ตอนที่ 35 ความจริงที่เก็บมานานหลายปี

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 35 ความจริงที่เก็บมานานหลายปี

ตอนที่กำลังจะส่งเจียงหยุนชานกลับไปที่โรงเรียนในอำเภอ เจียงป่าวชิงก็แก้เสื้อคลุมยาวตัวนั้นเสร็จแล้ว นางนำทั้งเสื้อคลุมและเข็มขัดที่เพิ่งทำใหม่มาห่อ เพื่อจะได้ให้เจียงหยุนชานนำกลับไปด้วย นางใช้เสื้อผ้าที่ชำรุดตั้งแต่สมัยก่อนมาทำเป็นห่อผ้า จากนั้นก็ยัดทองแดงสิบกว่าแผ่นลงไปในห่อผ้านั้น

เจียงหยุนชานมองอยู่ด้านข้าง เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เจียงป่าวชิงกลับเหลือบมองมาที่เขาเสียก่อน “อะไรรึ ? หรือพี่ก็คิดว่าข้าเป็นคนที่ดีแต่พูดว่าเป็นห่วงพี่เหมือนกับท่านอา ?”

ทันใดนั้น ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนวัยของเจียงหยุนชานแดงระเรื่อขึ้นทันที จากนั้นเขาก็รีบอธิบายให้เจียงป่าวชิงฟัง “ป่าวชิง ข้าแค่อยากให้เจ้าเก็บไว้ใช้เอง”

เจียงป่าวชิงตบหน้าอกของตัวเองอย่างใจป้ำ “พี่วางใจเถอะ ตอนนี้น้องสาวของพี่เป็นถึงเศรษฐีนีตัวน้อยเชียวนะ เงินพวกนี้พี่เอาไปใช้เถอะ ที่ข้ายังมีอีกมาก  อีกอย่าง พี่สนใจและตั้งใจกับการสอบของตัวเองให้ดี ๆ  พอพี่สอบเสร็จแล้ว ข้าจะได้พึ่งใบบุญของพี่เพื่อเสวยสุขอย่างไรล่ะ”

เจียงหยุนชานได้รับกำลังใจจากน้องสาว เขาก็เกิดความฮึกเหิมขึ้นมาบ้างแล้ว เด็กผู้ชายตัวเล็กพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง “ป่าวชิง เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะทำให้เจ้าได้เสวยสุขอย่างแน่นอน”

เจียงป่าวชิงยิ้มพลางพยักหน้าแรง ๆ อย่างกระตือรือร้น

เมื่อเจียงป่าวชิงส่งเจียงหยุนชานที่ทางเข้าหมู่บ้านเสร็จแล้ว นางก็กลับไปที่ห้องดินเหนียวของตัวเอง และพบว่าห้องที่เดิมทีก็ไม่เรียบร้อยอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งราวกับถูกพายุพัดผ่านไปอย่างไรอย่างนั้น ของในห้องกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ถ้วยที่วางไว้อยู่ในตู้อย่างดีก็ถูกใครบางคนทำให้ตกลงมาบนพื้นอย่างแรง และแตกเป็นเศษกระเบื้องเน่าอยู่อย่างนั้น เศษผ้าที่นางจงใจวางไว้บนเตียงอิฐก่อนหน้านี้ก็ถูกฉีกขาดจนเกลื่อนไปทั่วพื้นและเตียงอิฐ แต่โชคดีที่เศษผ้าที่ถูกของกระจุกกระจิกบังไว้อยู่ใต้เตียงยังอยู่  ยังไม่มีใครมาพบเข้า

เจียงป่าวชิงรู้ว่าใครเป็นคนทำโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

และเป็นดั่งที่คิดไว้จริง ๆ ตอนที่นางถือไม้กวาดเพื่อกวาดเศษกระเบื้องออกไปด้านนอก นางก็เห็นเจียงเอ้อยายืนอยู่ในลานบ้านด้วยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นนางก็ถ่มน้ำลายมาทางเจียงป่าวชิง

“ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!” เจียงเอ้อยาพูดพึมพำอย่างโหดเหี้ยม

เจียงป่าวชิงใช้มือคลำเอวตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบเข็มปักลายออกมาด้วยใบหน้านิ่ง นางเดินเข้าไปหาเจียงเอ้อยาและพูดขึ้นช้า ๆ “พี่เอ้อยาจะไม่ปล่อยข้าไปด้วยวิธีไหนกันรึ ?”

