บทที่ 32 สหายร่วมเป็นร่วมตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ท่านน้าไป๋ได้ยินคำสนทนาของพวกเขาแต่ไกล เสียงแค่นี้ปิดบังหูของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานไม่ได้ เพียงแต่คนเหล่านี้เป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน อย่างไรก็ต้องไว้หน้าบ้าง

“กิ๊ง” นางดีดนิ้วเบาๆ ได้ยินเสียงโลหะแหวกนภากว้าง แสงสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนลอยไปทางคนของสำนักเฉวียนเซียน

ทุกคนไม่มีปฏิกิริยา ติงจี้ เสวี่ยเหนียงจื่อ และหลี่เอ้อร์เกินถูกโจมตี ไม่รู้ว่าสิ่งที่ท่านน้าไป๋ปล่อยออกมาคืออะไร คนทั้งสามรู้สึกมีบางอย่างเคลื่อนไปทั่วร่าง บริเวณที่มันเคลื่อนผ่านทั้งร้อนทั้งเจ็บ ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่ามีสิ่งที่เค็มคาวพลุ่งขึ้น โลหิตสดพ่นออกมาจากปาก

“หอสาวงามให้พวกเจ้าเหยียดหยามได้ตามใจชอบหรือ วันนี้เห็นแก่หน้าของสำนักเฉวียนเซียน จะละเว้นชีวิตพวกเจ้าสักครั้ง ครั้งหน้าหากให้ข้าเห็นพวกเจ้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะเอาชีวิตน้อยๆ ของพวกเจ้าเสีย” ท่านน้าไป๋ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง เอ่ยเตือนเสียงเข้มงวด แผ่พลังกดดันออกมาดุจคลื่น ทำให้ลมปราณของทุกคนติดขัด

อู๋เฮ่าคงไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแต่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบนิ่ง เขาไม่อยากเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อคนไม่มีสมองเหล่านี้ เขาเป็นหัวหน้า ไม่ใช่บิดา นอกจากพาพวกเขาทำภารกิจก็ไม่มีหน้าที่อื่น

สมาชิกที่เหลือต่างก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา ไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัว มีเพียงเฟยเทียนหลงโอบกอดเสวี่ยเหนียงจื่อจับจ้องท่านน้าไป๋อย่างเดือดดาล ทว่าไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น

ท่านน้าไป๋กวาดตามองดู แล้วโยนกระเป๋าเก็บของลงบนพื้น เอ่ยเสียงขึ้นจมูก “เรื่องนี้พวกเราจะแจ้งเบื้องบนของสำนักเฉวียนเซียน สำนักเฉวียนเซียนน่าจะควบคุมคนในสำนักให้ดีๆ ไม่มีกฎระเบียบสักนิด”

เอ่ยจบนางก็ใช้มือดูดแสงสีขาวหลายสายออกจากร่างคนทั้งสามให้ลอยกลับมาอยู่ในมือนาง ไม่รอให้ทุกคนเห็นว่าแสงสีขาวคืออะไร ท่านน้าไป๋ก็เก็บมือกลับ แล้วเหินร่างขี่อาวุธเวทแหวกนภาไป พอนางไป พลังกดดันที่กดดันบนร่างของทุกคนก็สลายไป ทุกคนโล่งอก ถึงแม้พวกเสวี่ยเหนียงจื่อสามคนจะได้รับความลำบาก ทว่าก็นับว่ารักษาชีวิตไว้ได้ ถึงในใจจะไม่ยินยอม ทว่าสู้ความแข็งแกร่งของผู้อื่นไม่ได้ ก็ได้แต่กลืนฟันที่หักของตนเองลงไป[1]

ไม่รู้ว่าในใจของผู้อื่นคิดอย่างไร หากจินเฟยเหยามองไม่ผิด ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนี้เป็นบ่าวของผู้อื่น คิดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่หยิ่งยโสมาเป็นบ่าวได้ หอสาวงามมีความเป็นมายิ่งใหญ่เพียงใดกันแน่ ทำให้คนสงสัยจริงๆ

