คงเพราะทั้งวงดนตรีอยู่ในสภาพน่าสังเวชมากเลยใช้เวลารวบรวมกลุ่มจัดกลุ่มกันเสร็จไม่น้อยเลย กว่าจะออกมาได้ก็หลายวันให้หลังไปแล้ว
จากที่พวกเขาพูดมา ไม่ว่าอย่างไรคณะดนตรีนี้ก็ต้องเดินทางผ่านเขาจิ้งซานให้ได้ ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่ว่าจะไปอย่างไรแล้ว
ในเขาจิ้งซานมีอะไรกันแน่ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกสังหรณ์มาตลอดว่า ที่พวกเขาอยากไปเขาจิ้งซานนั้น น่าจะมีอะไรที่มากกว่าแค่ ‘คำเชิญชวน’ จากป้อมปราการ 112
เขาจิ้งซานครอบคลุมพื้นที่มหาศาล กระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครเคยเข้าไปสำรวจอย่างจริงจัง ถ้าอย่างนั้นพวกผู้ปกครองของป้อมปราการได้รับข้อมูลอะไรมากัน
ตอนเช้า เหยียนลิ่วหยวนสะพายกระเป๋านักเรียนใบใหม่ที่เสี่ยวอวี้เป็นคนเย็บให้ไปโรงเรียนอย่างมีความสุข
พอเขามาถึงโรงเรียนก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ทำไมทันทีที่เขาเข้าห้องมา นักเรียนคนอื่นๆ ก็หันขวับมาจ้องเขาเขม็งแบบนี้ล่ะ
เหยียนลิ่วหยวนเมินนักเรียนคนอื่นๆ แล้วไปนั่งที่ตัวเอง แต่ฝูงนักเรียนก็กรูกันเข้ามาล้อมตัวเขาไว้ หลีโหยวเฉียนลูกสาวของเหล่าหลี่ที่มีรูปร่างแข็งแรงกำยำ พูดกับเหยียนลิ่วหยวนว่า “ลิ่วหยวน บอกพี่ชายนายให้เลิกปล่อยคาบช้าเสียทีได้เปล่า”
“ใช่ๆ” ลูกชายหวังฟู่กุ้ยผู้โง่งมก็บ่นว่าตามมา “ปล่อยพวกเราช้าทุกวัน ทำเอาไม่มีเวลาไปเล่นแล้วเนี่ย”
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ถ้าคำพูดฉันมันมีประโยชน์ เขาคงเลิกปล่อยคาบช้าไปแล้วแหละ”
ทุกคนได้ยินแบบนั้นต่างหน้ามุ่ย หลีโหยวเฉียนแค่นเสียงเหยียด “ใช่ว่าอาจารย์จางจ่ายเงินให้พี่ชายนายสักหน่อย ฉันได้ยินว่าเดี๋ยวนี้บ้านนายไม่ขาดเงินแล้วนี่ จะจริงจังอะไรนักหนากับการสอนเนี่ย เดี๋ยวนะ นี่เขาคิดจะยึดโรงเรียนแล้วเรอะ! เขาเพิ่งเป็นอาจารย์สอนแทนเอง ไม่ได้หมายความว่าจะสั่งอะไรพวกเราตามใจได้นะ โอ้ย!”