เจียงป่าวชิงเดินเข้าไปใกล้เจียงเอ้อยาและพูดเสียงเบาว่า “หรือจะเหมือนตอนเด็ก ที่พี่ผลักข้าให้ตกจากบนเวที ทำให้หัวข้ากระแทกพื้นและกลายเป็นคนปัญญาอ่อนในที่สุด แบบนั้นรึ ?”

สีหน้าของเจียงเอ้อยาเต็มไปด้วยความตกตะลึง นางก้าวถอยหลังอย่างไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง ขณะเดียวกันก็มองเจียงป่าวชิงอย่างกระวนกระวายใจ “เจ้า… เจ้าจำได้แล้วหรือ ?”

เจียงป่าวชิงเดินตามไปติด ๆ ก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย “ทั้งหมดนี้ต้องขอบใจพี่ด้วย”

เจียงเอ้อยามองลูกตาดำที่ลุ่มลึกของเจียงป่าวชิง นางอยากกรีดร้องออกมาดัง ๆ แต่ร้องออกมาไม่ได้ นางรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกใครบีบคออยู่ทำนองนั้น  ทำอย่างไรก็ส่งเสียงร้องออกมาไม่ได้  นางกำลังตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ก้าวถอยหลังไม่กี่ก้าวแต่ขาก็พันกันจนล้มลงไปบนพื้นทั้งอย่างนั้น  นางสั่นไปทั้งร่าง และรู้สึกเจ็บบริเวณก้นราวกับมันหักเป็นสองท่อนทำนองนั้น และนี่ทำให้นางละเลยความเจ็บปวดตรงบริเวณแขนไปโดยสิ้นเชิง

เจียงเอ้อยาคิดว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นความลับไปตลอดกาล ตอนเด็ก ๆ นางบอกคนอื่น ๆ ว่าเจียงป่าวชิงไม่ระวังหกล้มไปเอง และกลายเป็นคนปัญญาอ่อน แต่เจียงเอ้อยากับโจซื่อรู้ดีว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง

ความจริงคือตอนเด็กพวกนางเล่นด้วยกัน และเกิดการทะเลาะกันระหว่างทั้งสองคน เจียงเอ้อยาอายุมากกว่าเจียงป่าวชิงหนึ่งปี นางลงมือผลักเจียงป่าวชิงให้ตกจากบนเวทีที่ทำจากดิน แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้น ด้านล่างเวทีมีหินอยู่ก้อนหนึ่ง หัวของเจียงป่าวชิงไปกระแทกลงบนขอบหินก้อนนั้นพอดีทำให้เจียงป่าวชิงหัวแตกและมีเลือดไหลออกมา จากนั้นเจียงป่าวชิงก็หมดสติไปโดยที่ไม่รู้ว่านางจะเป็นหรือตายด้วยซ้ำ

ตอนนั้น เจียงเอ้อยาที่อายุเพียงสี่ขวบตกตะลึงอึ้งยืนแข็งทื่อไปแล้ว เมื่อโจซื่อที่อยู่ด้านข้างได้ยินเสียงบางอย่างกระแทก นางก็เดินมาหาและภาพที่เห็นก็ทำเอานางตกตะลึงไปด้วยเช่นกัน

แต่หลังจากที่รู้ความจริงแล้ว โจซื่อก็ตบเจียงเอ้อยาที่กำลังร้องไห้ไม่หยุดหนึ่งที จากนั้นนางก็พูดอย่างโมโห “เจ้าจำไว้ให้ดีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เป็นเจียงป่าวชิงต่างหากที่หกล้มลงไปเอง  นางหกล้มลงไปเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

