ฟีเรนเทียดูผู้คนที่ตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเธอขณะเดียวก็ตั้งใจฉีกยิ้มกว้างสมกับเป็นเด็กให้พวกเขา

 

“จู่ๆ เจ้ามาที่นี่ทำไม”

 

ท่านปู่ย่อกายลงมาหาเธอเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม

 

“ออกมาเดินเล่นกับท่านพ่อน่ะค่ะ! พอเห็นท่านปู่ก็เลยรีบวิ่งมาหาค่ะ!”

 

ตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่มีปู่คนไหนหรอกที่ไม่ชอบใจเวลาหลานบอกว่าวิ่งมาหาตัวเองแถมยังเป็นหลานสาวตัวน้อยที่เป็นคนวิ่งมาหาอีกด้วย

 

นั่นไง มุมปากของท่านปู่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

 

“ขอบใจนะ ฟีเรนเทีย แต่วิ่งแบบนี้มันอันตราย ต่อไปก็ระมัดระวังหน่อยล่ะ”

 

“ค่ะ ท่านปู่”

 

ท่านปู่ลูบหัวเธอ แต่เบเจอร์ที่กำลังไม่พอใจเพราะถูกรบกวนกลับโบกมือไล่ราวกับปัดแมลงวัน และพูดกับเธอ

 

“ผู้ใหญ่เขากำลังทำงานกันอยู่ ไปเล่นไกลๆ โน่น เร็ว!”

 

แต่เธอเมินเบเจอร์ที่ทำท่าแบบนั้น แล้วเอ่ยถามท่านปู่

 

“ว่าแต่ทั้งหมดนี่คืออะไรเหรอคะ ผ้าเหมือนกันหมดเยอะแยะเลยค่ะ!”

 

“นี่เป็นผ้าที่ทำจากพืชที่เรียกว่าโคโรอีน่ะ พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงนี้เขาจะขายของพวกนี้ให้คนอื่นๆ ก็เลยกำลังคุยกันว่ามันจะทำเงินได้หรือเปล่า”

 

“อา อย่างนั้นนี่เอง”

 

ทำเงินอะไรกันล่ะ ธุรกิจนี่มันพังไม่เป็นท่าเลยต่างหากถ้าให้พูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหา มันมีเยอะมาก

 

ท่ามกลางปัญหาทางด้านอุตสาหกรรมโรงงานหลายเรื่อง สุดท้ายกิจการผ้าโคโรอีขนาดใหญ่ก็พังไม่เป็นท่า ส่วนลอมบาร์เดียก็ต้องรับมือกับความสูญเสียจำนวนมหาศาล

 

เธอสามารถเสนอหน้าออกไปพูดมันตอนนี้เลยว่า ‘มันเป็นเพราะโน่นนี่นั่น อย่าเริ่มธุรกิจเลย พับมันเก็บไปตั้งแต่ตอนนี้เถอะค่ะ’ ก็ได้ แต่เรื่องนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่ยังเป็นแค่เด็ก

 

“แฮก แฮก! เทีย! วิ่งมาคนเดียวแบบนี้ได้ยังไง!”

 

มันเป็นหน้าที่ของท่านพ่อของเธอต่างหากล่ะ

 

เธอหันหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ไปหาท่านพ่อพลางเอ่ยพูด

 

“พ่อ! ท่านปู่บอกว่าจะขายผ้าพวกนี้ละ!”

 

“แฮก ฮู่ว! ขออภัยครับท่านพ่อ เทีย พวกผู้ใหญ่เขาคุยกันอยู่ มารบกวนไม่ได้นะ พวกเราไปเดินเล่นทางด้านโน้นกันเถอะ”

 

ท่านพ่อที่ไม่ได้รู้ใจเธอเลยพยายามพาเธอไปอีกด้าน

 

“ดูนี่สิ พ่อ! นี่ทำจากพืชที่เรียกว่าโคโรอีแหละ น่าทึ่งมากเลยค่ะ!”

 

“หืม? โคโรอี?”

 

ดูเหมือนจะสนใจขึ้นมาแล้ว

 

ท่านพ่อหันไปมองรถม้าขนสัมภาระ เริ่มรู้สึกสนใจในผ้าทอที่บอกว่าผลิตจากพืชประเภทวัชพืชอย่างโคโรอี

 

“โฮ่ว นี่คือผ้าที่ทอจากโคโรอีนี่เองสินะครับ เพิ่งเคยเห็นของจริงเป็นครั้งแรก สัมผัสผ้าเนื้อหยาบแบบนี้…”

 

ท่านพ่อที่เผลอคุยฟุ้งด้วยความตื่นเต้น จู่ๆ ก็หน้าแดงก่ำเมื่อตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

 

“ไปกันเถอะ เทีย”

 

จะไปเฉยๆ ไม่ได้นะ!

