ตอนที่ 18 จุดธูปไหว้พระ

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

หยางหวาถามขึ้นอย่างลังเล “จริงเหรอ? วัดเอกดรรชนีซ่อมใหม่แล้ว? เงินในหมู่บ้านเหรอ?”

“ใครออกเงินผมไม่รู้ แต่ซ่อมใหม่แล้วจริงๆ เดาว่าน่าจะเป็นเศรษฐีสักคนมั้ง…” หยางผิงรีบเบี่ยงประเด็นแล้วคุยโม้เรื่องวัดเอกดรรชนีต่อ

ตอนนี้หยางหวาสับสนแล้วเหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แต่ก็ฟังอย่างมีความหวัง กินข้าวเสร็จจึงกลับบ้านไปบอกกับภรรยา

หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันที่สองยามเช้า ฟางเจิ้งตื่นนอนนานแล้ว หุงข้าวผลึกหนึ่งหม้อ กินอย่างมีความสุข

หากไม่มีความยั่วยวนของข้าวผลึก ฟางเจิ้งคงไม่ตื่นนอนเช้าขนาดนี้ แต่หลังชิมรสชาติของข้าวผลึก พอถึงเวลาเขาก็จะกินทันที ไม่มีอืดอาด

เพียงแต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ฟางเจิ้งไม่พอใจ หมาป่าเดียวดายที่จะออกไปหาอาหารตอนเช้ากลับไม่ออกไปแล้ว แต่นั่งยองเฝ้าอยู่หน้าห้องครัว พอหุงข้าวเสร็จก็จะแลบลิ้น มองฟางเจิ้งอย่างกระหาย หากเขาไม่สนใจมัน มันจะตวัดลิ้น ตวัดจนน้ำลายกระเด็น…จนเขาต้องแบ่งข้าวมันหนึ่งคำถึงไล่มันไปได้

หลังกินข้าวเสร็จ ฟางเจิ้งทำความสะอาดอุโบสถต่อ เช็ดถูพระพุทธรูป เช็ดตะเกียงน้ำมัน นี่คือสิ่งที่ต้องทำทุกวัน

เมื่อเริ่มวันที่สาม ฟางเจิ้งมองประตูใหญ่ว่างเปล่าพลางถอนหายใจ “หนึ่งเดือนธูปสิบดอก เมื่อไหร่จะสำเร็จกันนะ? นี่ก็วันที่สามแล้ว ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีคนมารึเปล่า พวกปู่ถานมาแล้วก็ไม่จุดธูปกันบ้างเลย เฮ้อ”

ชั่วขณะที่ฟางเจิ้งกำลังจดจ่อรอคอย มีเสียงคนดังแว่วมาจากข้างนอก ฟังจากเสียงแล้วเป็นชายหญิง

ฟางเจิ้งตื่นเต้นขึ้นมาทันที เอียงหูตั้งใจฟัง

“หยางหวา คุณบ้าไปแล้วจริงๆ ขนาดโรงพยาบาลใหญ่ยังบอกว่าไม่ได้ แล้วจุดธูปไหว้พระจะมีประโยชน์อะไร? นี่มันสมัยไหนแล้ว คุณยังงมงายอีกเหรอ!”

“ใครบอก? สมัยไหน? ไม่ว่าสมัยไหนก็มีพระพุทธศาสนาไม่ใช่รึไง? วัดก็ยังอยู่นี่? มาถึงหน้าวัดแล้วคุณก็พูดให้น้อยลงหน่อย เดี๋ยวพระโพธิสัตว์ได้ยินเข้าจะลงโทษเอา เดี๋ยวเราสองจะไม่มีหวังจริงๆ ล่ะทีนี้” หยางหวาต่อว่า

