ตอนที่ 51 พิษเหมันต์พันปี! + ตอนที่ 52 บอกลากันเช่นนี้! Ink Stone_Romance
ตอนที่ 51 พิษเหมันต์พันปี!
เธอมองอยู่หลังต้นไม้ ก็สังเกตเห็นกระบี่ยาวกว้างสามนิ้วในมือเขาเข้าโดยไม่ตั้งใจ กระบี่คมมีแรงอาฆาตรุนแรงอยู่เหลือล้น กลิ่นอายที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายไปทั่วร่าง นั่นไม่ใช่พลังเร้นลับ แต่เป็นพลังวิญญาณ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาก็เป็นผู้ฝึกเซียนคนหนึ่ง!
แต่แค่ตอนนี้เขาดูไม่ปกตินิดหน่อย แม้เขาจะกำลังพยายามอดทนต่อแรงกดดันอย่างหนัก แต่สิ่งขาวๆ คล้ายน้ำค้างแข็งที่รวมกันอยู่บนขนคิ้ว หนวดเคราและใบหน้านั้น ถ้าไม่ใช่น้ำแข็งแล้วมันคืออะไรกัน?
น้ำแข็ง? ทำไมจู่ๆ ร่างกายถึงมีน้ำแข็งเกาะได้ล่ะ?
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องอย่างรุนแรงดังขึ้น กระบี่ยาวซึ่งมีประกายไอเย็นแทงเข้าตรงบริเวณหน้าอกของชายชุดดำคนสุดท้าย จนร่างนั้นคุกเข่าลงไป เขากระอักเลือด ดวงตาเขาจับจ้องอยู่ที่หลิ่งโมหาน อ้าปากพะงาบๆ อยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก สุดท้าย ยังไม่ทันชั่วอึดใจหนึ่งเขาก็ล้มลงไปแล้ว
ตอนนี้ร่างกายหลิ่งโม่หานสั่นเทาน้อยๆ ราวกับถูกแช่แข็ง เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เหมือนรูปสลักน้ำแข็ง ไอเย็นยะเยือกที่กระจายออกมาทั่วร่าง ช่างคล้ายกับน้ำแข็งพันปี ทำให้เธอที่ซ่อนตัวอยู่ห่างออกไปสิบเมตรยังรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบนั้น
“ปัง!”
ทั้งตัวเขาล้มเหยียดยาวลงไป ร่างเขาสั่นเทิ้มอยู่บนพื้น จนค่อยๆ ขดตัวม้วนกลม ไม่เพียงเท่านี้ น้ำแข็งบนใบหน้าเขาก็เหมือนจะยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
เมื่อเห็นอาการไม่ปกติ เธอจึงรีบปรี่เข้าไป
“ท่านอา? ท่านอา ท่านเป็นยังไงบ้าง?” เธอมาคุกเข่าลงข้างๆ เขา กำลังจะพยุงเขาขึ้น แต่ก็เพิ่งสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บเข้ากระดูกดำที่เขารู้สึกอยู่
“ซี๊ด! เย็น!”
เธอหดมือกลับตามสัญชาตญาณ เฟิ่งจิ่วมองคนที่ลืมตาขึ้นมามองเธออย่างสับสนเล็กน้อย ทำไมถึงเย็นขนาดนี้? ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เขาก็คงถูกแช่แข็งตายน่ะสิ?
เพียงมองเธอแวบเดียว เขาหลับตาลงอีกครั้ง และริมฝีปากเขาก็ค่อยๆ ขึ้นสีม่วง
เห็นอาการเขาไม่ดีนัก เธอจึงกัดฟันฝืนทนกับความเย็นยะเยือกเข้ากระดูกนั้น เพื่อตรวจชีพจรที่มือ พอได้ตรวจดู เธอก็ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
“นี่มัน… พิษเหมันต์พันปี?” ดวงตาเธอเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ปนความเหลือเชื่อน้อยๆ
ในชีพจรเขามีไอเย็นไหลเวียน เป็นไอพลังแสนเย็นเยียบที่กำลังไหลผ่านอยู่ในร่างเขานี่เอง ถึงได้ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ หนำซ้ำไอพลังเย็นนั้นก็ชัดเจนว่าเป็นพิษเหมันต์ และไม่ใช่แค่พิษเหมันต์ธรรมดา แต่เป็นพิษเหมันต์พันปี!
พลันเธอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวท่ามกลางค่ำคืน รวมถึงแรงอาฆาตที่มุ่งมาด้านนี้ ฟังจากการเคลื่อนไหว คงมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบสามสิบคน
สายตาเธอชำเลืองมอง ในใจก็กำลังคิดแผน เธอเห็นว่ารอบๆ ไม่มีที่ให้หลบซ่อน ดังนั้นจึงใช้นิ้วที่มีพลังเร้นลับแทรกซึมอยู่ชี้ไปตรงจุดเส้นประสาทที่ทำให้เขาสลบไป ต่อจากนั้น ก็ใช้ดวงจิตนำพาเขาเข้าไปในห้วงมิติของเธอ
ในขณะที่ทั้งสองคนหายไป ชายชุดดำถือกระบี่สาบสิบนายก็เข้าล้อมบริเวณรอบๆ ไว้ หลังจากหัวหน้าเห็นชายชุดดำหลายสิบนายที่ล้มตายไป เขาก็ขมวดคิ้ว น้ำเสียงเคร่งครึมนั้นมีความโกรธเกรี้ยว
“เมื่อครู่ยังมีกลิ่นอายอยู่ตรงนี้ พิษเหมันต์ในตัวเขาออกฤทธิ์ คงหนีไปได้ไม่ไกลแน่! ออกไปหาซะ!”
“ขอรับ!” ชายชุดดำขานรับพร้อมๆ กัน พวกเขาแบ่งกลุ่มออกไปตามหาหลายทิศทางโดยรอบ
และตอนนี้เอง ที่ในห้วงมิติ หงส์ไฟน้อยกำลังถลึงมองเฟิ่งจิ่วอย่างโมโหโกรธา เขาไม่นึกเลย ว่าเธอจะพาชายผู้มีไอเย็นเข้ากระดูกกระจายอยู่ทั่วร่างเข้ามาด้วย
เฟิ่งจิ่วในตอนนี้ไม่มีเวลาจะไปสนใจเขา ทว่าเธอกลับมัวยุ่งอยู่กับการใช้พลังเร้นลับประคับประคองชีพจรของหลิ่งโม่หานไว้ หากแม้แต่ชีพจรยังถูกแช่แข็ง เขาก็อยู่ไม่ไกลจากความตายนัก
หงส์ไฟน้อยใช้สองมือกอดอก พลางจับจ้องชายแปลกหน้าที่เข้ามาในอาณาเขตของเขาอย่างกะทันหัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาที่มีความบูดบึ้งและเฉยเมย “นั่นคือพิษเหมันต์ ไอที่หนาวเย็นที่สุดในใต้หล้า พลังเร้นลับเพียงน้อยนิดของเจ้าประคองชีพจรเขาไม่ไหวหรอก เขาน่ะ ต้องตายแน่แล้ว”
…………………………………………………….
ตอนที่ 52 บอกลากันเช่นนี้!
ตอนนี้บนใบหน้าเฟิ่งจิ่วหาได้มีความแหนงหน่ายเช่นยามปกติไม่ เธอใช้มือหนึ่งกดตรงหัวใจเขา ในดวงตามีความตั้งมั่น เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เขาเคยช่วยข้าไว้ ข้าจะให้เขาตายไม่ได้”
หงส์ไฟน้อยถูกสีหน้าของเธอดึงดูดไว้ เขาจึงต้องเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าคิดจะช่วยเขายังไง? พิษเหมันต์พันปีนี้ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่อาจช่วยเขาได้หรอกนะ”
“ไม่ เจ้าช่วยเขาได้” เฟิ่งจิ่วส่งรอยยิ้มที่ค่อนข้างมีนัยยะให้เขาในทันที
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หงส์ไฟน้อยก็กระพริบตาปริบๆ อย่างสงสัยเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะถามว่าเธอหมายถึงอะไร? ก็เห็นเธอแก้เสื้อผ้าของหลิงโม่หานออก เผยให้เห็นแผงอกเขาที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งสีขาว และสองมือที่มีพลังเร้นลับเคลือบแฝงก็กดทับลงตรงจุดเส้นประสาทบนร่างเขา
“มานี่สิ” เธอพลันหยุดมือลง แล้วมองไปทางหงส์ไฟน้อย
“หา? ทำอะไรน่ะ?” แม้จะไม่เข้าใจ แต่หงส์ไฟน้อยก็ยังลุกยืนขึ้นเดินเข้าไปตรงข้างๆ เธอ
เฟิ่งจิ่วผุดรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างไม่เข้าท่านักไปทางหงส์ไฟน้อย พอเห็นเขาขนลุกขนพองขึ้นมา แต่ในเวลาต่อมา เขาก็กลับส่งเสียงร้องคร่ำครวญ
“อ๊า! มือข้า! มือข้าเลือดไหลแล้ว… เจ้า เจ้าผู้หญิงคนนี้ เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่!”