 

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งที่ช่วยปลดปล่อยความอึดอัดในใจของเธอให้เบาสบายขึ้นในคราวเดียว

 

“เจ้าลองดูสักหน่อยสิ แคลอฮัน”

 

เป็นท่านปู่นั่นเอง

 

เบเจอร์กระสับกระส่ายที่จู่ๆ น้องชายก็ปรากฏตัวขึ้นทำตัวราวกับรู้เรื่องเป็นอย่างดี เธอมองใบหน้าที่ไม่อาจพูดอะไรแทรกได้ ช่างคุ้มค่าที่ได้เห็นดีเหลือเกิน

 

“ข้าเองก็ไม่ได้ทราบอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่ทราบว่าทางตะวันออกได้นำพืชโคโรอีมาผลิตเป็นผ้าตั้งแต่ประมาณเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน วิธีการผลิตเรียบง่าย วัตถุดิบก็หาได้จากภูเขา มันเป็นผ้าทอที่สามัญชนใช้กันน่ะครับ”

 

“สามัญชน?”

 

แต่ปฏิกิริยาของหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักกลับแปลกไปเล็กน้อย

 

พอท่านพ่อเอ่ยว่าผ้าโคโรอีเป็นผ้าที่สามัญชนใช้กันเป็นหลักใบหน้าของเขาก็กระตุก

 

“นี่เป็นผ้าที่พวกสามัญชนใช้อย่างนั้นหรือ”

 

“ครับ เป็นเช่นนั้น…ก็อย่างที่เห็น เนื้อผ้ามันหยาบจึงไม่เหมาะที่จะนำมาตัดเย็บเสื้อผ้าของชนชั้นสูงน่ะครับ”

 

“เหอะ จริงๆ เลย”

 

พอเห็นหัวหน้ากลุ่มการค้าพูดอะไรไม่ออก ท่านปู่ก็เอ่ยถาม

 

“ทำไมหรือ หัวหน้ากลุ่มการค้า”

 

“คนที่แนะนำผ้าทอนี่ให้ข้ารู้จัก มันบอกว่าเป็นผ้าที่สามารถใช้ได้ทั้งสามัญชนทั้งชนชั้นสูงเพราะฉะนั้นถึงได้ตั้งใจว่าจะทำการค้าโดยเน้นเป้าหมายไปที่ชนชั้นสูงน่ะครับ”

 

“เมื่อครู่นี้บอกว่าไปซื้อมาเองไม่ใช่หรือ”

 

“ปะ…เป็นคนที่สนิทกันดีจนไม่ต่างอันใดกับไปซื้อเอง”

 

“ดูเหมือนจะโดนคนที่รู้จักดีที่ว่านั่นหลอกเข้าให้แล้วกระมัง เจ้าน่ะ”

 

ใบหน้าของหัวหน้ากลุ่มการค้าที่ถูกทำให้อับอายขึ้นสีแดงก่ำ

 

“แต่ผ้าทอโคโรอีนี่ก็มีข้อด้อยอยู่อย่างนะครับ หลังจากที่เก็บเกี่ยวพืชแล้ว มันจะมีอายุการใช้งานอยู่…อา ว่าแล้วเชียว”

 

ท่านพ่อลองค้นดูด้านล่างของผ้าที่วางซ้อนกันเป็นชั้น ก่อนจะเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ

 

ผ้าทอที่พับติดกันอยู่ตรงกลางมีเชื้อราสีดำกระจายอยู่ทั่ว

 

“ผ้าโคโรอีที่ทอเสร็จแล้วมันจะชื้นง่ายมากครับ ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้เป็นฤดูฝนด้วยแล้ว ก็เลยกลายเป็นเช่นนี้น่ะครับ”

 

“เฮ้อ นี่มันช่าง”

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าอับอายไว้ได้

 

ต้องพูดอะไรไม่ออกแน่อยู่แล้วละ

 

ในเมื่อได้รู้แล้วว่า กิจการที่เตรียมตัวอย่างทะเยอทะยานกลับกลายเป็นของเปล่าประโยชน์ไปเสียแล้วนี่นะ

 

