เหนือเขตแดนค่ายกล มีเซียนที่นั่งอยู่บนน้ำเต้า เห็นเหตุการณ์ต่อสู้ของอันหลินทั้งหมดกับตา
“จิ๊ๆ ข้าว่าแล้วเจ้าพวกที่มีจดหมายรับรองของผู้เที่ยงแท้ล้วนไม่ธรรมดา รู้สึกว่าอันหลินคนนี้จะเริ่มบำเพ็ญเพียรได้แค่สี่เดือน น่ากลัวจริงๆ…”
ชายชราส่ายหัว ลูบเคราสีขาวอย่างแผ่วเบา มือขวาถือพู่กัน เขียนค่าสถิติลงกลางอากาศ
ลายเส้นสีดำปรากฏให้เห็นกลางอากาศ สรรสร้างตัวอักษรทีละตัว
ข้อมูลสถิติของอันหลินเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
อันหลิน ค่าพลัง 180 ค่าความดี 190
โดยทั่วไปแล้ว ค่าพลังการต่อสู้ของนักเรียนระดับกายแห่งมรรคขั้นสิบจะอยู่ที่ราวๆ 200
แต่ค่าพลังของอันหลินสูงถึง 180 บ่งบอกว่าชายชราจัดความสามารถของเขา ให้อยู่ในระดับเข้าใกล้กายแห่งมรรคขั้นสิบแล้ว
อันหลินสามารถเอาชนะเว่ยจี๋กายแห่งมรรคขั้นเก้าได้โดยที่ไม่บาดเจ็บ มันเพียงพอจะพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของเขาได้แล้ว
โดยเฉพาะหมัดสะเทือนขุนเขาของเขา มันมีลมปราณอันสอดคล้องกับธรรมชาติแฝงอยู่ ยิ่งทำให้ชายชราอุทานไม่หยุด เพิ่มค่าพลังให้เขาไม่น้อยเลย
อันหลินเริ่มปฏิบัติการล่าของเขาต่อ หลังผ่านการต่อสู้กับเว่ยจี๋ ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยหากเจอศัตรูกายแห่งมรรคขั้นเก้า เขาก็ไม่ต้องกลัวจนหัวหดอีกแล้ว กระโจนเข้าไปแล้วโจมตีอย่างบ้าคลั่งได้เลย
ม่านรัตติกาลค่อยๆ คืบคลานเข้ามาช้าๆ โดยไม่รู้ตัว
สำหรับอันหลินแล้ววันนี้ราบรื่นยิ่งนัก หลังผ่านการรบแบบกองโจรกับการซ้ำมีดแล้ว เขาก็เอาชนะคู่ต่อสู้กายแห่งมรรคขั้นเก้าเพิ่มอีกหกคน ตอนนี้ เหลือแค่สองคน ก็จะเข้าใกล้ความสำเร็จของภารกิจเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่าเขาสิบคนแล้ว
เขากำลังคิดว่าคืนนี้จะออกล่าอีกครั้ง พยายามเลื่อนระดับให้เป็นกายแห่งมรรคขั้นเก้าโดยไวที่สุด
ศึกแห่งอิสรภาพดำเนินมาถึงครึ่งหลังแล้ว นักเรียนที่มีระดับต่ำกว่ากายแห่งมรรคขั้นแปดตกรอบแทบจะทุกคนแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถเป็นเลิศ
หากการเลื่อนระดับของเขาเร็วไม่พอ ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นอาจจะเอาชนะศัตรูไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว…
อันหลินใช้คาถาควบคุมไฟย่างกระรอกตัวหนึ่งจนสุก หลังสวาปามเสร็จแล้ว ก็เริ่มทำสมาธิกำหนดลมหายใจ
ค่ำคืนในป่าพันยอดสงบยิ่งนัก ฉะนั้นหากเกิดการต่อสู้ดุเดือดขึ้นมา เสียงก็จะกระจายไปไกล แสงสว่างของพลังเซียนก็จะสะดุดตาอย่างยิ่งภายใต้ม่านรัตติกาล
ยามนั้นก็เป็นไปได้ว่า บริเวณที่เกิดสงครามจะดึงดูดการมาเยือนของนักเรียนคนอื่น จากนั้นก็จะเป็นการต่อสู้แบบลูกโซ่อันตื่นตาตื่นใจ
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว…
ตูม!
จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดแว่วมา จากบริเวณไม่ไกลจากที่อันหลินทำสมาธิ
เปลวไฟเป็นเหมือนไฟถนนที่ส่องสว่างที่สุดในค่ำคืนอันมืดมน ป่าวประกาศว่าเริ่มมีสงครามเกิดขึ้นที่นี่แล้ว
อันหลินลืมตาขึ้น ใบหน้าเปี่ยมด้วยความฮึกเหิม
ตอนนี้พละกำลังที่เขาใช้ไปวันนี้ได้รับการฟื้นฟูเกือบจะทั้งหมด ได้เวลาเคลื่อนไหวแล้ว!
อันหลินมุ่งหน้ามาที่จุดเกิดเหตุ บัดนี้เข้าสู่ช่วงท้ายของสงครามแล้ว
ชายสะบักสะบอมคนหนึ่งล้มลงไป เนื้อตัวเปล่งแสงทองคุ้มกัน ข้างกายเขามีสุนัขสีขาวอีกตัว
“จ้าวหวายหยิน!” เมื่ออันหลินเห็นเขา ก็เอ่ยปากด้วยสีหน้าตะลึง
คนที่ล้มลงไปคือจ้าวหวายหยินนั่นเอง แม้เขาจะถูกต่อยตีจนจำหน้าไม่ได้แล้ว แต่สุนัขข้างๆ เขาจำง่ายยิ่งนัก!
เมื่อจ้าวหวายหยินเห็นอันหลิน ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เขาไม่คิดว่าอันหลินที่ถูกชายฉกรรจ์หลายคนปิดล้อม จะรอดพ้นจากวิกฤต! แถมยังอยู่รอดมาถึงวันที่สองอีกด้วย!
“อันหลิน เจ้าต้องอยู่ต่อไปนะ ศัตรูน่ากลัวนัก สหายคนนี้ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว!” จ้าวหวายหยินร่ำลาน้ำตาคลอเบ้า อันตรธานหายไปในแสงทอง
อันหลิน “…”
ภาพที่จ้าวหวายหยินวิ่งหนีฝุ่นตลบในวันนั้น จนตอนนี้ยังจำได้ติดตา
อันหลินรู้ว่า หากจ้าวหวายหยินยังมีชีวิตอยู่ เขาจะยังเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุดแน่นอนอยู่ดี
“โฮ่งๆ!” ต้าไป๋พุ่งออกไปหาชายฝั่งตรงข้ามอย่างโกรธแค้น
มันอ้าปาก กระโดดขึ้นสูง กระโจนใส่ผู้ชายคนนั้น
ในช่วงเวลาคับขัน ต้าไป๋ยังคงมีความภักดี เจ้านายถูกจัดการ สัตว์เลี้ยงจึงแก้แค้นเอาคืน!
จากนั้นมันก็ถูกชายคนนั้นเตะจนลอยโด่งร่วมร้อยหมี่ ร่างของมันลอยไปชนกับหินก้อนใหญ่ราวกับกระสุนปืนใหญ่ ก้อนหินแตกละเอียด
“หึ มีปัญญาแค่นี้ยังคิดจะฉวยโอกาสโจมตีข้า ต่อให้ข้าจะบาดเจ็บ ก็เป็นถึงคนที่มีกายแห่งมรรคขั้นสิบ!” ชายหนุ่มทำหน้าเย้ยหยัน ถ่มเลือดออกมา
อันหลินเพ่งมอง ชายตรงหน้าคนนี้เต็มไปด้วยบาดแผล แต่ลมปราณกลับมหาศาล เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่จ้าวหวายหยินจะต่อกรได้
ท่าทางจะเกิดสงครามขึ้นที่นี่ ก่อนที่จ้าวหวายหยินจะมาถึงแล้ว
หลังสงครามสิ้นสุด จ้าวหวายหยินคงคิดจะซ้ำมีด กลับคาดไม่ถึงว่าชายที่บาดเจ็บคนนี้ ยังคงแข็งแกร่งเช่นเดิม จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
อันหลินวิ่งเข้าไปตรวจดูอาการของต้าไป๋
ลมหายใจของต้าไป๋โรยแรง ร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผล ดูท่าทางจะขยับตัวไม่ได้เสียแล้ว
ลงมือได้โหดเหี้ยมนัก…อีกอย่างต้าไป๋ไม่มียันต์ประเมินผลการรบเสียด้วย หากไม่ใช่เพราะร่างกายของมันค่อนข้างพิเศษ ไม่แน่เมื่อครู่อาจจะคร่าชีวิตของมันไปแล้วก็ได้!