เขามองเธอด้วยความขุ่นเคือง ใจเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก
“ยืมเลือดเจ้ามาลองใช้นิดเดียว แค่แผลเล็กๆ ใช้เลือดไม่เท่าไหร่หรอก” เธอดึงมือเขามาตรงริมฝีปากหลิงโม่หาน แล้วใช้เลือดที่ไหลจากนิ้วหยดลงในปากเขา
เมื่อเลือดของหงส์ไฟน้อยเข้าไปในปากเขา ไอเย็นบนร่างก็ค่อยๆ สลายไป ราวกับถูกกดเอาไว้ ร่างกายเขามีไอร้อนพวยพุ่ง และไอร้อนนั้นก็ทำให้เรือนร่างแข็งทื่อได้รับความอบอุ่น ร่างกายที่เดิมทีเคยขดตัวม้วน ในที่สุดก็จะไม่หดตัวอีกแล้ว
“เลือดข้าได้ผลขนาดนี้เลยรึ?” ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเธอ ที่แท้ก็หมายความเช่นนี้
พอเห็นว่าในที่สุดเขาก็อุ่นขึ้นแล้ว เฟิ่งจิ่วถึงจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะอธิบายว่า “เจ้าเป็นหงส์ไฟในตำนาน เลือดของหงส์ไฟนั้นร้อนแรงที่สุด จึงกดพิษเหมันต์ในร่างเขาได้เป็นธรรมดา”
ระหว่างที่พูด ก็ลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา เธอพูดอย่างยิ้มๆ “ขอบใจเจ้ามากนะ ถือว่าเจ้าช่วยข้าตอบแทนคนผู้นี้”
“หึ!” หงส์ไฟน้อยเบือนหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ในใจกลับเบิกบานเพราะคำพูดของเธอ
“เจ้าคิดจะให้เขาอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนกัน? หากเขาตื่นมาจะทำยังไง?”
“ด้านนอกมีคนกำลังตามฆ่าเขา รอสักพักจนคนพวกนั้นเดินไปไกล ข้าค่อยพาเขาออกไป ไอเย็นในตัวเขาถูกกดไว้ คงใกล้จะฟื้นแล้ว ด้วยฝีมือของเขาขอแค่ตื่นขึ้นมาก็คงไม่มีปัญหาอะไร”
ได้ยินเช่นนั้น หงส์ไฟน้อยถึงจะไม่พูดอะไรอีก
และเฟิ่งจิ่วก็ทำจริงอย่างที่เธอพูด หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เธอก็พาเขาออกไปวางไว้บนพื้นหญ้า
“ท่านอา ถือว่าข้าช่วยชีวิตท่านแล้ว ข้ายังมีธุระ เลยต้องจากลากันเช่นนี้” เห็นขนตาเขาขยับน้อยๆ ก็รู้ว่าเขากำลังจะฟื้นขึ้นมา เธอจึงใช้ฝีเท้าแปลกประหลาดวิ่งเข้าไปในป่าทันที…
พอเธอไปได้ไม่นาน หลิ่งโม่หานก็ฟื้น ในหัวเขายังมีเสียงขอทานน้อยผู้นั้นสะท้อนอยู่เลือนราง
เขามองร่างกายตัวเองที่ฟื้นคืนดังเดิมอย่างแปลกใจเล็กน้อย รู้สึกว่าไอเย็นจะถูกกดไว้ เขาตกตะลึงอยู่ในใจ แต่เมื่อมองไปรอบๆ ก็กลับไม่เห็นเงาของขอทานน้อยซะแล้ว…
ส่วนเฟิ่งจิ่ว เพราะกังวลว่าเจ้ายักษ์โง่อย่างกวนสีหลิ่นจะยังรอเธออยู่ที่นั่น ตลอดคืนเธอจึงรีบเร่งกลับไปที่เดิมนั้น ขณะที่ท้องฟ้าสว่าง ในที่สุดก็มาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ เมื่อไม่เห็นเงาร่างเขาอยู่ที่นั่น เธอก็แอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
“ดูเหมือนจะไปแล้วสินะ ก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องคอยพะวง ว่าเขาจะยังโง่รออยู่ที่นี่”
ทว่าพอพูดไปเช่นนั้น เธอก็ได้ยินเสียงร้องอันคุ้นเคยดังลอยมาอยู่ไม่ไกล และยังมีเสียงขู่คำรามของสัตว์ร้าย…
…………………………………………………….