ตอนที่ 27 เจตนาของการสอบคืออะไร

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

วิ่งไปได้ไม่นาน อากาศที่เดิมทีสดใสจู่ๆ ก็มีหมอกดำปกคลุมอย่างแน่นหนา เสียงสายฟ้าดังสะเทือนลั่น ฉีหลงที่อยู่ด้านหน้าสุดอดสบถออกมาไม่ได้ “ทำไมโชคร้ายขนาดนี้ พอถึงตาพวกเราสอบก็มีฝนตกกระหน่ำเนี่ยนะ ทุกคนเร็วอีกหน่อย ไม่งั้นพอฝนตกลงมาจริงๆ พวกเราจะวิ่งลำบากขึ้นมาก ผลสอบของเราจะต้องได้รับผลกระทบแน่นอน”

ในตอนที่ฉีหลงกล่าวจบแล้วก็คิดจะเร่งความเร็วอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของหานจี้จวินดังมาจากทางด้านหลังว่า “อาหลง อย่าเร่งความเร็วนะ รักษาจังหวะเดิมเอาไว้”

ฉีหลงอึ้งไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหานจี้จวินอยากจะหยุดยั้งการกระทำของเขา ถ้าฝนตกลงมาจริงๆ ละก็ การวิ่งท่ามกลางสายฝนจะกินแรงกายของตัวเองมากขึ้น และยังลดความเร็วของพวกเขาลงด้วย ควรรู้ว่าคะแนนการสอบครั้งนี้จะวัดผลตามเวลาที่พวกเขาไปถึง ถ้าหากไม่คว้าเวลานี้วิ่งให้เร็วมากขึ้นหน่อย เช่นนั้นจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ

ถึงแม้ว่าฉีหลงจะรู้สึกงุนงงสับสนมาก แต่เขามีข้อดีอันใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือรู้จักตัวเองมาก เขารู้ว่าหานจี้จวินเพื่อนสนิทของเขามีปฏิภาณไหวพริบเยอะกว่าเขามาก สมองอันชาญฉลาดทำให้เขาเกิดความรู้สึกต่างๆ นานาทั้งอิจฉา ริษยาและเคืองแค้น ในเมื่อเพื่อนซี้พูดแบบนี้ แสดงว่าเขาต้องพบของบางอย่างที่เขาไม่ได้สังเกตเห็นแน่นอน ความเป็นจริงที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า เชื่อฟังหานจี้จวินไว้จะไม่ผิดพลาดเสมอ และเขาก็เชื่อมั่นในพี่น้องเขาแน่นอน

ดังนั้น ฉีหลงจึงละทิ้งความคิดของตัวเองโดยไม่ลังเล และยังคงรักษาความเร็วในการวิ่งขึ้นหน้าแต่เดิมไว้ ต้องพูดว่านอกจากลั่วล่างแล้ว มีเด็กในกลุ่มของหลิงหลานไม่กี่คนที่มีนิสัยชอบเอาชนะ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ลั่วล่างจะเป็นคนหยิ่งผยอง ทว่าเขาก็เป็นเด็กฉลาด เขาเองก็ได้ยินคำพูดของหานจี้จวินที่กล่าวเตือนฉีหลง ดังนั้นเขาก็ไม่ได้เร่งความเร็ว และยังคงวิ่งตามติดฉีหลงไว้เช่นกัน

ในหมู่แวดวงของพวกเขา ความฉลาดของหานจี้จวินเป็นที่รู้กันดี ลั่วล่างเองก็นับถือหานจี้จวินมากเช่นกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่หานจี้จวินจะกลายเป็นเพื่อนสนิทของไอ้โง่ฉีหลง ทำให้เขารู้สึกเสียดายไม่หยุด เสียใจว่าตัวเองลงมือช้าไป ไม่สามารถคบหากับหานจี้จวินได้ ไม่อย่างนั้นไอ้ฉีหลงนั่นไม่มีทางมีโอกาสหรอก

เด็กคนอื่นก็รักษาความเร็วแรกเริ่มไว้เช่นกัน พวกเขาตามติดกลุ่มไว้เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่หลุดออกจากกลุ่ม เด็กที่มีคุณสมบัติเข้าสอบสถาบันศูนย์กลางลูกเสือต่างก็ไม่ใช่คนโง่อะไร การทะเลาะกันของฉีหลงกับลั่วล่างทำให้พวกเขารู้ว่าพลังทุกส่วนของสองคนนี้แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก ในเมื่อคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาต่างไม่กลัวเสียเวลา พวกเขายังจะไปกลัวอะไรอีกล่ะ

หานจี้จวินเร่งความเร็วสองก้าววิ่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิงหลาน เขาเอ่ยถามเสียงเบาว่า “หลิงหลาน นายคิดว่าไง” หานจี้จวินรู้สึกมาตลอดว่าหลิงหลานต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแน่นอน นี่เป็นลางสังหรณ์ของคนฉลาด