หลีโหยวเฉียนร้องอย่างเจ็บปวดออกมา
เหยียนลิ่วหยวนผุดลุกขึ้นยืนแล้วเตะเข้าไปที่สะโพกของหลีโหยวเฉียน ทุกคนไม่ทันคาดคิดเลยว่าจู่ๆ เหยียนลิ่วหยวนจะโมโหขึ้นมา พวกเขาได้ยินเหยียนลิ่วหยวนพูดอย่างหยามเหยียดว่า “ที่พี่ชายฉันสอนพวกแกเป็นความรู้ที่จะช่วยเอาตัวรอดจากแดนรกร้างทั้งนั้น ถ้าไม่ชอบใจก็ไม่ว่า แต่ทำไมต้องมาว่าร้ายลับหลังเขาด้วย! ขืนมีคนพูดเรื่องนี้อีก อย่าหาว่าฉันอำมหิตก็แล้วกัน”
ปีนี้เหยียนลิ่วหยวนจะอายุ 14 ปี ส่วนหลีโหยวเฉียนอายุ 16 แล้วเรียบร้อย ถึงพวกเขาจะความสูงไล่เลี่ยกัน ทว่าหลีโหยวเฉียนยังคงแข็งแรงกว่ามาก
ย้อนกลับไปตอนที่หวังฟู่กุ้ยพยายามแนะนำหลีโหยวเฉียนให้เริ่นเสี่ยวซู่ ที่เหยียนลิ่วหยวนเคยบอกว่าเธอตัวใหญ่นิดหน่อยนั่นไม่ได้โกหกเลย
แต่พอนักเรียนคนอื่นๆ เห็นเหยียนลิ่วหยวนในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนกับว่าเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ฉบับย่อส่วนลงมาอย่างไรอย่างนั้น ความดุร้ายที่ระเบิดแผ่ออกไม่ต่างกันเลย
ต่อให้เหยียนลิ่วหยวนมักจะพูดจาโหดร้ายกับผู้อื่น ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกกลับดูอ่อนน้อมอ่อนโยนกว่าเริ่นเสี่ยวซู่มาก แต่พอมีใครว่าถึงเริ่นเสี่ยวซู่กลับทำให้เขาดูดุดันเช่นนี้ได้เชียว?
ดังนั้นพวกนักเรียนจึงได้รู้ว่าเหยียนลิ่วหยวนก็มีด้านป่าเถื่อนอยู่เช่นกัน
หลีโหยวเฉียนอยากจะตอบโต้กลับไป แต่พอเห็นสีหน้าของเหยียนลิ่วหยวนแล้ว ก็ต้องทิ้งความคิดนี้ไป “ฉันไม่ได้พูดจาว่าร้ายอะไรสักหน่อย แค่พูดเรื่องจริงต่างหากเถอะ!”
เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกไปไม่ถูกเลยทีเดียว แน่ละว่าเขาเองก็ไม่อยากให้เริ่นเสี่ยวซู่ปล่อยคาบช้าเหมือนกัน!
คุณจาง อาจารย์ประจำโรงเรียนเดินมือไพล่หลังเข้ามา “พวกเธอมามุงอะไรกัน กลับไปที่นั่งตัวเอง เตรียมเรียนหนังสือ”
เหล่านักเรียนรีบกลับไปนั่งที่ตัวเอง ถึงคุณจางจะดูใจดีน่าเข้าหาหลังเลิกเรียน ทว่ายามสอนกลับเคร่งขรึมจริงจังกว่าใคร
หวังต้าหลง ลูกชายผู้โง่งมของหวังฟู่กุ้ยนั่งลงข้างเหยียนลิ่วหยวน เขาเป็นเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะเหยียนลิ่วหยวน
หวังต้าหลงเหลือบมองเหยียนลิ่วหยวน พอเห็นว่าเหยียนลิ่วหยวนยังเคืองอยู่ ก็พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยไม่ให้กระอักกระอ่วน “เมื่อวานฉันฝันว่า พ่อหาแม่เลี้ยงมาให้ เธอโหดร้ายกับฉันมากเลย”
เหยียนลิ่วหยวนมองเขา “ไม่เป็นไรหรอก ความฝันล้วนตรงข้ามกับความจริงเสมอแหละ”
หวังต้าหลงฟังแล้วสายตาพลันทอประกายอย่างยินดี “จริงนะ”
เหยียนลิ่วหยวนคิดครู่หนึ่งแล้วพูด “ฉันว่าเขาน่าจะหาพ่อเลี้ยงให้นายแทน”
หวังต้าหลง “…”
……
ตกเย็น เริ่นเสี่ยวซู่กับคนอื่นๆ กำลังทานข้าวเย็นกัน หลังจากรับประทานเรียบร้อย เขากะจะทบทวนย้อนบทเรียนที่เหยียนลิ่วหยวนและเพื่อนๆ เรียนกันในช่วงวัน แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นหวังฟู่กุ้ยโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงพาหวังต้าหลงที่ร้องห่มร้องไห้มาที่คลินิก “เริ่นเสี่ยวซู่ ออกมา!”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันขณะมือหนึ่งถือชามข้าว “เกิดอะไรขึ้น”
“ถามลิ่วหยวนสิว่าเขาพูดอะไรกับลูกชายฉัน พอกลับมาบ้านก็ร้องไห้ไม่หยุดเลย” พอเขานึกถึงเรื่องที่ลูกชายคร่ำครวญออกมาตอนร้องไห้ก็ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม
เริ่นเสี่ยวซู่มองเหยียนลิ่วหยวนที่กำลังนั่งอย่างสงบเสงี่ยมบนเก้าอี้ “ผมบอกเขาว่า เหล่าหวังอาจจะหาพ่อเลี้ยงให้เขา”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
หวังต้าหลงร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก
เริ่นเสี่ยวซู่มองน้องชาย “รอบนี้นายผิดนะลิ่วหยวน พูดแบบนั้นกับคนอื่นได้ยังไง” เขาหันกลับไปปลอบหวังต้าหลง “วางใจน่า พ่อนายจะต้องหาแม่เลี้ยงให้นาย ไม่มีทางที่เขาจะไปหาพ่อเลี้ยงให้หรอก”
หวังต้าหลงชะงักงันไป แม่เลี้ยงเขาก็ไม่อยากได้! น้ำตาไหลพรากต่อ!
