เคล็ดวิชาบุปผาแปลงไม้
“ต้าฮวา พาชิงเฉินไปน้ำตกหลังเขา” กู้หลีเมินเฉยต่อหน้าตาโอดครวญของศิษย์ตัวน้อย หันหน้าสั่งอสูรเสือพายุทะลุฟ้าว่า มุมปากกลับกระดกขึ้นแผ่วเบา
“ไปเถอะ” เสือตัวใหญ่ใบหน้าสนุกที่ได้เห็นความทุกข์ของคนอื่น สะบัดหางใหญ่ของมัน
มั่วชิงเฉินอยากหยิกหน้าเสือของมันจริงๆ ตกลงทำเช่นไรถึงทำสีหน้าเหมือนคนเช่นนี้ออกมาได้ กลับกล้าคิดไม่กล้าทำ ตามไปอย่างว่าง่าย
ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ก็คือหลังเขา เลี้ยวไปถึงข้างหนึ่ง มีน้ำตกตกลงมาไม่ขาดสาย น้ำกระจายสาดขึ้นมาเหมือนเศษหยก
มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองเสือใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ กรงเล็บหน้าสองข้างยันตัวไว้ เห็นชัดๆ ว่ามาคุมงาน จึงแอบกัดฟัน ก้มหน้ากวาดคัมภีร์เล่มเล็กปราดหนึ่ง
คัมภีร์เล็กง่ายยิ่งนัก ก็คือวาดท่วงท่าของเคล็ดวิชากระบี่พื้นฐานสิบแปดชนิด แล้วทำเครื่องหมายจุดสำคัญไว้ ไม่ว่าดูอย่างไร นางก็รู้สึกว่าเป็นเคล็ดวิชาวรยุทธ์ลับที่กู้หลีซื้อมาจากแผงแบกับดินของโลกฆราวาสสักที่หนึ่ง
ความจำของผู้บำเพ็ญเพียรดีมาก มั่วชิงเฉินดูรอบหนึ่งก็จำข้อมูลทั้งหมดได้แล้ว กลับเก็บคัมภีร์เล็กเข้าถุงเก็บวัตถุที่เก็บติดตัวที่สุดของตน
จากนั้นมองน้ำตกที่สาดลงมาคิดๆ ดูแล้ว ถอดชุดคลุมเขียวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ใส่อยู่ออกแล้วเปลี่ยนเสื้อเขียวที่ใส่ยามอยู่ระดับหลอมลมปราณ
เดิมทีมั่วชิงเฉินคิดว่าเครื่องแต่งกายของสำนักล้วนเหมือนกัน ทว่าจนถึงรับเครื่องแต่งกายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไปถึงพบว่า แม้แบบและสีไม่ต่างกับของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณ เนื้อผ้ากลับต่างกันโดยสิ้นเชิง
ไม่พูดถึงชุดคลุมเขียวนี้ใส่อยู่บนตัวแล้วสบายตัวยิ่งนัก ยังมีพลังป้องกันประมาณหนึ่ง นับได้ว่าเป็นอาวุธเวทป้องกันระดับต่ำชิ้นหนึ่งแล้ว
ในเมื่ออาจารย์เรียกร้องให้ตนห้ามใช้พลังวิญญาณคุ้มกาย เช่นนั้นชุดเขียวนี้ถอดออกมาดีกว่า
ถอดรองเท้าออก มั่วชิงเฉินเหยียบไปบนหินที่ปูอยู่ที่ถูกน้ำตกซัดจนกลมกลึงเป็นเงา หายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ถึงกัดฟันมุดเข้าในน้ำตก
“ว้าย” มั่วชิงเฉินร้องต่ำๆ เสียงหนึ่ง เคลื่อนพลังวิญญาณโดยไม่รู้ตัวถึงรู้สึกสบายหน่อย
ที่แท้น้ำตกนี่ไม่ใช่น้ำตกธรรมดา หากแต่หนาวเย็นถึงกระดูก ต่อให้นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ร่างกายแข็งแกร่งกว่านักบำเพ็ญระดับหลอมลมปราณมาก แต่ไม่เคลื่อนพลังวิญญาณต้านไว้ยังคงทนได้ยากนัก