ใช่… เจียงป่าวชิงหกล้มลงไปเอง ไม่เกี่ยวกับนางสักหน่อย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจียงเอ้อยาเอาแต่พร่ำบอกกับตัวเองอยู่อย่างนี้  แต่เรื่องนี้กลับถูกเจียงป่าวชิงซึ่งเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเรื่องนี้เป็นคนเปิดเผยเรื่องโกหกนี้เสียเอง

เจียงเอ้อยารู้สึกเพียงว่าฟันของตัวเองกำลังสั่นกระทบกันดังกึก ๆ นางบังคับให้ตัวเองสงบลง “เจ้า… เจ้ามันพูดจาเหลวไหล… คนอื่น ๆ ไม่มีทางเชื่อเจ้าหรอก!”

เจียงป่าวชิงแสยะยิ้มพลางมองเจียงเอ้อยาอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า “ข้าพูดเหลวไหลหรือเปล่า พี่น่าจะรู้ดีกว่าใคร คนอื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันไม่เกี่ยวกับข้า แต่ข้าขอเตือนพี่ไว้เลยว่าอย่ามาหาเรื่องข้าอีก” พูดจบเจียงป่าวชิงก็เดินจากไป เหลือไว้เพียงเจียงเอ้อยาที่กำลังตัวสั่นเทาอยู่ในลานบ้าน

คืนวันนั้น อาจเป็นเพราะถูกทำให้ตกใจ เจียงเอ้อยาถึงได้ตัวร้อนและไม่รู้ว่าแขนข้างหนึ่งของนางเป็นอะไร ถึงได้เมื่อยและไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ ยกอย่างไรก็ยกไม่ขึ้นสักที

เพราะเรื่องเงินสี่สิบสลึงนั้น เดิมทีโจซื่อที่ไม่ค่อยชอบเจียงเอ้อยามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วก็ยิ่งไม่สนใจเจียงเอ้อยามากขึ้นไปอีก ส่วนหลีโผจื่อก็ก่นด่าตามแบบฉบับนาง “เจ้าเท้าเล็กที่เอาแต่ทำลายชื่อเสียงของตระกูลแบบนี้ไม่ต้องไปสนใจหรอก มีเงินกลับเอาเงินตั้งสี่สิบสลึงไปซื้อเครื่องสำอางกล่องเดียว ปีกกล้าขาแข็งนัก!”

เจียงอีหนิวเห็นเมียกับแม่ของตนเองพูดออกมาเช่นนี้ เขาก็ตำหนิลูกสาวคนที่สองว่าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี มีเงินแต่ไม่คิดจะสงเคราะห์ที่บ้าน กลับใช้เงินมากมายเพื่อซื้อเครื่องสำอางที่ทาหน้าได้อย่างเดียว และไม่รู้ว่าคิดจะทาเพื่อไปยั่วใครกันแน่

แต่ก็ขอแค่นางอย่าทำตามพี่สาวที่ไม่รู้จักละอายต่อบาปของนางก็พอ!

เจียงเอ้อยานอนอยู่บนเตียงอิฐโดยไม่มีผู้ใดสนใจ  ส่วนเจียงต้ายาถึงกับต้องใช้คำว่าแห้งเฉามาบรรยายนางเลยทีเดียว เมื่อไม่กี่วันก่อนนางเพิ่งถูกให้ดื่มยาอันตรายเพื่อทำให้ตนเองตกลูก ตอนนี้นางจึงนอนอยู่บนเตียงอิฐอย่างเศร้าโศก

เจียงต้ายานางยังเอาตัวเองไม่รอดเลย ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าให้นางไปสนใจเจียงเอ้อยาหรอก

สุดท้ายก็เป็นเจียงเหมยฮัวที่พักอาศัยอยู่ในห้องเดียวกันใจไม่แข็งพอ นางถอนหายใจยาว ๆ จากนั้นก็ออกไปตักน้ำเย็นและเช็ดหัวเช็ดตัวให้เจียงเอ้อยา นางดูแลเจียงเอ้อยาจนดึกดื่น รอจนความร้อนบนหน้าผากของเจียงเอ้อยาลดลงประมาณหนึ่ง เจียงเหมยฮัวถึงจะถอดรองเท้า ถุงเท้า กระโปรง และปิ่นปักผมอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ขึ้นไปบนเตียงเพื่อพักผ่อน

