บทที่ 34 ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 34

ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์

หลังจากที่ขับไล่บรรยากาศที่ไม่ดีออกไปหมดแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้รับจดหมายมาจากสำนักหมอ: นายน้อยของตระกูลกว๋อกงจิ่งหยางนกเขาไม่ขัน จึงได้ร้องขอรับการรักษา

“ที่ว่าทำไม่ดีก็จะได้รับผลที่ไม่ดีถ้าจะเป็นเรื่องจริงสินะ แล้วเราจะไม่ยินดีกับเรื่องดีๆเช่นนี้ได้อย่างไร?” คนที่นางรังเกียจได้รับผลกรรมไปแล้ว หลินซีเหยียนจึงรู้สึกยินดีอย่างมาก

นางหัวเราะอย่างมีความสุขราวกับเสียงกระดิ่งลม และรอยยิ้มที่สวยงามของนางราวกับดอกพลับพลึงแดงที่ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นต้องหลงใหล

หลินซีเหยียนกลับไปที่ห้องของนางแล้วเขียนจดหมายจากนั้นก็ให้นกที่อยู่ที่ไหล่ของนางที่ชื่อเสี่ยวฮุยนำกลับไป

หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนางก็นั่งลงที่ม้านั่งและหลับตาที่ราวกับหงส์ไฟของนางและหลับสักงีบ ตั้งแต่ที่นางกลับมาที่เมืองหลวงนี้นางยังไม่เคยได้หลับอย่างเต็มอิ่มเลย

ในคราวนี้หลินซีเหยียนหลับไปลึกพอสมควร พอนางตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาค่ำแล้ว

“คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินอวี้ได้จัดงานเลี้ยงในครอบครัวขึ้นและอยากให้คุณหนูไปเข้าร่วมด้วยเจ้าค่ะ” จิ่งชุนที่พยายามเรียกด้วยเสียงเบาๆ เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนนาง

หลินซีเหยียนที่กะพริบตารัวๆเพื่อทำให้การมองเห็นของนางแจ่มชัดขึ้นมา แล้วพอได้ยินที่จิ่งชุนกล่าวแล้ว นางก็พูดอย่างหงุดหงิด “บอกพวกเขาไปว่า ข้าป่วยอยู่ไม่สามารถออกไปได้”

จิ่งชุนมองไปที่คุณหนูของนางที่ทำตัวเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆแล้วก็ได้เม้มปากแล้วพูดโต้แย้งนาง “ฮูหยินอวี้เป็นคนที่ยากจะหยั่งถึง ข้าน้อยเกรงว่านางอาจจะพูดว่าร้ายคุณหนูต่อหน้าท่านมหาเสนาบดีก็ได้นะเจ้าคะ”

หลินซีเหยียนถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินคำว่าพูดว่าร้าย เมื่อก่อนนางเคยโดนทำเช่นนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว จึงทำให้พ่อของหลินซีเหยียนนั้นดุร้ายกับนางและไม่แม้แต่จะเห็นนางเป็นลูกสาวของเขาเลย

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ตื่นขึ้นมาอย่างเต็มที่ยักคิ้วแล้วกล่าว “ไปเตรียมชุดให้ข้าที ดูตัวที่ดูเก่าๆหน่อยยิ่งดี”

จิ่งชุนที่ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางกำลังคิดอะไรอยู่นั้น แต่นางก็ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แต่จริงๆแล้วนางก็ไม่ได้มองหายากนัก เพราะว่าชุดเก่าๆของหลินซีเหยียนนั้นก็สภาพแย่พอสมควรอยู่แล้ว

เมื่อนางนำไปให้หลินซีเหยียน หลินซีเหยียนเองก็ยังตกใจแล้วทำสายตาเย็นชาขึ้นมาด้วยดวงตาหงส์ไฟของนาง

ณ ตำหนักชิงจู๋ สมาชิกในบ้านของมหาเสนาบดีที่ยากจะได้พบหน้ามารวมตัวกัน ซึ่งในบรรดานั้นมีภรรยาของมหาเสนาบดีหลินสามคนรวมอยู่ด้วย ซึ่งอวี้เหลียนได้ขึ้นเป็นภรรยาหลวงหลังจากที่แม่ของหลินซีเหยียนได้ตายไป

อวี้เหลียนเป็นแม่ของหลินหัวเยว่และหลินเฉิงอวี้ และเป็นบุตรีคนที่สองของบ้านสกุลอวี้ ซึ่งมีชื่อเสียงมากในฐานะ *บุปผารู้ภาษาของมหาเสนาบดีหลิน (*บุปผาหญิงงามที่เฉลียวฉลาด รู้ใจคน)