อาจาร์ นับว่าท่านโหด! มั่วชิงเฉินบ่นในใจ
กู้หลีที่ใช้จิตตระหนักสังเกตด้านนี้ตลอดแรกสุดเห็นมั่วชิงเฉินเปลี่ยนเสื้อ จึงปิดจิตตระหนักโดยไม่รู้ตัว ยามกวาดมาอีกทีเห็นท่าทางนางย่นหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว อดยิ้มแผ่วเบาไม่ได้
ใต้น้ำตกนั้นมีตาน้ำพุน้ำแข็งอันหนึ่ง ดังนั้นกระแสน้ำหนาวเย็นเข้ากระดูก ทว่าหากใช้ในการฝึกฝนร่างกายเป็นระยะเวลานาน ประโยชน์กลับไม่ต้องพูดถึง
เดิมทีคิดว่านางหนูนั่นในร่างมีไม้ไฟสองรากวิญญาณเป็นหลัก อีกทั้งยังมีเครื่องแต่งกายสำนักที่มีพลังคุ้มกันพอประมาณคอยต้าน ต่อให้ไม่เคลื่อนพลังวิญญาณก็ไม่ทรมานขนาดนั้น ทว่าใครจะรู้ว่านางหนูนั่นกลับดื้อรั้น ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนเสื้อทั้งเช่นนี้แล้ว
ยังดี ในร่างนางไฟโหมแรง ไม่ถึงกับทำร้ายร่างกาย แม้กู้หลีคิดเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางมั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากพยายามอดทน สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อยแล้ว ในใจยังคงบีบรัดคราหนึ่ง
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าจิตตระหนักของกู้หลีคอยตามติดนางตลอด รอร่างกายปรับตัวได้สักหน่อยแล้ว จึงกระจายพลังวิญญาณที่คุ้มกายไป
นางเข้าใจ ในเมื่ออาจารย์เรียกร้องให้ตนไม่ใช้พลังวิญญาณคุ้มกาย เช่นนั้นต้องทำเพื่อประโยชน์นางแน่นอน รู้ว่าต้องไม่ทำร้ายร่างกายของนาง
เพียงแต่…นี่ย่าเจ้าก็หนาวไปหน่อยนะ!
มั่วชิงเฉินกัดฟันแอบด่าพลาง ยกกระบี่ไม้ขึ้นด้วยมือที่หนาวจนสั่น เริ่มฝึกฝนพื้นฐานกระบี่กระบวนท่าแรกฟันกระบี่ ตามที่แสดงบนคัมภีร์เล่มเล็ก
กระแสน้ำที่ตกลงมาถาโถมลงบนกระบี่ไม้ ตัวกระบี่อดเอียงไม่ได้ เกือบจะหลุดมือ
มั่วชิงเฉินพยายามจับกระบี่ไม้ให้นิ่ง ยามที่ฟันออกกลับรู้สึกว่าถูกน้ำขวางไว้ จะก้าวออกข้างหน้าสักก้าวก็ยากลำบากยิ่งนัก
ที่แท้ ตนที่สูญเสียพลังวิญญาณแล้ว จะอ่อนแอเช่นนี้! ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็ตระหนักถึง
ตระหนักถึงจุดนี้ กลับกระตุ้นนิสัยดื้อรั้นของนางออกมา อาจารย์บอกว่าข้าต้องฟันกระบี่ทั้งสิบแปดชนิดให้ได้ท่าละหนึ่งพันครั้งติดต่อกันถึงไปพบท่านได้ ข้าไม่เชื่อว่าตนเองแม้แต่ท่าเดียวก็ฟันไม่ออก
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…
ถึงยามอาทิตย์อัสดง ร่างกายของมั่วชิงเฉินก็โอนเอนจะล้มมิล้มแหล่แล้ว กลับฟันได้เพียงไม่ถึงร้อยครั้ง
ไม่ได้ อย่างน้อย อย่างน้อยก็ต้องฟันถึงหนึ่งร้อยครั้งถึงได้