หวังฟู่กุ้ยโกรธจัดจนพูดกระโชกโฮกฮาก “ขอบคุณจริงๆ ที่อธิบายให้ฉัน!”
[ได้รับคำขอบคุณจากหวังฟู่กุ้ย +1]
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็สายตาทอประกาย ถึงเขาจะรู้สึกว่าได้เหรียญคำขอบคุณแบบนี้มันจะแปลกๆ ไปหน่อย แต่เหรียญคำขอบคุณก็ยังคือเหรียญคำขอบคุณแหละเนอะ!
ด้วยเหตุใดไม่ทราบ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกเหมือนประตูมหัศจรรย์กำลังค่อยๆ เปิดออก
เขามีเหรียญคำขอบคุณทั้งหมด 11 เหรียญแล้วด้วยประการละฉะนี้เอง!
หวังฟู่กุ้ยเหมือนนึกอะไรได้จึงระงับโทสะ พูดเตือนเริ่นเสี่ยวซู่ “เฉินไห่ตง ผู้ดูแลของเมืองเราเผลอโพล่งอะไรบางอย่างออกมาเมื่อวาน เขาบอกว่ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นที่ป้อมอื่นๆ เหมือนที่เกิดกับป้อม 113 เรา”
“เกิดอะไรขึ้น” เริ่นเสี่ยวซู่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เฉินไห่ตงไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน” หวังฟู่กุ้ยว่า “ไว้ฉันมีข่าวอะไรใหม่จะมาบอก แต่ยังไงเธอก็ต้องระวังตัวให้มาก เวลาแบบนี้ มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นย่อมไม่ใช่เรื่องดี”
หลังจากหวังฟู่กุ้ยไปแล้ว เหยียนลิ่วหยวนก็ถาม “ทำไมเหล่าหวังถึงพูดว่า เวลาแบบนี้มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นย่อมไม่ใช่เรื่องดีเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วตอบ “เป็นเพราะว่านิยามคำว่า ‘ดี’ ของพวกเรามันจำกัดเกินไป มีเพียงเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเราเองถึงจะเป็นเรื่องดี”
“คิดแบบนั้นไม่ถูกหรือเปล่า” เหยียนลิ่วหยวนท้วง ว่าตามตรง ต่อให้เขาไปโรงเรียนมากกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ เขาก็ยังขยันหมั่นเพียรไม่เท่าพี่ชายเลย
เริ่นเสี่ยวซู่มักจะอ่านหนังสือที่ยืมมาจากคุณจางอยู่ตลอด ส่วนเหยียนลิ่วหยวนก็เอ้อระเหยไปเรื่อย บางครั้งเหยียนลิ่วหยวนก็คิด ในเมื่อเริ่นเสี่ยวซู่เก่งกาจขนาดนี้ ทำไมยังต้องขยันตั้งใจเรียนอยู่อีกนะ
เริ่นเสี่ยวซู่มองเหยียนลิ่วหยวน พลางพูดขึ้น “จำไว้นะ พวกเราคิดแบบนั้นไม่ถือเป็นเรื่องผิด อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเราคือเรื่องดี การเห็นแก่ตัวไม่ใช่เรื่องผิด แต่ฉันอยากให้นายขีดเส้นที่ไม่อาจข้าม และขณะเดียวกันต้องไม่เป็นคนแสนดีแบบไร้สมองด้วย”