ตอนนั้นเอง ท่านพ่อที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ก็เอ่ยพูดกับหัวหน้ากลุ่มการค้า

 

“แต่ว่าพื้นที่แถวเมืองหลวงเองก็มีโคโรอีเติบโตอยู่มากทีเดียว หากไม่เดินทางไปซื้อเสียไกล แต่เก็บเกี่ยววัตถุดิบจากพื้นที่ใกล้เคียง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไรนะครับ”

 

“โอ้ๆ อย่างนั้นหรือ! ”

 

“และถ้าหากคิดที่จะตั้งเป้าหมายกลุ่มธุรกิจเป็นชนชั้นสูงจริงๆ ตอนทอก็ลองผสมต้นฝ้ายลงไปด้วยสิครับ”

 

“ฝ้ายหรือ”

 

“ครับ ที่จริงแล้วโคโรอีไม่ใช่วัตถุดิบที่แย่อะไรขนาดนั้นหรอกครับมันช่วยประหยัดต้นทุนได้มากก็ถือว่าดีทีเดียวดังนั้นหากเอาเงินที่ประหยัดได้จากการเลือกใช้วัตถุดิบมาลงทุนในฝ้ายแค่เล็กน้อย ใช้มันผสมลงไปก็จะได้ผ้าทอที่นุ่มใส่สบายแล้วละครับ”

 

“โฮ่ วิธีการเช่นนี้!”

 

ราวกับเห็นเชือกช่วยชีวิตที่สวรรค์ประทานลงมาให้ นัยน์ตาของหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักยามมองท่านพ่อจึงส่องประกายระยิบระยับ

 

“แต่การผสมฝ้ายลงในวัตถุดิบอื่นต้องใช้ฝีมือค่อนข้างสูง ต้องเลือกสรรโรงงานทอผ้าที่มีความสามารถที่เหมาะสมหน่อยนะครับ”

 

“ระ…โรงงานทอผ้าที่ว่า…”

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าได้แต่กะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความรู้ด้านนี้เลยจริงๆ

 

“ถ้าหากเป็นกิลด์โรงงานทอผ้าภายใต้การดูแลของลอมบาร์เดียของพวกเรา ต้องสามารถทำได้อย่างแน่นอนครับ แต่หากทำเช่นนั้นก็คงจะต้องเพิ่มส่วนแบ่งของธุรกิจให้ทางลอมบาร์เดียด้วยนะครับ”

 

เครย์ลีบันรีบแทรกตัวเข้ามาช่วยในจังหวะไทมิ่งที่เหมาะสม

 

“คิดไว้ประมาณเท่าไหร่ล่ะ”

 

“หากคำนึงถึงค่าแรงของพวกคนงานในโรงงานลอมบาร์เดีย…”

 

พอเห็นว่าเครย์ลีบันเริ่มคุยต่อรองราคากับหัวหน้ากลุ่มการค้า ท่านพ่อก็จับมือเธอ ตั้งใจว่าจะปลีกตัวออกไปเงียบๆ

 

“แคลอฮัน กิจการนี้มอบให้เจ้ารับผิดชอบก็แล้วกัน”

 

แต่คำสั่งอันแสนยิ่งใหญ่ของท่านปู่ทำให้มือของท่านพ่อที่จับเธออยู่เผลอปล่อยออกในทันที

 

“ทะ…ท่านพ่อ!”

 

เบเจอร์ตะโกนจนเกือบเป็นเสียงกรีดร้อง

 

เขาย่อมไม่มีทางยอมปล่อยให้กิจการที่ตนพยายามไขว่คว้ามาอย่างยากลำบากถูกน้องชายคนเล็กแย่งไปอย่างแน่นอน แต่ท่านปู่ยังคงยืนกรานด้วยความหนักแน่น

 

“แต่ข้าไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจเท่าไหร่นะครับ มันเป็นงานที่เกินความสามารถของข้าครับ ท่านพ่อ”

 

ท่านพ่อสะดุ้งตกใจพูดออกไป เขาตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ท่านปู่กลับเอ่ยถามหัวหน้ากลุ่มการค้าด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

 

“ดูเหมือนจำเป็นจะต้องมีที่ปรึกษาที่ทราบเกี่ยวกับด้านนี้ดีแล้วละนะ”

 

“อย่างไรก็กำลังลำบากเพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับผ้าทออยู่พอดีเลยครับ ถ้าหากท่านชายลอมบาร์เดียให้ความช่วยเหลือก็ถือว่าพึ่งพาได้มากทีเดียวครับ! ”