ส่วนภรรยาคนที่สองคือจางไฉ่เตี๋ย เป็นน้องสาวของรองเสนาบดีพิธีการ เป็นสาวงามที่ทั้งบริสุทธิ์และสง่างาม เป็นคนอ่อนโยนและเก่งเรื่องมารยาท เป็นที่รักใคร่ของทุกคน นางเคยมีลูกชายที่เสียไปตอนอายุได้แค่ 3 ขวบ ตั้งแต่นั้นมานางก็ถือศีลกินเจสวดภาวนาให้ลูกชายของนางที่ตายไปอยู่ตลอด

ภรรยาคนที่สามคือฉินชวง เป็นลูกสาวพ่อค้า มีนิสัยใจคอโหดร้ายและชอบใช้อำนาจ และเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ซึ่งนิสัยต่างกับอวี้เหลียนอย่างมาก นางนั้นไม่ค่อยกินเส้นกันกับ อวี้เหลียนนัก นางนั้นมีทั้งลูกชายและลูกสาว แต่ลูกชายของนางเสียก่อนวัยอันควรตั้งแต่อายุได้แค่ 8 เดือน ส่วนลูกสาวคือ หลินเสวี่ยเหยียน ซึ่งเป็นบุตรีคนที่สามของบ้านมหาเสนาบดี

จริงๆแล้วยังมีลูกชายลึกลับอีกคนในบ้านมหาเสนาบดีนั่นคือ หลินหนานเฟิงที่เป็นลูกของนางโลม ซึ่งควรจะเป็นลูกชายคนโตในบ้านของมหาเสนาบดี แต่เนื่องจากมหาเสนาบดีหลินนั้นไม่ชอบเขามาก หลินซีเหยียนก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?

“ฮูหยินใหญ่ ลูกรองยังไม่มาอีกเหรอเจ้าคะ?” ฮูหยินสามพูดอย่างหมดความอดทน ในความคิดของนางนั้นทิ้งสำรับอาหารไว้ให้หลินซีเหยียนก็ดีถมไปแล้ว ทำไมต้องยุ่งยากมารอทานพร้อมหน้าด้วย

“ฮูหยินสามเจ้าช่วยอดทนหน่อยสิ ไม่เห็นเหรอว่าแม้แต่ท่านพี่เองก็ยังอดทนรอเลยนะ” ฮูหยินใหญ่อวี้เผยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง

ฮูหยินสามนั้นอยู่ในจวนของมหาเสนาบดีมานานแล้ว นางย่อมรู้ดีถึงพลังของการทำคิ้วต่ำและรอยยิ้มเช่นนี้ของผู้หญิงคนนี้ดี นางจึงได้ยิ้มตอบแบบเดียวกัน “อย่างที่ฮูหยินใหญ่ว่า ข้าเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร แต่ข้าแค่คิดว่านังเด็กคนนั้นทำให้ท่านพี่ต้องมารอเช่นนี้ ช่างนิสัยแย่ยิ่งนัก”

มหาเสนาบดีหลินนั้นเป็นคนให้ความสำคัญกับหน้าของตัวเองมาก จากเรื่องเสียหายของหลินหัวเยว่ที่เผยแพร่ออกไปนั้น ทำให้เขาต้องอยู่แต่กับบ้านก็แย่พออยู่แล้ว

พอมาได้ยินที่ภรรยาคนที่สามพูดอีก มหาเสนาบดีหลินก็หน้าเสียมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาที่เป็นถึงมหาเสนาบดีกลับต้องมารอลูกสาวเช่นนี้ ช่างรู้สึกตกต่ำยิ่งนัก

“พอเถอะ ไม่ต้องรอแล้วกินกันก่อนเลย!” มหาเสนาบดีหลินพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปิดบัง ใครได้ยินก็รู้ว่าเขากำลังหงุดหงิด

มองดูเขาที่กำลังจะขยับตะเกียบ ฮูหยินอวี้ก็ได้รีบห้าม “ท่านพี่อย่าเพิ่งรีบโกรธไปเลยเจ้าค่ะ บางทีลูกรองอาจจะมาช้าเพราะเหตุผลบางอย่างก็ได้นะเจ้าคะ”

หลังจากที่นางพูดจบ นางก็ได้เอนตัวไปหามหาเสนาบดีหลินแล้วพูดกระซิบกระซาบ “เรื่องของ 3,000 ตำลึงทองนั้น บางทีพวกเราอาจจะยังตกลงดีๆกับนางก็ได้นะเจ้าคะ”

คำพูดนี้ทำให้เขาคิดได้ขึ้นมา และมหาเสนาบดีหลินเองก็ได้ทำตามฮูหยินอวี้มาโดยตลอดจนสามารถไต่ข้ามศัตรูคู่แข่งของเขามาได้โดยตลอด “ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะรออีกหน่อยก็ได้”

แล้วผู้คนในตำหนักชิงจู๋นั้นต่างก็พากันคิดเรื่องของตัวเอง โดยที่พวกเขาไม่ทันได้รู้สึกตัวเลยว่ามีคนมารออยู่ที่หน้าประตูตำหนักอยู่พักใหญ่ๆแล้ว และมองดูบรรยากาศที่เงียบสงบนี้อย่างประชดประชัน