มั่วชิงเฉินที่ถึงขีดจำกัดแล้วคิดอย่างไม่เต็มใจ กลับรู้สึกหน้ามืดทันทียามที่กระแสน้ำรุนแรงโถมเข้ามา แล้วหมดสติไป
เงาสีเทาสายหนึ่งโฉบมา อุ้มมั่วชิงเฉินขึ้นจากสายน้ำใสมาถึงบนพื้นหญ้า
คนในอ้อมกอดเปียกโชกไปทั้งตัว เส้นผมยาวเหมือนสาหร่ายสยายออกปกคลุมร่างกายไว้ เผยให้เห็นหน้าผากที่อิ่มเอิบ คิ้วดำเรียวยาวหลับตาแน่น ขนตาเหมือนพัดอันเล็กๆ โค้งกำลังดี ด้านบนยังมีหยดน้ำแขวนอยู่เป็นประกายจะตกแหล่มิตกแหล่
ริมฝีปากของนางหนาวจนซีดขาว สีหน้ายิ่งขาวจนโปร่งใสเล็กน้อย ดูแล้วอ่อนแอมาก ทว่าสีหน้าที่ซีดเซียวเพียงใดก็ปิดบังความงดงามที่น่าตกใจนั้นไม่มิด
ทันใดนั้นกู้หลีรู้สึกตกใจว่า ที่แท้เด็กผู้หญิงที่อยู่ในใจเขามาตลอด ได้เติบใหญ่เป็นหญิงสาวคนหนึ่งนานแล้ว
เขากดข้อมือนางไว้ ค่อยๆ ส่งพลังวิญญาณเข้าไป อีกทั้งอบเสื้อผ้าและเส้นผมของนางแห้งในพริบตา นี่ถึงค้อนอสูรเสือพายุทะลุฟ้าควักหนึ่ง “ต้าฮวา เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้นางหมดสติในน้ำ?”
อสูรเสือพายุทะลุฟ้าฟังแล้ว เผยสีหน้าน้อยใจยิ่งออกมา “เจ้านาย ท่าน ท่านลำเอียง ท่านให้นางมาขัดเกลาร่างกายชัดๆ แค่หมดสติไปเท่านั้น จะเป็นอะไร!”
กู้หลีถูกเถียงจนสะอึก บังเอิญยามนี้มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นพอดี
“อาจารย์?” รู้สึกมีพลังวิญญาณอันอ่อนโยนไหลเข้าร่างตนไม่ขาดสาย ร่างกายที่แต่เดิมหนาวเย็นค่อยๆ อุ่นขึ้นมา มั่วชิงเฉินเรียกเสียงหนึ่ง
ถึงพบว่าตนถูกเขาโอบไว้ในอ้อมกอด ข้อมือยังถูกเขากุมไว้ในมือ จนอดหน้าแดงไม่ได้ ทันใดนั้นรู้สึกว่าน้ำของน้ำตกนั่น ไม่หนาวแล้ว
เห็นมั่วชิงเฉินฟื้นมา กู้หลีรีบปล่อยออก แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ชิงเฉิน เจ้าต้องเข้าใจเหตุผลค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่เรื่องทุกเรื่องต้องเหมือนเช่นเจ้าสร้างรากฐาน จำเป็นต้องทุบหม้อข้าวจมเรือ การบำเพ็ญเพียรต้องยืดได้หดได้ หากตึงเครียดตลอดเวลา เช่นนั้นผลสุดท้าย ก็คือขาด”
เห็นมั่วชิงเฉินเบิกตาโต มองเขาตรงๆ กู้หลีชะงัก “เป็นอะไร รู้สึกว่าอาจารย์พูดผิดเช่นนั้นหรือ?”
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ ยิ้มนิ่งเรียบว่า “ไม่เจ้าค่ะ อาจารย์สั่งสอนได้ถูกต้อง”
ในใจถอนหายใจลึก อยู่ด้วยกันเช้าเย็นเช่นนี้ ฟังคำสอนด้วยใจของเขา ตนควรจะทำเช่นไร?
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ไม่อาจบอกใครได้ในใจโตอย่างบ้าคลั่ง หรือว่า…หรือว่าใช้กำลังฆ่ามันให้ตายตั้งแต่อยู่ในเปล?”