จ่ายศิลาวิญญาณแล้ว คนของหอสาวงามก็เริ่มเตรียมนำเต่าเกราะเหล็กไป เห็นบนเรือบินได้โยนเชือกยาวลงมาร้อยเส้น คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดจะเป็นอาวุธเวทชั้นล่างที่ยาวจนสามารถห้อยลงมาจากเรือบินได้ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีชุดขาวหลายสิบคนเหินร่างลงมา พันเต่าเกราะเหล็กไว้กับเชือกยาวอย่างแน่นหนา เมื่อพบกับตัวเต่าที่ยกไม่ขึ้น คนหลายคนนั้นก็ใช้เวทควบคุมวัตถุยกขึ้นแล้วค่อยสวมเชือกเข้าไป

ไม่นานนัก เต่าเกราะเหล็กก็ถูกพันเชือกเรียบร้อย บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีกลับไปบนเรือบินได้ วงเวทบนเรือบินได้ส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา  เต่าเกราะเหล็กถูกดึงห่างจากพื้นดินช้าๆ ตามเรือบินได้ที่บินสูงขึ้น จนบินสูงขึ้นมากพอจึงพาเต่าเกราะเหล็กจากไป

“อยากได้จัง ข้าอยากได้อาวุธเวทบินได้แบบนี้” จินเฟยเหยาสองตาเป็นประกาย อิจฉาอย่างยิ่ง

อู๋เฮ่าคงมองเต่าเกราะเหล็กถูกนำไป เตรียมพาทุกคนกลับ เพื่อค้นหาเต่าเกราะเหล็กตัวนี้ ทุกคนออกมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า เหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ได้เวลากลับสำนักเฉวียนเซียนแล้ว

ตลอดทาง จินเฟยเหยาคำนวณว่าครั้งนี้จะได้ส่วนแบ่งศิลาวิญญาณเท่าใด รางวัลที่ตกลงกันไว้ในตอนแรกคือสองหมื่นศิลาวิญญาณ หัวหน้าได้ส่วนแบ่งหนึ่งในสาม ส่วนที่เหลือจึงแบ่งให้คนอื่นๆ แบบนี้คำนวณแล้ว คนหนึ่งก็ได้ศิลาวิญญาณเพียงหนึ่งพันหนึ่งร้อยกว่าก้อน ส่วนที่หัวหน้าได้มากกว่าของตนเองหกเท่า ชั่วร้ายเกินไปแล้ว

ศิลาวิญญาณช่างหาได้ยากเย็นจริงๆ ครั้งที่แล้วไปภูเขาซวงถ่ากับหวาซียังได้ศิลาวิญญาณมามากกว่านี้เลย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ได้สิ่งที่มีราคาเกือบสี่พันศิลาวิญญาณ นึกถึงไข่แมวบินได้ที่ตนเองวางไว้ในห้อง นางก็รู้สึกเจ็บปวด เพราะไม่รู้ว่าครั้งนี้จะออกมานานเพียงใด นางจึงวางศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนไว้ข้างไข่

นึกถึงสภาพอันยากจนของตนเองในอดีต จินเฟยเหยารู้สึกว่าตนเองในตอนนี้เป็นคนผลาญสมบัติโดยสมบูรณ์คนหนึ่ง

ทุกคนเร่งรุดเดินทางห้าวัน ในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองลั่วเซียน เรือบินได้ของหอสาวงามตั้งแต่ได้รับยันต์เสียงอัสนีจนมาถึงจุดหมายปลายทางใช้เวลารวมทั้งหมดหนึ่งคืน เห็นแบบนั้นนั่นยังไม่ใช่ความเร็วสูงสุดของเรือบินได้นะ จินเฟยเหยาอยากให้ไข่ของแมวบินได้รีบฟักออกมาเร็วๆ นางจะอาศัยการเดินเช่นนี้ไม่ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าชักช้า ทั้งยังไม่สง่างามสักนิด