 

เรียกใช้เบเจอร์ราวกับคนรับใช้ของบ้านตัวเอง แต่กลับเปลี่ยนท่าทีเรียกท่านพ่อว่าท่านชาย

 

“หากเป็นเรื่องธุรกิจ ถึงแม้ข้าเองจะยังอ่อนด้อยอยู่มาก แต่ก็จะช่วยสนับสนุนเต็มที่ครับ อย่าได้กังวลไปเลยครับ ท่านแคลอฮัน”

 

เครย์ลีบันที่มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนักกับเบเจอร์เองก็เสนอตัวว่าจะคอยช่วยเหลือท่านพ่อ ท่านพ่อจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ามองเธอที่ยืนจับมือท่านอยู่

 

ทำได้แน่นอนค่ะ ท่านพ่อ!

 

เธอทำตาเป็นประกายระยิบระยับเต็มที่ พลางเอ่ยพูด

 

“ลุงคนนั้นก็บอกว่าจะช่วยด้วย! เท่มากเลยค่ะ พ่อ!”

 

คำพูดของเธอคือการโจมตีครั้งสุดท้าย

 

ดูเหมือนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ท่านพ่อจึงจับมือเธอแน่น โค้งศีรษะไปทางท่านปู่

 

“ข้าจะลองทำดูครับ”

 

เธออยากจะกระโดดโลดเต้นร้องกรี๊ดมันเสียตรงนี้ แต่ก็พยายามอดกลั้นเอาไว้

 

ถ้าหากเป็นท่านพ่อละก็ จะต้องทำให้ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

 

ในเมื่อปัญหาหลักหมดไปแล้ว ทั้งลอมบาร์เดีย ทั้งอังเกนัส ต่างก็สามารถหาเงินได้เป็นจำนวนมาก สองตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรจับมือกันทำธุรกิจ ย่อมไม่มีคนโง่ที่ไหนกล้าเข้ามาขัดขวางอยู่แล้ว

 

“กรอด!”

 

ยกเว้นคนโง่อย่างเบเจอร์ที่ยืนกัดฟันกรอดอยู่ตรงนี้ไว้คนหนึ่ง

 

แต่ท่านปู่ยังคงมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องอะไรที่เบเจอร์สามารถทำได้ เพราะถ้าหากอิจฉาจนคิดจะทำลายกิจการที่ตระกูลใช้เงินลงทุน ท่านปู่ไม่มีทางยอมอยู่เฉยแน่

 

“พ่อ เท่มากเลย”

 

เธอพึมพำคำพูดพวกนี้ ตั้งใจให้ได้ยินเข้าหูของท่านพ่อ ในขณะที่ยืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม

 

เธอที่เคยได้ใช้ชีวิตในอนาคตมาแล้ว รู้เรื่องพวกนั้นเป็นอย่างดี

 

มากเท่าๆ กับที่ตระกูลลอมบาร์เดียให้ความสนใจในตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ จักรพรรดินีเองก็เป็นคนที่ให้ความสนใจกับเรื่องว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเช่นกัน

 

ตั้งแต่ในอดีตเรื่อยมาจนถึงตอนนี้คนที่โดดเด่นที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบุตรชายคนโตทั้งสิ้นแต่ในอาณาจักรแห่งนี้ไม่มีชนชั้นสูงคนใดที่ไม่ทราบว่าเบเจอร์เป็นคนไร้สมอง

 

งานเลี้ยงที่จักรพรรดิและจักรพรรดินีจัดขึ้นในพระราชวังทุกปี ตอนนี้เบเจอร์กับครอบครัวเองก็ไปร่วมงานแทนท่านปู่อยู่เป็นประจำ แต่ถ้าหากกิจการนี้ประสบความสำเร็จก็ไม่รู้สินะ..

 

เธอมั่นใจว่าในรายชื่อผู้เข้าร่วม จะต้องมีสักครั้งที่จะกลายเป็นชื่อแคลอฮัน ลอมบาร์เดียและครอบครัว

 

และเธอยังมีคนที่ต้องรีบพบให้ได้เร็วที่สุดในพระราชวังอยู่ด้วย

 

เขาคนนั้นที่เธอต้องดึงมาเป็นพวกเดียวกับเธอให้ได้ถ้าหากหญิงที่เป็นบุตรนอกสมรสอย่างเธอตั้งใจจะสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูล

 

เขาคนนั้นอยู่ในพระราชวัง…เจ้าชายลำดับที่สอง เฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่