แล้วก็ได้กระแอมบอกกับทุกคนว่านางมาถึงแล้วอย่างช่วยไม่ได้

“เหยียนเอ๋อเจ้ามาแล้วหรือ” ฮูหยินอวี้พูดขึ้นมาอย่างสนิทสนมและคุ้นเคย แต่แล้วนางก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชุดของหลินซีเหยียน

ในเวลานี้หลินซีเหยียนนั้นสวมชุดเก่าๆขาดๆ อีกทั้งยังแต่งตัวให้ดูโทรมๆ หลินซีเหยียนจงใจทำให้นางต้องอับอายหรืออย่างไร?

คนแรกที่อดทนไม่ไหวก่อนก็คือมหาเสนาบดีหลิน ที่ลุกขึ้นมาด้วยความโกรธแล้วชี้ไปที่หลินซีเหยียนแล้วตะโกน “มีงานเลี้ยงในครอบครัวทั้งที แล้วสารรูปของเจ้าที่แต่งตัวมานี่มันอะไรกัน?”

หลินซีเหยียนก็ได้ทำให้หูหนวกต่อเสียงตะโกนของเขา แล้วเดินไปและนั่งลงยังที่นั่งของตัวเอง จากนั้นก็ได้หันไปมองมหาเสนาบดีหลินแล้วกล่าว “นี่ข้าแต่งตัวไม่เรียบร้อยงั้นเหรอ?”

“แล้วเจ้าไม่คิดเช่นนั้นเหรอ?” มหาเสนาบดีหลินที่ได้รับคำแนะนำมาจากฮูหยินอวี้ก็ได้พยายามระงับอารมณ์โกรธของเขา

“หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มกริ่ม “แน่นอนว่าข้าไม่คิดเช่นนั้น ก็เพราะว่าชุดนี้เป็นชุดเดียวที่ข้ามีในจวนมหาเสนาบดีแห่งนี้”

“เป็นไปไม่ได้” ก่อนที่มหาเสนาบดีหลินจะทันได้พูดอะไร ฮูหยินอวี้ก็ได้พูดออกมาก่อน “เยว่เอ๋อก็ใจดีให้ชุดเจ้าไปตั้งมากมายแล้วนี่”

“อ้อ ข้าจำได้แล้ว” หลินซีเหยียนก็ได้ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วกล่าวอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ “ชุดที่หลินหัวเยว่ให้ข้านั้นถึงจะเก่าแต่ก็เป็นผ้าเนื้อดีอยู่”

หลินซีเหยียนที่ตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้ ฮูหยินอวี้ตกใจ แต่นางก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปรกติอยู่

แล้วหลินซีเหยียนก็ได้พูดต่อ “ไม่แปลกใจเลยที่ชอบมีสาวใช้ชอบมาขโมยชุดของข้าไปตลอดเลยตอนนั้น”

ฮูหยินอวี้จึงได้รีบแกล้งทำเป็นโมโห เพราะนางนึกขึ้นได้ว่าเป็นนางเองที่ใช้ให้สาวใช้ของนาง อย่าทำให้หลินซีเหยียนนั้นมีชีวิตที่สุขสบาย แต่นางก็ไม่เคยบอกให้ใครรู้เรื่องนี้เลย เพราะนางนั้นเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและใจกว้างต่อหน้ามหาเสนาบดีหลินมาโดยตลอด

นางจึงได้พยายามอย่างสุดฤทธิ์ในการทำเป็นพูดอย่างชิงชัง “ทำไมเหยียนเอ๋อถึงไม่บอกข้า? ถ้าข้ารู้ข้าจะจัดการลงโทษข้ารับใช้เลวๆพวกนั้นอย่างสาสม”

หลินซีเหยียนก็ทำหน้าเหมือนสับสนทำอะไรไม่ถูก “แต่พวกเขาบอกว่าเป็นคำสั่งของฮูหยินใหญ่ที่ให้มาทำให้ข้าลำบากนะเจ้าคะ?”

มหาเสนาบดีหลินก็ได้จ้องไปที่ทั้งสองคนนั้นอย่างสงสัย ถึงแม้ว่าเขานั้นไม่เคยคิดที่จะลงโทษฮูหยินอวี้ และเขาก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้

ฮูหยินอวี้จึงได้ตบมือแล้วลุกขึ้นยืน สีหน้าของนางแดงด้วยความโกรธ ราวกับว่านางกำลังโมโหอย่างสุดๆ “ใครกันที่กล้าปรักปรำข้า? บอกข้ามาข้าจะไม่เอามันไว้”

“น่าเสียดายนะที่เรื่องนี้ใครเป็นคนผิดเป็นคนถูกก็ไม่รู้ ไม่มีหลักฐานเลยเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัวพูดอย่างผิดหวัง