่าทางซื่อๆ ที่ยืนอยู่ข้างจินเฟยเหยายิ้มและเอ่ยอย่างโง่งม

“เต่าชนิดใด?” จินเฟยเหยามองคนข้างกายอย่างสงสัย นี่ก็คือคนในเรือนสี่สิบสี่ ชื่อหลี่เอ้อร์เกิน มีกลิ่นอายชนบทอย่างเต็มเปี่ยมที่สามารถสุ่มหาได้ตามท้องนา ก็คือชาวนาอัธยาศัยดีตัวเป็นๆ นี่เอง ก่อนเขาอายุสิบแปดปีทำนาอยู่ในหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ อันห่างไกล ไม่เคยได้ยินเรื่องเคล็ดวิชาบำเพ็ญเซียนมาก่อน

หากไม่ใช่เพราะทางบ้านยากจนอย่างยิ่ง เขาก็น่าจะแต่งงาน มีภรรยาคลอดบุตร ด้านหลังมีเด็กน้ำมูกไหลย้อยหลายคนตามเป็นพรวนไปนานแล้ว และใช้ชีวิตทำนาเหมือนเดิม ผู้ใดให้เขาโชคดีอย่างยิ่งได้พบกับผู้บำเพ็ญเซียนอิสระชราขั้นฝึกปราณช่วงปลายที่ถึงขีดจำกัดสูงสุดมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปี ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระชราค้นพบว่าในร่างเขามีพลังวิญญาณก็บังคับพาตัวเขาไป

บัดนี้ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระชราคนนั้นกลายเป็นดินเหลือง หลี่เอ้อร์เกินหอบสมบัติของผู้บำเพ็ญเซียนอิสระชรามาถึงเมืองลั่วเซียน ถูกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมีลักษณะดุจเทพธิดาคนหนึ่งล่อลวงให้เข้าสำนักเฉวียนเซียน

หลายปีที่เขาติดตามผู้บำเพ็ญเซียนอิสระชราล้วนอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่อาศัย นอกจากฝึกบำเพ็ญแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย สามารถมาถึงเมืองลั่วเซียนได้นับว่าโชคดีแล้ว เขาไม่รู้จักเส้นทาง กลับเดินมาถึงที่นี่ได้อย่างน่าประหลาด ดังนั้นจึงต่อยตีกับบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่ชอบเอาเปรียบเหล่านั้นดังโครมครามทั้งวัน เขาใสซื่ออย่างที่สุด