บทที่ 629 ไม่ชอบหน้าฉัน แต่ก็สู้ฉันไม่ได้ โดย Ink Stone_Fantasy
สวี่ซูหานค่อยๆ ถอยออกไปด้านข้าง ซึ่งด้านหลังของเธอคือตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่ง
เธอก้าวถอยหลัง พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกไปทางพวกหลิงม่อเบาๆ
“ลาก่อน” เธอพูด พร้อมยกมุมปากยิ้มให้พวกเขา
เพียงแต่รอยยิ้มนั้นดูทั้งขมขื่น และจำใจ
ถึงแม้จะเป็นเส้นทางสู่การอยู่รอดเหมือนกัน แต่ทิศทางที่แต่ละคนเดินไปมักแตกต่างกันเสมอ
และสำหรับสวี่ซูหาน เธอไม่อาจเดินเส้นทางเดิมอีกต่อไปแล้ว
“พี่หลิง” ซย่าน่าหันมามองหลิงม่อ แล้วถามอย่างสงสัย “พี่เป็นอะไรไป?”
“หา?” หลิงม่อได้สติ เขาส่ายหัวแล้วบอกว่า “เปล่า แค่นึกถึงคนบางกลุ่มแล้วก็เรื่องราวบางเรื่อง…”
“อย่างนั้นหรอ…” ซย่าน่าเหมือนจะไม่เข้าใจ ทว่าเธอก็ยังรู้สึกได้ว่า ดวงตาของหลิงม่อคู่นั้นผิดปกติไปจากเดิม
ท่ามกลางความลึกล้ำและประกายเจิดจ้าในดวงตาคู่นั้น เหมือนมีบางสิ่งแฝงอยู่รางๆ
“ความรู้สึกของมนุษย์ ช่างซับซ้อนจริงๆ…” เธอพึมพำกับตัวเอง
ขณะเดียวกับที่มองสวี่ซูหานจากไป พลังจิตของหลิงม่อก็กำลังจดจ่ออยู่ที่เฉินเล่อ
ทว่าเด็กหนุ่มคนนี้กลับไม่ได้เคลื่อนไหวผิดปกติแต่อย่างใด เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นเหมือนเดิม ยืนจ้องสวี่ซูหานพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
แต่ในตอนที่สวี่ซูหานถอยเข้าไปในตรอกเต็มตัว และกำลังเตรียมจะหันหลังไป ทันใดนั้น หลิงม่อกลับสัมผัสได้ถึงความเย็นชาในดวงตาของเฉินเล่อ
เขาหัวใจกระตุกวูบ พลันตะโกนออกไปทันที “ระวัง!”
ขณะเดียวกัน เงาร่างดำเงาหนึ่งกระโดดลงมาจากตึกเล็กๆ ด้านข้าง แล้วทิ้งตัวลงด้านหน้าของสวี่ซูหานดัง “ปึง”
ถึงแม้สวี่ซูหานจะได้ยินเสียงตะโกนเตือนของหลิงม่อแล้ว แต่กลับตั้งตัวรับมือไม่ทันเลยแม้แต่น้อย
เสี้ยววินาทีที่เงาร่างดำนั้นทิ้งตัวลงพื้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีมือข้างหนึ่งบีบลำคอของตัวเองไว้แน่น จากนั้นเท้าของเธอก็ลอยขึ้นเหนือพื้น ร่างทั้งร่างพลันถูกโยนออกไปด้านหลังอย่างแรงทันที
เคลื่อนไหวเร็วเกินไปแล้ว!