เจียงป่าวชิงไม่สนใจว่าที่บ้านตระกูลเจียงนั้นจะทรมานเพียงใด  ส่วนแขนของเจียงเอ้อยาเป็นเพียงบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นางให้ไว้กับเจียงเอ้อยา ผ่านไปสักวันสองวันก็จะดีขึ้นเอง  แต่ถ้าหากหลังจากนี้เจียงเอ้อยามาหาเรื่องนางอีกละก็ มันจะไม่จบเพียงเท่านี้เป็นแน่

ช่วงนี้ นอกจากไปออกกำลังกายในตอนเช้าแล้ว เจียงป่าวชิงก็เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเพื่อเย็บเสื้อผ้าด้วยเศษผ้าพวกนั้น นางเอาเศษผ้าพวกนั้นมาเย็บเป็นกระโปรงให้ตัวเองหนึ่งตัว โดยใช้เศษผ้าที่มีสีใกล้เคียงกันมาเย็บติดกับกระโปรง ซึ่งดูสะอาดสะอ้าน เรียบง่าย และเหมาะสม เนื่องจากสีมีความคล้ายคลึงกันจึงดูไม่ค่อยเป็นที่สนใจมากนัก และไม่ค่อยแหวกแนวสักเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้สะดุดตาอยู่บ้าง

เจียงป่าวชิงชำเลืองมองกระโปรงที่วางแผ่อยู่บนเตียงอิฐเล็กน้อย นางพยักหน้าอย่างพึงพอใจและแน่วแน่ต่อความคิดของตัวเองมากยิ่งขึ้น

ราคาเสื้อผ้าสำเร็จรูปกับราคาเฉพาะผืนผ้าหรือเศษผ้านั้นต่างกันมาก นางสามารถอาศัยฝีมือการเย็บปักถักร้อยของตัวเอง รวมถึงความรู้ในการออกแบบที่ล้ำเลิศกว่าคนรุ่นก่อนที่เกิดขึ้นตามกาลเวลามาทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อนำไปฝากขายที่ร้านได้

น่าเสียดายที่แบบเสื้อผ้าผู้ชายน้อยไปหน่อย จึงไม่ค่อยมีที่เหลือให้แสดงความสามารถสักเท่าไหร่ ในทางกลับกัน แบบเสื้อผ้าผู้หญิงกลับมีที่เหลือให้แสดงความสามารถมากกว่า

เศษผ้าที่เหลืออยู่ตอนนี้เหมาะสำหรับให้นางนำมาลองฝีมือพอดี

เจียงป่าวชิงวางแผนสักพัก หลังจากที่ดึงสติกลับมา นางก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและยิ้มกริ่มกับตัวเอง

ในยุคปัจจุบัน งานอดิเรกที่ ‘เธอ’ ใช้ฝึกฝนความแม่นยำของการฝังเข็มได้กลายมาเป็นช่องทางในการหาเลี้ยงชีพของ ‘เธอ’ ในตอนนี้เสียแล้ว

นี่คงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคนเรากระมัง ?

แสงในห้องดินเหนียวของเจียงป่าวชิงไม่ค่อยเพียงพอเท่าไหร่ นางคิดแทนดวงตาของตัวเองโดยคิดว่าคงไม่ดีหากจะเพ่งมองและลงมือทำงานเย็บปักถักร้อยเป็นเวลานานเกินไป ถ้าหากว่าสายตาสั้นขึ้นมา ที่นี่คงจะไม่มีแว่นสายตาที่สามารถแก้ไขการมองเห็นได้แน่ ๆ

นางผลักหน้าต่างให้เปิดออก คิดจะมองไปไกล ๆ เพื่อจะได้ผ่อนคลายสายตาบ้าง แต่ทว่าเมื่อเปิดหน้าต่างออก กลับเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ที่อยู่ในลานบ้านพอดี