ในเรือนสี่สิบสี่ อู๋เฮ่าคงแบ่งศิลาวิญญาณให้ทุกคน ถึงจะรู้ดีว่าหัวหน้าต้องได้หนึ่งในสามล่วงหน้า ก็ยังมีหลายคนไม่ค่อยพอใจ เพียงเพราะนี่คือกฎเกณฑ์ของสำนักเฉวียนเซียนดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะกล่าว

ทว่ามีคนผู้หนึ่งไม่คิดเช่นนี้ หลังจากได้ศิลาวิญญาณก็หัวเราะอย่างเย็นชา “เป็นหัวหน้านี่ได้เปรียบจริงๆ เอาไปตั้งหนึ่งในสาม พวกเรามิใช่ว่าไม่ออกแรง กลับได้เล็กน้อยแค่นี้”

เดิมทีทุกคนกำลังจะแยกย้าย พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทุกคนก็หยุดลง มองเขาเหมือนดูละครสนุก จินเฟยเหยายังไม่เคยสนทนากับคนชื่อซานเชียนจื่อคนนี้เลย ถึงจะเคยพบหลายครั้งทว่านางก็ไม่อยากจะสนทนากับเขา ไม่ใช่สาเหตุอื่นใด เพียงเพราะเขาให้ความรู้สึกชั่วร้ายเกินไป

ซานเชียนจื่ออายุเพียงยี่สิบกว่าปี เส้นผมยุ่งเหยิงยาวปกคลุมไหล่ บนใบหน้ามักจะมีเส้นผมปิดบังอยู่กว่าครึ่ง มองเห็นไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเป็นโดยกำเนิดหรือฝึกวิชาอะไร สีผิวขาวซีดอย่างน่ากลัว ดวงตาเรียวยาว มักจะจับจ้องผู้อื่นอย่างอึมครึม คนเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ คนในเรือนสี่สิบสี่ไม่อยากจะคบหาสมาคมกับเขาสักคน

อู๋เฮ่าคงยิ้มบางๆ มองดูเขา “เช่นนั้นสหายเซียนซานคิดจะเอาอย่างไร นี่เป็นกฎเกณฑ์ของสำนักเฉวียนเซียน หากเจ้าไม่ยินยอม สามารถสมัครเข้าประลองคัดเลือกเป็นหัวหน้าได้ตอนเดือนสิบสอง พลังการบำเพ็ญเพียรของสหายเซียนซานถึงขั้นฝึกปราณช่วงปลายแล้ว ย่อมมีคุณสมบัตินี้ ถึงตอนนั้นข้าจะรอเจ้าแน่นอน”

จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตามายังร่างผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายอีกคน “สหายเซียนมู่ ถ้าเจ้าอยากเป็นหัวหน้าด้วย ก็มาได้นะ”

มู่ชิง บุรุษชุดดำ หล่อเหลา สง่างาม และสูงส่ง บุรุษที่หล่อเหล่าและมีระดับที่สุดในเรือนสี่สิบสี่ ไม่ถูกสิ น่าจะเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดในสำนักเฉวียนเซียน หาบุรุษที่มีบุคลิกเช่นเขาได้ไม่มาก ตั้งแต่จินเฟยเหยาเห็นเขาครั้งแรกก็คิดเช่นนี้มาตลอด หากให้บรรดานางปิศาจเฒ่าขั้นหลอมรวมและขั้นกำเนิดใหม่เห็นเขา พวกนางจะแย่งชิงกลับไปโดยไม่สนใจอะไรหรือไม่

“ไม่สนใจ” มู่ชิงเอ่ยตอบอย่างเย็นชา หันกายกลับเข้าห้อง

ซานเชียนจื่อพูดมาประโยคหนึ่ง “เสแสร้ง” แล้วออกจากเรือนไป

พอเห็นไม่มีเรื่องสนุกให้ดู ทุกคนต่างแยกย้าย ควรจะไปทำอะไรก็ไปทำสิ่งนั้น

จินเฟยเหยากลับเข้าเรือน ตรวจสอบไข่แมวบินได้ พบว่าทุกอย่างเป็นปกติก็คิดจะไปอาบน้ำพักผ่อน จึงกลับมาที่ห้องข้าง ยันต์สื่อสารที่หวาซีให้มาเปล่งแสง ไม่ช้าไม่เร็วมาได้จังหวะเหมาะพอดี