“นายเองก็สังเกตเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ” หลิงหลานปรายตามองหานจี้จวินด้วยสายตาเหมือนได้รับบาดเจ็บ ให้ตายสิ นี่สิถึงจะเรียกว่าพรสวรรค์ที่สวรรค์อำนวยพรให้ เพิ่งจะอายุหกขวบก็สามารถสังเกตเห็นปัญหาได้อย่างเฉียบแหลม ช่างทำร้ายคนมากเกินไปจริงๆ

ควรทราบว่าการที่เธอสามารถมองปัญหาออกได้เป็นเพราะว่าเธอมีชีวิตอยู่มาแล้วสองชาติ รวมไปถึงการทดสอบบีบบังคับต่างๆ นานาที่มิติการเรียนรู้มอบให้ในห้าปีกว่ามานี้ ทำให้เธอได้รับประสบการณ์อันล้ำค่า โดยเฉพาะปีนี้หลิงหลานไม่มีภารกิจฝึกฝนอันใหม่ก็เลยถูกหมายเลขหนึ่งใช้วิธีต่างๆ มาทรมาน ทำให้ตอนนี้เธอต้องใคร่ครวญหลายชั้นกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเห็น จนกลายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยสัญชาตญาณของเธอไปแล้ว

หานจี้จวินไม่ได้ตระหนักเลยว่าหัวใจดวงน้อยๆ ของหลิงหลานได้รับบาดเจ็บ เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “อื้อ ไม่ว่าพวกเราจะเร่งความเร็วหรือไม่ สิ่งที่จะมาก็ต้องมา บางทีพวกเขาอาจจะอยากเห็นพวกเราลนลานสับสนก็ได้”

“ผู้คุมสอบไม่ได้ระบุระยะทาง ฉันสงสัยว่า…การสอบนี้จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเส้นชัย” หลิงหลานบอกความเห็นของเธอออกมา ความเฉลียวฉลาดของหานจี้จวินทำให้หลิงหลานพูดโดยไม่ปิดบังอีกต่อไป

ในที่สุดเธอก็ไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นเด็กแล้ว พออยู่กับอัจฉริยะระดับปีศาจ เธอก็ไม่ได้ดูเป็นอัจฉริยะระดับปีศาจ ชัดเจนขนาดนั้น หลิงหลานน้ำตานองหน้าด้วยความตื้นตันใจ หกปีมานี้เธอใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย

คำพูดของหลิงหลานทำให้หานจี้จวินครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เขาใคร่ครวญสักพักแล้วก็พูดว่า “บางทีการสอบอาจจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเราเข้ามาในสนามกีฬาแล้ว”

“หมายความว่าไง”

“ที่นี่เป็นสนามกีฬาจริงๆ เหรอ”คำกล่าวของหานจี้จวินทำให้หลิงหลานตะลึงงัน เธอนึกถึงหน้าประตูที่เธอเข้ามา นั่นไม่เหมือนกับทางเข้าสนามกีฬาขนาดใหญ่เลย

“คอยสังเกตการณ์เงียบๆ” หลิงหลานกับหานจี้จวินสบตากันเองอย่างเข้าใจกันแวบหนึ่ง และแทบจะกล่าวการตัดสินใจของพวกเขาออกมาพร้อมกัน ในเมื่อเข้าสู่สนามแล้ว เช่นนั้นก็ได้แต่เดินไปพลางมองไปพลางแล้ว

วิ่งไปได้ไม่นานเท่าไร ฝนห่าใหญ่ก็สาดตรงมาจนพวกหลิงหลานสิบคนกลายเป็นลูกหมาตกน้ำ สายฝนและหมอกปกคลุมทัศนวิสัยของพวกเขา ถนนใต้เท้าก็เปลี่ยนเป็นเฉอะแฉะด้วยโคลนเลนสุดจะทานทน เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มน้ำฝนแนบติดกับร่างกายจนทำให้รู้สึกไม่สบายและหนักอึ้ง เมื่อพวกเขาวิ่งตะบึงไปหลายพันเมตรภายใต้สภาพแบบนี้ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า โดยเฉพาะเด็กหญิงสองคนที่เริ่มหอบหายใจขึ้นมา

“น้ำของจริง ไม่ใช่น้ำที่จำลองออกมา” หลิงหลานสัมผัสความรู้สึกที่ส่งผ่านมาทางร่างกายอย่างละเอียด ดูท่าการจำลองสภาพแวดล้อมของที่นี่จะใช้อุปกรณ์ของจริงมาผสมผสานด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้อง เหนือศีรษะพวกเขาก็น่าจะเต็มไปด้วยสปริงเกอร์…

ในเมื่อรู้แล้วว่าสถานที่ที่ตัวเองเข้ามาคือห้องที่สร้างสภาพแวดล้อมจำลอง หลิงหลานก็ไม่สนใจที่สิ่งตัวเองเห็น และวาดเค้าโครงเดิมของทั้งห้องในสมอง