เป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉิน ไม่มีความมั่นใจในการควบคุมตนเอง
ในชาติที่แล้ว นางก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่ชอบยิ้ม ชาตินี้แม้ผ่านอุปสรรคมามาก แต่อย่างไรเสียก็มีจิตใจของผู้ใหญ่ จึงไม่ได้ทำให้นางมีนิสัยมองโลกในแง่ร้ายเย็นชา
นางไม่เคยรู้สึกว่า การบำเพ็ญเพียรจำเป็นต้องหาผู้ชายที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นที่พึ่ง เช่นเดียวกัน นางก็ไม่รู้สึกว่าการบำเพ็ญเพียรจำเป็นต้องละทิ้งความรัก กระหยิ่มยิ้มย่องในตัวเองเพียงคนเดียว
หนทางแห่งอายุยืนยาว นางต้องเดินแน่ ส่วนความรัก เดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับการนี้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร ไม่เกี่ยวกับอายุยืนยาว ไม่ว่าเป็นนางหนูที่อาศัยใต้ชายคาคนอื่นก็ดี มั่วชิงเฉินที่เพิ่งเผยพรสวรรค์ออกมาก็ช่าง ล้วนมีสิทธิ์ไปลิ้มลอง
เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่า คนที่ทำให้นางใจหวั่นไหวเป็นครั้งแรก ดันกลายมาเป็นอาจารย์ของนางแล้ว!
“ชิงเฉิน วันนี้เจ้ามาลองชิมฝีมือข้าเถอะ” กู้หลีเห็นมั่วชิงเฉินเหม่อลอย นึกว่าใช้พลังกายเกินไป จึงอมยิ้มเอ่ยว่า
มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงว่า อาจารย์นางที่ดูแล้วสง่าดุจเซียนผู้นี้ ฝีมือการทำอาหารจะดีเช่นนี้ ดีจนแม้แต่อีกาของนางตัวนั้นยังดูถูกนางแล้ว
ฟังอสูรวิญญาณสามตัวนั้นค่อนขอดไปพลาง มองท่าทางดื่มสุราอมยิ้มของกู้หลีไปพลาง มั่วชิงเฉินเกิดความคิด ใยตนต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องที่ไร้สาระ พวกเขาเป็นศิษย์อาจารย์กัน อนาคตยังต้องอยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ เวลาที่อยู่ด้วยกันกระทั่งจะมากว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่บำเพ็ญเพียรคู่พวกนั้นมาก
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมีชีวิตได้แปดร้อยปีล่ะก็ หากก่อกำเนิดแล้ว ยิ่งสามารถอยู่ได้หลายพันปี ตนชินกับการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยกุมไว้ในกำมือเกินไปจริงๆ กลับลืมไปว่าเฉพาะเจาะจงมีเพียงความรักที่ไม่อาจจัดการได้
เรื่องในอนาคต อนาคตค่อยว่าเถอะ
เป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉิน เลือกใช้ท่าทีในด้านลบต่อเรื่องบางเรื่อง
ก็เป็นเช่นนี้ กลางวันมั่วชิงเฉินไปฝึกวิชากระบี่ในน้ำตก กลางคืนบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ทั้งคืน
เริ่มบำเพ็ญเพียรถึงพบว่า หลังจากระดับสร้างรากฐานแล้วความเร็วในการบำเพ็ญเพียรช่างช้าอย่างน่าสงสารจริงๆ ดีที่ที่นี่มีสวนสมุนไพรผืนใหญ่ โอสถรวมวิญญาณที่ธรรมดาที่สุดในระดับสร้างรากฐาน กู้หลีให้นางมากมายอย่างไม่ตระหนี่ เพียงพอให้ใช้นานมากแล้ว
ต่อให้เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็เข้าใจ ตนต้องบำเพ็ญเพียรช้ากว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณดีพวกนั้นแน่นอน ไม่เพราะอะไร นางมีอาจารย์ให้โอสถรวมวิญญาณ คนอื่นย่อมต้องมีเหมือนกัน
ทว่าหลังจากยุทธวิธีเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่แล้ว มั่วชิงเฉินพบว่าความเร็วในการบำเพ็ญเพียรเร็วกว่าใช้เคล็ดวิชาชิงมู่มาก คิดว่าสาเหตุคงมาจากยุทธวิธี