เปิดยันต์สื่อสารออก หวาซีนัดพบนางที่ร้านน้ำชาครั้งก่อน เวลาเช้าวันพรุ่งนี้ จินเฟยเหยาพึมพำประโยคหนึ่ง “ดื่มชาอะไรตั้งแต่เช้าตรู่ ต้องนัดไปกินข้าวที่ร้านอาหารจึงถูกต้อง”

วันที่สอง นางจัดแจงตามสบายแล้วมายังร้านน้ำชาที่นัดไว้ ขึ้นชั้นสอง ก็เห็นหวาซีนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในห้องส่วนตัวกำลังมองไปไกลๆ สีหน้าท่าทางอ้างว้างและมีเรื่องในใจ กระทั่งจินเฟยเหยาเดินเข้ามาในห้องยังไม่รู้สึกตัว

จินเฟยเหยาก้าวมาข้างหน้า นั่งลงตรงข้ามเขา “กำลังคิดอะไรอยู่ คิดจะทำร้ายคนอย่างไรอีกใช่หรือไม่?”

“พูดเหลวไหลอะไร ข้าไม่ใช่คนชั่วร้ายสักหน่อย” หวาซีเก็บสายตากลับมา ขมวดคิ้วนิดๆ เอ่ยอย่างไม่พอใจ

“ถ้าเจ้าเป็นคนดี เช่นนั้นบนโลกนี้คงไม่มีคนชั่วแล้ว” จินเฟยเหยารินน้ำชาให้ตนเอง ดื่มเสร็จแล้วจึงเอ่ยถามอย่างเอ้อระเหย “เรียกข้ามามีเรื่องอะไร กำจัดสัตว์ภูติเหล่านั้นทิ้งแล้วใช่หรือไม่?”

“ตุ้บ” หวาซีโยนถุงผ้าลงบนโต๊ะ จากนั้นเอ่ยถามอย่างห่วงใย “แมวบินได้ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ก็ดี ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรชั่วคราว” จินเฟยเหยาตอบพลางหยิบถุงผ้าบนโต๊ะ กลับพบว่าไม่ใช่กระเป๋าเก็บของ

พอเปิดออกดู ด้านในมีศิลาวิญญาณหลายสิบก้อน นางเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าขายกระเป๋าสัตว์ภูติไปอย่างไร คงไม่ได้เอาไว้ใช้เองหรอกนะ”

หวาซีเลื่อนสายตาไปมองนอกหน้าต่าง เอ่ยเบาๆ ว่า “พวกนี้ก็คือเงินที่ใช้สัตว์ภูติเหล่านั้นแลกมา ข้าไม่ได้หยิบไปสักก้อน”

“โกหก ข้าไม่เชื่อว่าสัตว์ปิศาจในตัวนางทั้งหมดจะเป็นขยะ ศิลาวิญญาณไม่กี่สิบก้อนนี้จะซื้อสัตว์ภูติอะไรได้ แม้แต่สัตว์ปิศาจขั้นหนึ่งตัวหนึ่งยังซื้อไม่ได้เลย” จินเฟยเหยาขึ้นเสียง ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ

หวาซีดื่มชา มองนางด้วยท่าทางแบบเจ้าจะรู้อะไร จากนั้นเอ่ยอย่างช้าๆ “สัตว์ภูติ นั่นเป็นเพียงคำเรียกขานของสัตว์ปิศาจหลังจากถูกผู้บำเพ็ญเซียนฝึกสอนจนเชื่อง ร่างเดิมยังเป็นสัตว์ปิศาจ สัตว์ภูติในตัวของอี่ซานทั้งหมดยอมรับเจ้านายตั้งแต่เป็นลูกสัตว์ คนอื่นซื้อไปมันก็ไม่อาจยอมรับเจ้านายอีกได้ ดังนั้นจึงได้แต่ขายเป็นสัตว์ปิศาจธรรมดา อีกทั้งเจ้าก็รู้ สัตว์ปิศาจเหล่านั้นมีความเป็นมาไม่ชัดเจน ร้านสัตว์ภูติที่คุ้นเคยกับสำนักชิงโซ่วมีมากมาย ถ้าถูกจับได้ว่าข้าขายสัตว์ภูติของอี่ซาน ไม่เท่ากับสารภาพออกมาเองหรือ? ดังนั้น ข้าจึงหาร้านสัตว์ภูติที่มีชื่อเสียงดีและไม่เคยสอบถามที่มาเพื่อความปลอดภัย ราคาย่อมต่ำเป็นธรรมดา”

ภายในห้องส่วนตัวติดตั้งวงเวทเก็บเสียง จินเฟยเหยาจึงไม่กลัวถูกคนได้ยินจึงเอ่ยตรงๆ “เจ้าคงไม่ได้ขายแค่ไม่กี่สิบศิลาวิญญาณหรอกนะ เห็นเจ้าเฉลียวฉลาดขนาดนี้ จะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าคงไม่ได้เอาสัตว์ภูติทั้งหมดไปฆ่า จากนั้นเฉือนหนังและกระดูกไปขายร้านวัตถุดิบโดยตรงนะ? จากที่ข้าเดา นับวัตถุดิบดูแล้วอย่างน้อยที่สุดน่าจะมีราคาหลายร้อยศิลาวิญญาณ หรือว่าเจ้ายักยอกเงิน?”

“จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ ถึงข้ายักยอกเงินผู้อื่น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยักยอกเงินเจ้าหรอก หากฐานะของข้าเปิดเผย สำนักชิงโซ่วต้องรู้ว่าเจ้าพูดโกหกแน่นอนและจะมาหาเรื่องเจ้า ตอนนี้เรียกได้ว่าพวกเราเป็นสหายสนิท เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย” หวาซีรีบอธิบาย

“ผู้ใดเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้า สัตว์ปิศาจกินคนตัวนั้นไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย เพื่อให้ได้รางวัลที่ข้าสมควรได้รับ ข้าจึงกลายเป็นคนที่ลงเรือลำเดียวกับเจ้า นี่มันสภาพสังคมอะไรกัน” จินเฟยเหยาทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ “เช่นนั้นเจ้าว่ามา เพราะเหตุใดจึงได้ศิลาวิญญาณแค่นี้”

หวาซีวางถ้วยชาลง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าอยู่ในสำนักชิงโซ่วตั้งแต่เล็กจนโต ตอนมีสัตว์ภูติตัวแรกเพิ่งอายุได้สี่ขวบ ขอเพียงเป็นสัตว์ภูติที่ยอมรับเจ้านายแล้ว ก็จะเริ่มมีสติปัญญา ข้าอยู่กับสัตว์ภูติมาตั้งแต่เล็กจนโต จะหักใจฆ่าสัตว์ภูติไปแลกเงินได้อย่างไร”

“พูดเสียน่าฟัง ตอนเจ้าฆ่าศิษย์น้องซึ่งเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็ก ก็ทำอย่างรวบรัดชัดเจนอย่างยิ่งมิใช่หรือ? หรือว่านางยังสู้สัตว์ภูติไม่กี่ตัวไม่ได้?” จินเฟยเหยาไม่เชื่อคำพูดผีสางของเขาจึงเอ่ยเสียดสี

ไหนเลยจะรู้ คิดไม่ถึงว่าหวาซีจะตอบอย่างจริงจัง “ใช่ นางเป็นเพียงอาหารของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเท่านั้น จะนำมาเปรียบเทียบกับสัตว์ภูติที่น่ารักและเฉลียวฉลาดได้อย่างไร”