ควรพูดว่าสนามกีฬาซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมจำลองที่ปรากฏออกมาให้ทุกคนดูเหมาะสมมาก เนื่องจากลู่วิ่งของสนามกีฬาเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ทุกคนที่วนอยู่ข้างในห้องหลายรอบจนยากจะนับไหวต่างไม่ได้สงสัยเลยว่าตัวเองอยู่ในห้องปิดแห่งหนึ่งเท่านั้น

พวกหลิงหลานสิบคนวิ่งไปอีกหลายพันเมตรก็รู้สึกได้ว่าพวกเขาวิ่งจนนับรอบไม่ได้แล้ว ทว่าไม่มีผู้คุมสอบสักคนเดินเข้ามาเตือนว่ายังเหลืออีกกี่รอบ การเดินทางที่ไม่รู้จบนี้ทำให้เด็กที่มีพละกำลังค่อนข้างด้อยรู้สึกหวั่นไหว โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงทั้งสอง ความเร็วของพวกเธอช้าลงและตกไปอยู่รั้งท้ายสุด

ลั่วล่างและหานจี้จวินที่เป็นญาติพี่น้องของเด็กหญิงทั้งสองกลับทำเป็นมองไม่เห็นกับสถานการณ์แบบนี้ และยังคงวิ่งไปข้างหน้าโดยที่รักษาความเร็วแต่เดิมเอาไว้

หลิงหลานเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว ไม่ช่วยพวกเธอหน่อยเหรอ

หานจี้จวินคล้ายกับมองเห็นความลังเลของหลิงหลานก็รีบอธิบายว่า “อยากจะกลายเป็นทหารที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง การช่วยเธอจะเป็นการทำร้ายเธอ เมื่อเราอยู่ในสนามรบ เราจะพึ่งพาอาศัยคนอื่นเพื่อเอาชีวิตรอดต่อไปไม่ได้”

คำพูดของหานจี้จวินดูมีเหตุผลมาก หลิงหลานเองก็ไม่ใช่แม่พระที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้ ตอนที่เธอเพิ่งจะคิดว่าไม่สนใจไยดีนั้น ก็มีความคิดหนึ่งแล่นปราดในสมองทำให้เธอรู้สึกตื่นตกใจทันที

การสอบนี้เป็นแค่การสอบความอดทนและความเร็วเท่านั้นจริงๆ หรือปล่า ถ้าหากเป็นการสอบพวกนี้อย่างเดียว ใช้สนามกีฬาทั่วไปก็บรรลุเป้าหมายได้ ทำไมต้องใช้เทคโนโลยีจำลองสภพแวดล้อมที่ล้ำค่าแบบนี้ด้วย นอกจากนี้ต้องแบ่งกลุ่มมากขนาดนั้นด้วยเหรอ

เธอหวนนึกถึงการแข่งมาราธอนในชาติก่อน นั่นเป็นการแข่งที่มีคนนับหมื่นวิ่งแข่งด้วยกัน หลิงหลานสังเกตความกว้างของลู่วิ่ง มันมีความกว้างประมาณห้าสิบเมตร ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถให้คนมากมายขนาดนั้นวิ่งด้วยกัน แต่ว่าจะยัดหนึ่งร้อยคนหรือหนึ่งพันคนก็ยังไหว แบบนี้สามารถเพิ่มความเร็วในการสอบ ประหยัดเวลาได้มากขึ้นไม่ใช่เหรอ

บางทีมันยังอยากทดสอบเรื่องอย่างอื่นกับผู้เข้าสมัคร เจตนาของมันคืออะไรกันแน่นะ หลิงหลานรู้ว่านี่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญของการสอบนี้ ถ้าหากเธอทำความเข้าใจได้ เธอก็จะรู้ว่าจะผ่านการสอบสนามนี้อย่างไร

ตอนนั้นคำพูดของผู้คุมสอบยังบอกใบ้อะไรอีกนะ เสี่ยวซื่อสัมผัสได้ถึงความคิดของหลิงหลาน มันถ่ายทอดพวกคำพูดที่ผู้คุมสอบกล่าวในเวลานั้นซ้ำอีกครั้งได้อย่างยอดเยี่ยมมาก

ชิ นอกจากเรื่องที่อยากให้คุณรู้ เรื่องอื่นๆ เรียกได้ว่าปกปิดมิดชิดไม่มีช่องโหว่จริงๆ สมกับเป็นผู้คุมสอบระดับหัวกะทิที่เลือกออกมาจากในกองทัพ…

เลือกออกมาจากในกองทัพ? กองทัพ? ความคิดที่แล่นวาบในสมองของหลิงหลานถูกเธอคว้าเอาไว้แล้ว ในเมื่อผู้คุมสอบที่ทดสอบพวกเขาต่างก็มาจากในกองทัพ เช่นนั้นนี่ก็เป็นการบอกใบ้ใช่หรือเปล่า นอกจากนี้ หนึ่งกลุ่มมีสิบคน นั่นก็เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของการปฏิบัติการในกองทัพพอดี!

……………………………………………….