เพียงเป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินยังไม่พอใจ ตามความเร็วเช่นนี้นางไม่รู้ว่าต้องเดือนใดปีใดถึงบำเพ็ญเพียรไปถึงระดับก่อแก่นปราณได้ ต้องรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรเลื่อนชั้นขณะยิ่งมีอายุน้อย ศักยภาพในวันหน้าก็ยิ่งมาก
วันเวลานานแล้วมั่วชิงเฉินพบว่ากู้หลีเชี่ยวชาญการหลอมโอสถยิ่ง… ในห้องไม้ไผ่ห้องหนึ่งยังเก็บม้วนคัมภีร์หยกตำราเกี่ยวกับการหลอมโอสถไว้ไม่น้อย
ใช้ประโยชน์จากเวลาว่างนานๆ ทีมั่วชิงเฉินจะไปพลิกอ่าน พบว่ามีโอสถชนิดหนึ่งเรียกว่าโอสถรวมจิต สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายหรือกระทั่งระยะสมบูรณ์ กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งก่อกำเนิดบางคนเพราะหาโอสถที่เหมาะสมไม่ได้ ก็กินโอสถนี้ ถือว่าดีกว่าไม่มี
ก็ด้วยเหตุนี้ โอสถชนิดนี้หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้น กลางกินเข้าไป ก็จะมีอันตรายถึงตายเพราะร่างระเบิด
มั่วชิงเฉินจึงสนใจโอสถรวมจิตนี้ขึ้นมา เพราะว่าประสบการณ์การสร้างรากฐานของนางทำให้นางคาดเดารางๆว่า ชีพจรและตันเถียนของตน น่าจะสามารถรับการทะลวงของพลังวิญญาณได้มากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นเดียวกัน
ทว่าความคิดนี้ถูกนางกดไว้เสมอมา รอวันหน้าค่อยลอง อย่างไรเสียนางตระหนักได้ว่า ในไม่กี่ปีนี้ อาจารย์ไม่ยอมให้นางบำเพ็ญเพียรเร็วเกินไป เกรงว่ายังคงเกี่ยวข้องกับการที่ปีนั้นนางสร้างรากฐานเร่งรีบเกินไป
พริบตาเดียวสองปีผ่านไป ยามที่ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่กู้หลีตั้งไว้นั้น รับคัมภีร์ประณีตมากมาเล่มหนึ่ง ด้านบนสลักตัวอักษรใหญ่ไว้หลายตัวว่าเคล็ดวิชากระบี่บุปผาแปลงไม้
“อาจารย์?” มั่วชิงเฉินลูบคัมภีร์ในมือ ถามเสียงใสว่า
กู้หลียกมุมปากขึ้น “วิชาจู่โจมที่ข้าถนัดที่สุดก็คือเคล็ดวิชากระบี่ หลายปีก่อนได้เคล็ดวิชากระบี่สองชุดโดยบังเอิญในแดนลี้ลับหนึ่ง เคล็ดวิชากระบี่บุปผาแปลงไม้นี้เหมาะจะให้สตรีฝึกมากกว่า”
“อีกชุดหนึ่งอาจารย์ฝึกหรือเจ้าคะ?” ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจมั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจเล็กน้อย
กู้หลีชะงัก จากนั้นเพียงแต่อืมเบาๆ เสียงหนึ่ง
นับแต่นี้มั่วชิงเฉินเริ่มฝึกเคล็ดวิชากระบี่บุปผาแปลงไม้ ทว่ากลับต้องการฝึกเพียงช่วงเช้าทุกวันเท่านั้น เวลาที่เหลือบ้างก็ฝึกยุทธวิธี บ้างก็ศึกษาคาถาที่ติดมากับยุทธวิธี พริบตาเดียวห้าปีก็ผ่านไปอีกแล้ว
เวลานี้ ห่างจากมั่วชิงเฉินสร้างรากฐานได้ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว
ในวันนี้ มั่วชิงเฉินฝึกฝนเสร็จกำลังเถียงกับพวกเสือใหญ่สามตัว ทันใดนั้นห้องไม้ไผ่ที่กู้หลีกักตนอยู่ปรากฏแสงวิญญาณ ต่อมาประตูไม้ไผ่ที่ปิดผนึกไว้หลายเดือนค่อยๆ เปิดออก กู้หลีที่ใส่ชุดเทาเดินออกมา
“อาจารย์ ขอแสดงความยินดีด้วยเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพูดจากใจจริง
นักพรตเหอกวง ในที่สุดก็เข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางในปีที่เจ็ดหลังจากที่รับศิษย์