หญิงคนนั้นแค่นเสียงขึ้นจมูกสองที “ความหมายฉันคือจะไปไหว้พระก็ไปวัดใหญ่ๆ สิ วัดเอกดรรชนีมีประโยชน์อะไร? หลวงจีนหนึ่งนิ้วมีความสามารถอยู่บ้าง แต่เณรฟางเจิ้งพวกเราเห็นเขามาตั้งแต่เล็กๆ ฉันยังเคยเย็บกางเกงเป้าแตกให้เขาด้วยซ้ำ นอกจากกินเยอะแล้วก็ไม่เห็นมีความสามารถอะไรเลย”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้หยางหวาพี่ชายหยางผิงจะมา รวมถึงตู้เหมยภรรยาหยางหวา เขามีภาพจำต่อตู้เหมยลึกซึ้ง ริมฝีปากคล้ำเล็กน้อย แต่ไม่ใช่คนเลว เป็นคนตรงไปตรงมา…แต่ตอนเขายังเด็กถูกตู้เหมยตีก้นหลายครั้ง พอนึกๆ แล้วก็อยากพบตู้เหมยอีกครั้ง ฟางเจิ้งลูบก้นตัวเองโดยจิตใต้สำนึก กลับรู้สึกเจ็บเล็กน้อย…

ขณะสนทนากัน หยางหวาพาหญิงวัยกลางคนสวมชุดเรียบง่ายเดินเข้ามา หญิงคนนั้นเห็นฟางเจิ้งแล้วจึงยิ้มพูดขึ้น “ฟางเจิ้ง พวกเรามาเยี่ยมแกน่ะ ดูสิว่าฉันเอาอะไรมาให้ด้วย? ไข่ไก่ที่แกชอบกินที่สุดไง! แล้วก็ผักดอง”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย ในถิ่นภูเขากันดารแบบนี้ ไข่ไก่ถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือย ถึงผักดองจะทำมาจากผักกาดขาว แต่เพิ่งเข้าฤดูใบไม้ร่วงจะมีไม่เยอะ ไม่มียาวไปจนถึงฤดูหนาว การเคี่ยวกรำของผักดองในแต่ละมื้อจึงมีความคิดถึงที่ไม่ได้กินมาหนึ่งปี ผักดองจึงกลายเป็นของล้ำค่า ของชั้นยอด!

แต่ว่าฟางเจิ้งก็ยังประนมสองมืออย่างเป็นระเบียบขั้นตอน “ขอบคุณพวกโยมมาก”

“เพียะ!” หัวโล้นฟางเจิ้งถูกตบดังลั่น “พวกโยมอะไร? เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ว ทำมาเป็นพูดภาษาพระกับฉันนะ ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นอะไร แกก็ยังเป็นเจ้าเด็กน้อยที่ฉันเห็นมาตั้งแต่เล็ก พูดถึงเรื่องนี้แล้ว นี่เพิ่งขึ้นเขามานานเท่าไหร่เอง? ทำไมถึงผอมแบบนี้? มา มากินไข่สองใบนี่บำรุงร่างกายก่อน วันนี้แม่ไก่ออกไข่ตอนเช้าพอดี เลยต้มตั้งแต่เช้ามืด…”

ฟางเจิ้งฟังตู้เหมยพูดไม่หยุด แต่กลับไม่โกรธเลย กลับกันเขามีความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่ได้พบกันมานาน ถอนหายใจอยู่ภายใน ‘ความรู้สึกที่มีคนห่วงใยนี่มันดีจริงๆ…’

ตู้เหมยพูดจบ ฟางเจิ้งถึงตอบกลับ “โยมน้า อาตมาบวชแล้ว กินไข่ไก่หรืออาหารคาวไม่ได้”

“ใช่ อุตส่าห์บอกคุณก่อนแล้วนะว่าฟางเจิ้งบวชแล้ว หลวงจีนที่ไหนกินไข่ไก่กัน?” หยางหวาเสริม จากนั้นดึงฟางเจิ้งพลางพูดบ่น “แกคงไม่รู้หรอก พอบอกว่าจะขึ้นเขามาเยี่ยมแก น้าแกแทบจะฆ่าแม่ไก่ในบ้านเราเอามาตุ๋นให้แกกิน ดีนะที่ฉันห้ามไว้ ไม่อย่างนั้นคงสิ้นเปลืองไปแล้ว”

ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน ตู้เหมยดีกับเขาจากใจจริง แต่หยางหวาก็ขี้งกอยู่หน่อยๆ ถึงกระนั้นหยางหวาก็พูดถูก ต่อให้ตุ๋นไก่มาเขาก็กินไม่ได้ เป็นการสิ้นเปลืองไป แม่ไก่ในหมู่บ้านไว้ใช้ออกไข่ ไม่ได้ใช้กิน

ตู้เหมยผลักหยางหวาออก ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง “ฉอดๆๆๆๆๆ คุณว่าไงนะ? เหมือนกับพวกแม่บ้านพวกนั้นไม่มีผิด พูดมากอะไรอยู่ได้? ฟางเจิ้ง จะไม่กินไข่ไก่ที่อร่อยนี่จริงๆ เหรอ?”