เวลานี้หนวดสัมผัสทางจิตที่ถูกควบคุมโดยจิตของหลิงม่อได้พุ่งเข้าไปใกล้เงาร่างดำแล้ว แต่เงาร่างดำกลับรู้ตัวและโฉบร่างหลบไปด้านข้างอย่างว่องไว
หลิงม่อกัดฟันกรอด หนวดสัมผัสเส้นนั้นพลันหักเลี้ยวด้วยความเร็วสูงพุ่งตามร่างสวี่ซูหานที่ปลิวออกไป และดึงตัวเธอกลับมาก่อนที่ร่างกายจะกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลัง
วินาทีที่หนวดสัมผัสโดนตัวสวี่ซูหาน หลิงม่อรู้สึกได้ถึงพละกำลังอันมหาศาลปะทะเข้ากับตัวเองอย่างแรง ความเจ็บปวดเข้าเล่นงานที่ขมับทันที
“สัตว์ประหลาดชนิดไหนอีกละเนี่ย!”
หลิงม่อหน้าเปลี่ยนสีอย่างควบคุมไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาตอบสนองทันเวลา ป่านนี้หนวดสัมผัสคงจะถูกโจมตีจนแตกซ่านไปตั้งแต่ที่โดนตัวสวี่ซูหานแล้ว
อาศัยแค่พละกำลังจากเนื้อกายก็สามารถทำได้ขนาดนี้แล้ว แม้แต่ซอมบี้เจ้าเมืองสองตัวเมื่อกี้เมื่อเทียบกับเงาร่างดำนี้ ก็ยังด้อยกว่าหนึ่งขั้น
“พรึ่บ!”
หลิงม่อยื่นแขนออกไปรับตัวสวี่ซูหานที่ถูกหนวดสัมผัสดึงตัวกลับมาได้ แล้วถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ทว่าเพิ่งจะถามออกไป หลิงม่อก็ต้องอึ้งค้างไป
เวลาเพียงชั่วพริบตา สวี่ซูหานที่เมื่อกี้ยังมีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่กลับเปลี่ยนไปจนมีสภาพเป็นอย่างนี้…
เธอเบิกตากว้าง ริมฝีปากบางอ้าออกเล็กน้อย เสียงไอเบาๆ ถูกเปล่งออกมาจากลำคอ
และบนคอของเธอก็มีรูแผลปรากฏขึ้นมาห้ารู เลือดสดๆ กำลังไหลทะลักออกมาจากรูแผลเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง
อาศัยแค่ความลึกของแผลระดับนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ แต่กลิ่นเชื้อไวรัสอันคุ้นเคยนั่น กลับทำให้สีหน้าของหลิงม่อย่ำแย่สุดขีด
เขาหันไปมอง พบว่าเงาร่างดำนั้นกำลังค่อยๆ เดินออกมาจากความมืด มือขวาทิ้งลงข้างลำตัว หยดเลือดกำลังไหลลู่ไปตามนิ้วมือของเขาลงสู่พื้น
“ฉัน…” สวี่ซูหานพูดเสียงเบาอย่างยากลำบาก เธอมองหลิงม่อ ราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างชัดเจนแล้ว ขอบตาเริ่มแดงรื้นเรื่อยๆ
“ฉัน…ฉันไม่อยาก…” พูดยังไม่ทันจบ น้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างเป็นทาง
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” หลิงม่อรีบบอก
สวี่ซูหานมองหลิงม่ออย่างเหม่อลอย ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้อีก
“เอาก้อนเหนียวหนืดให้เธอกิน” หลิงม่อลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งสวี่ซูหานที่ตัวอ่อนไปทั้งตัวให้ซย่าน่าที่ยืนอยู่ข้างๆ
เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมตัวเองถึงได้ตัดสินใจทำอย่างนี้ บางทีอาจเป็นเพราะไม่อยากเห็นเธอตายไปต่อหน้าต่อตาก็ได้ กลิ่นเชื้อไวรัสจากตัวเธอแรงมาก แตกต่างกับกลิ่นเชื้อไวรัสจากตัวซอมบี้ธรรมดาราวฟ้ากับเหว หากเป็นอย่างนี้เธอไม่เพียงแต่จะติดเชื้อ แต่จะตายอย่างน่าอนาถยิ่งกว่า
ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะเป็นทั้งเพื่อนและศัตรูกัน แต่เพราะการตัดสินของเธอเมื่อกี้ หลิงม่อไม่อาจนิ่งดูดายได้
ซย่าน่าเองก็เงยหน้ามองหลิงม่ออย่างฉงนเล็กน้อย จากนั้นก็กระเถิบเข้าไปดมดู “ไม่ใช่เชื้อไวรัสธรรมดา…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดูเธอไว้ก่อน” หลิงม่อพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไป
ตั้งแต่ติดเชื้อจนเริ่มทำงาน ใช้ระยะเวลาประมาณยี่สิบนาที…
เวลานี้ดวงตาของหลิงม่อพลันแปรเปลี่ยนเป็นแน่นิ่งขึ้นมาทันที และยังเปล่งกระกายยิ่งกว่าเมื่อกี้
เงาร่างดำนั้นเองก็เพิ่งจะเดินออกจากเงาสิ่งก่อสร้าง และเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาให้เห็นพอดี
ถึงจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ตอนที่เห็น หลิงม่อก็ยังคงตกใจอยู่ดี
เดิมทีเขานึกว่าคงจะเป็นซอมบี้ระดับสูงตัวหนึ่ง แต่นั่น…กลับดูเหมือนคนมากกว่า…
อายุประมาณ 30 ปี เพศชาย หุ่นกำยำสมส่วน กล้ามเนื้อแน่นสมบูรณ์ ซ้ำยังสวมชุดกีฬาไว้อีกด้วย
ยอกจากดวงจาสีแดงเลือดตู่นั้นแล้ว เขาดูไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
แต่ดวงตาของเขานอกจากสีตาที่ดูผิดปกติแล้ว สายตากลับดูต่างออกไปจากซอมบี้มาก
สายตาของซอมบี้ยามที่เผชิญหน้ากับมนุษย์ มักเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและความดุร้าย เหมือนกำลังประเมินมดตัวหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังจดจ้องอาหารเลิศรส
แต่สายตาที่เขามองพวกหลิงม่อ กลับเหม่อลอยไร้จุดหมายมาก…
อาการนี้ค่อนข้างเหมือนอาการของหุ่นซอมบี้ที่ถูกหลิงม่อควบคุม แต่หลังจากที่หลิงม่อใช้พลังสำรวจทางจิต เขากลับยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม
ดูจากดวงแสงแห่งจิตที่รวนมากนั่นแล้ว เขาน่าจะเป็นซอมบี้ไม่ผิดแน่
แต่พลังจิตอันแข็งแกร่งนั่น กลับมีแค่มนุษย์เท่านั้นที่จะมีได้
ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ เกรงว่าคงต้องใช้คำว่า “มัน” มาเรียกสิ่งมีชีวิตประเภทนี้อย่างช่วยไม่ได้แล้ว
“นั่นมันอะไร…” มู่เฉินที่ตะลึงค้างไปได้สติกลับคืนมาในที่สุด เขาพูดตะกุกตะกักออกมาเบาๆ
เขามองสวี่ซูหานที่นอนพิงอยู่ในอ้อมอกของซย่าน่า ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
เรื่องราวทั้งหมดเมื่อกี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาแทบจะมองตามไม่ทันด้วยซ้ำ
ทว่าลำคอที่เต็มไปด้วยคราบเลือดของสวี่ซูหาน กลับเป็นตัวบ่งบอกทุกอย่างอย่างชัดเจน
และในเวลานี้ เฉินเล่อก็ไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายสัตว์ประหลาดตัวนั้น และกำลังมองพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
สีหน้าของมู่เฉินและหลิงม่อ เหมือนจะทำให้เขาพอใจมาก
“แก…แม่งเอ๊ย…” มู่เฉินดวงตาแดงก่ำ พลางคำรามเสียงต่ำอย่างไม่เป็นภาษา
“ชู่ว เดี๋ยวซอมบี้ได้ยินเข้าจะไม่ดีนะ อย่าตื่นตูมนักสิ…” เฉินเล่อยิ้มหวานพลางนกนิ้วขึ้นแตะปาก แล้วบอกว่า “ก็เธอรนหาที่เอง คนระดับผมจะจัดการคนทรยศซักคนสองคน ไม่น่าจะมีปัญหานี่เนอะ?”