ชายคนนั้นเดินเข้ามาช้าๆ เมื่อเห็นอันหลิน ก็แสยะยิ้มมุมปาก “หลีกไป รอข้าเชือดหมาตัวนี้ก่อน ค่อยมาจัดการเจ้า!”
อันหลินสูดหายใจเข้าลึก ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ ยืนขวางอยู่หน้าต้าไป๋นิ่ง
ชายหนุ่มเห็นฉากนี้เข้า ก็ออกอาการชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ฉีกยิ้มอำมหิตออกมา “ได้ ในเมื่อเจ้าอยากตายไว เช่นนั้นข้าก็จะสงเคราะห์ให้!”
“อันหลิน ปีหนึ่งห้องหนึ่ง ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!” น้ำเสียงของอันหลินเย็นเยียบ พูดขึ้นมานิ่งๆ
“อ๋อ เจ้าคืออันหลิน ‘เด็กเส้นที่เส้นใหญ่ที่สุด’ คนนั้นเองหรือ”
ชายหนุ่มฮึกเหิมขึ้นมาโดยพลัน ประเมินอันหลินที่อยู่ตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า พยักหน้าเล็กน้อย “อืม ไม่ได้เหลาะแหละอย่างที่เล่าลือกัน อย่างน้อยเจ้าก็มีความกล้าจะเผชิญหน้ากับข้า”
อันหลินแสยะยิ้ม “ข้าไม่ใช่แค่กล้าเผชิญหน้ากับเจ้านะ ข้ายังทำให้เจ้ากลับไปอยู่ท้องแม่ได้ด้วย”
ไม่พูดไม่ได้ว่า วิธียั่วยุของเขานั้นเยี่ยมยอดมาก เมื่ออีกฝ่ายได้ยินประโยคนี้ เส้นเลือดก็เต้นตุบๆ ขึ้นมาทันที เกิดโทสะแล้ว
“กล้าดีนี่! จางเฉิน ปีสองห้องหนึ่ง ฝากตัวด้วย!”
สิ้นคำชายคนนั้น พลังทั่วร่างก็เริ่มปะทุออกมา
พลังนั่นเป็นพลังที่มีแรงกดดันมากที่สุด ในบรรดาศัตรูที่อันหลินได้เผชิญหน้ามาจนถึงตอนนี้
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยหมัดสะเทือนขุนเขาออกไปทันที!
กำปั้นสีทองพุ่งไปหาจางเฉิน เขารู้สึกถึงอานุภาพอันน่ากลัวที่แฝงเร้นอยู่ในหมัดสีทอง เกิดความพรั่นพรึงในใจ ล้วงโล่สีชาดออกจากแหวนมิติมากำบังข้างหน้าทันที
ตูม!
อานุภาพของหมัดสีทองปะทุออกมา สะเทือนจางเฉิงจนถอยหลังไปไกลสิบจั้ง ทิ้งรอยลากลึกเป็นทางไว้บนผิวดิน
โล่กำบังสีชาดแตกกระจาย ส่วนมือสองข้างของจางเฉินก็ถูกพลังมหาศาลจากโล่สะเทือนจนง่ามนิ้วฉีกขาด
จางเฉินจ้องอันหลินอย่างจริงจัง ในใจหวาดหวั่นพรั่นพรึง ความน่ากลัวของพลังเซียน เกินกว่าที่เขาจินตนาการเป็นอย่างยิ่ง
อันหลินก็ทำหน้าตกใจเช่นกัน นี่เป็นคนแรกที่สามารถต้านทานหมัดสะเทือนขุนเขาของเขาได้ มันเป็นท่าที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดของเขาเชียวนะ!
แต่เขาไม่ยอมแพ้ คำคมของยอดฝีมือหัวโล้นคนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเขา
บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่หนึ่งหมัดแก้ไขไม่ได้ หากว่ามี งั้นก็สองหมัด!
“หมัดสะเทือนขุนเขา!” อันหลินตะโกนลั่น ปล่อยหมัดออกไปหาจางเฉิน
กำปั้นสีทองหนึ่งจั้งพุ่งออกไปโจมตีจางเฉิง
จางเฉิงหน้าถอดสี “บัดซบ อีกแล้วเหรอ!”
………………………………