ฟางเจิ้งมีสีหน้าขมขื่น เขาไม่ใช่เด็กสามขวบแล้ว ยังจะใช้อุบายนี้อีกเหรอ?

สุดท้ายฟางเจิ้งปฏิเสธ ตู้เหมยจึงไม่พอใจ “อุตส่าห์ลำบากเอามาให้ แต่แกกลับไม่เอา….มันน่าโมโหนัก!”

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็รีบพูดขึ้น “ไม่เอาไข่ไก่ แต่เอาผักดอง! นี่เป็นของดี ไม่ได้กินมานานแล้ว เอาไว้ให้ผมแล้วกัน”

ตู้เหมยยิ้มออก

ฟางเจิ้งเก็บผักดองแล้วถาม “น้า วันนี้ขึ้นเขามามีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” มีเรื่องอะไรไหมฟางเจิ้งได้ยินแล้ว พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้คาดหวังต่อความศักดิ์สิทธิ์ของวัดตัวเองมากนัก

ตู้เหมยตอบ “เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย หลายปีมานี้ไม่มีลูกเลย ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ โรงพยาบาลก็ตรวจดูแล้ว สมุนไพรพื้นบ้านก็ลองแล้ว ไม่มีประโยชน์ เมื่อวานอาหยางแกไม่รู้ถูกลาบ้านไหนเตะหัวเอา บอกว่าให้ขึ้นเขาไปไหว้พระ แกว่าขนาดโรงพยาบาลยังช่วยไม่ได้ แล้วไหว้พระจะมีประโยชน์อะไร? อีกอย่างนะ ต่อให้ไหว้พระ ไปวัดที่มันใหญ่หน่อยก็น่าจะมีประโยชน์บ้าง วัดเล็กของแกนี่ ขนาดที่ใหญ่ๆ ยังไม่ได้ผล แล้วที่เล็กๆ แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร? ไต้ซือวัดใหญ่ล้วนมีความสามารถ แต่ฉันรู้จักแกดี ใส่กางเกงฉันยังรู้เลยว่าตรงก้นแกมีปาน…”

“แหะๆ…” ฟางเจิ้งเก้อเขิน

หยางหวารีบดึงตู้เหมยไปข้างๆ “ฉอดๆๆ พอรึยัง? พูดไม่ดีต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ ตกลงจะไหว้พระหรือเปล่า?”

ตู้เหมยเองก็ตอบกลับอย่างดื้อรั้น “ฉันบ่นกับฟางเจิ้งอยู่ ไม่ได้บ่นใครนี่? ทำไม? ฟางเจิ้งจะโกรธน้าเขาหรือไง? ฟางเจิ้งบอกมาสิว่าโกรธหรือเปล่า?”

ฟางเจิ้งตอบอย่างจำใจ “ไม่โกรธ”

“เห็นไหม ไม่โกรธหรอกใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น ฟางเจิ้งบอกสิว่าน้าพูดมีเหตุผลรึเปล่า?” ตู้เหมยถามต่อ

ฟางเจิ้งส่ายหน้าแล้ว “น้า วัดไม่อยู่ที่ขนาดเล็กใหญ่ หากมีความจริงใจก็จะสัมฤทธิ์ผล ถึงวัดผมจะเล็ก แต่กลับอัศจรรย์ อภินิหารของวัดอยู่ที่ตัวน้า ไม่ได้อยู่ที่ว่าเจ้าอาวาสเป็นใคร หากน้ามีความจริงใจ ไม่ว่ายังไงก็เกิดความอัศจรรย์”

…………………………