“เธอไม่ได้ทรยศนิพพาน!” มู่เฉินเค้นเสียงรอดไรฟัน
“อืออ…” เฉินเล่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “มาตีตัวออกห่างนิพพานในเวลาอย่างนี้ แตกต่างอะไรกับทรยศล่ะ? ผมให้โอกาสเธอแล้ว แต่เป็นเธอที่เลือกฝ่ายผิดเอง เลือกทางเดินผิดเอง อย่างนี้เขาเรียกว่าเลือกทางเดินผิดคิดจนตัวตาย แล้วยังไงต่อล่ะ คุณจะเลือกยังไง?”
เขากำมือ แล้วมองมู่เฉินอย่างลุ้นๆ
“แก…” มู่เฉินกระชับด้ามมีดแน่น เส้นเอ็นบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมา “ตีตัวออกห่างแล้วยังไง? ที่ผ่านมาเธอเอาชีวิตไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อนิพพานมาโดยตลอด แกคิดจะฆ่าก็ฆ่าได้เลยหรอ?!”
“ที่เธอทำไปก็เพื่อตัวเองหรือเปล่า? ถ้าคุณเลือกผิด ผมก็ฆ่าคุณเหมือนกัน”
คำพูดที่ไม่แยแสของเฉินเล่อ ท่าทางไม่ยี่หระของเขา กระตุ้นต่อมโมโหของมู่เฉินอย่างรุนแรง
ตอนนี้เขารู้สึกได้แค่ว่าเลือดกำลังขึ้นหน้า…ช่างหัวเรื่องผลประโยชน์แล้วโว้ย! ฉันจะฆ่าไอ้เด็กบ้านี่ซะ!
พอเห็นสายตาของมู่เฉิน เฉินเล่อก็เข้าใจกระจ่างทันที
ทว่าเขาไม่ได้โมโห กลับยินดีเสียอีก “อืม ผมเข้าใจแล้ว ก็ไม่เลวนะ ผมชอบที่จะเห็นคนแบบคุณคลั่ง คุณไม่ชอบชี้หน้าผม แต่กลับสู้ผมไม่ได้…ฮ่าฮ่า”
“แต่ว่า…”
เฉินเล่อหันไปมองหลิงม่ออีกครั้ง แล้วพูดขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ “คุณร้ายกาจไม่เบาเลยนะ ผมก็นึกว่าจะได้เห็นคนทรยศร่างเละเป็นโจ๊กซะอีก เฮ้อ…แต่ก็ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวค่อยดูก็ได้นี่ ลองเดาดูสิ ถ้าทุกคนกลายสภาพเป็นเนื้อเละๆ ผสมรวมกัน จะยังแยกออกอยู่ไหมว่าใครเป็นใคร?”
พูดไป เขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ราวกับว่ามองเห็นภาพดังกล่าวแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้ “ร่าเริง” แสดงด้านที่โรคจิตออกมาอย่างนี้ มู่เฉินพลันรู้สึกขนลุกชันทันที
“ถ้าไง นายก็ลองกับตัวเองดีไหม?” หลิงม่อตอบพร้อมรอยยิ้มเย็นเยียบ
ความตื่นเต้นในแววตาของเฉินเล่อจางลงเล็กน้อย เขายืนตัวตรง หรี่ตามองหลิงม่อ พลางเชิดคางอย่างท้าทาย “คุณก็ลองดูสิ แต่ขอบอกว่าไว้ก่อนว่าโอกาสช่างริบหรี่…”
“ตึง!”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็ถูกหนวดสัมผัสของหลิงม่อจู่โจมเข้าตรงๆ จนร่างปลิวออกไปด้านหลัง
“เก๊กหาอะไรนักหนาวะ!”
—————————————————————————–