บทที่ 26 ทักษะการทำอาหารของปู้ฟางกำลังถูกลูบคม

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าไอ้ขี้กะโล้โท้นี่มันโง่เง่าหรือไม่ เราเดิมพันกับมัน แต่เรากลับเป็นฝ่ายชี้เป็นชี้ตายว่าอาหารของมันอร่อยหรือไม่อร่อย ต่อให้อาหารของมันอร่อยจริง เราก็แค่ต้องบอกว่าไม่อร่อย แล้วมันจะทำอะไรได้! สุดท้ายก็ต้องคืนตัวน้องหญิงให้เรา” โอวหยางตี้กระซิบกระซาบกับโอวหยางเจินที่มีสีหน้าเคร่งขรึม

โอวหยางเจินเหลือบมองน้องชายคนที่สามจากนั้นก็พ่นลมเยาะออกมา “ด้วยต่อมรับรสที่ตายด้านของเรา ต่อให้เป็นอาหารชั้นเลิศในพระราชวังก็ยังมีรสชาติจืดชืดเหมือนกันหมดไม่มีผิด เจ้าคิดว่าเราจะแยกออกหรือว่าจานใดอร่อยจานใดไม่อร่อย เจ้าพูดเล่นหรือโง่จริงกันแน่”

“ไอ้ขี้กะโล้โท้นั่นถึงอย่างไรก็แพ้เดิมพันแน่นอน” โอวหยางเจินตอบอย่างผู้ชนะ หนวดกระดิกตามแรงลม

“พี่ใหญ่สมกับเป็นมันสมองของเราจริงๆ ท่านอ่านสถานการณ์ขาดทันที เป็นเพราะเราดื่มสุรามากเสียจนต่อมรับรสพังไปหมด ทุกอย่างกลับกลายเป็นไร้รสชาติเหมือนน้ำเปล่าไม่มีผิด นอกจากสุราที่ยังรับรสได้อยู่ แต่จะว่าไปมันก็ไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าใดหรอกนะ” โอวหยาวอู๋เอ่ยพร้อมถอนหายใจ

“น้องสอง! ไม่ต้องกังวลไป หลังจากที่เรารับเสี่ยวอี้กลับบ้านได้แล้ว ข้าจะให้เจ้าดื่ม ‘สุราเพลิงชัชวาลหอมชั้นเยี่ยม’ ที่ท่านจักรพรรดิประทานให้ข้า! รับรองว่าร่างทั้งร่างของเจ้าได้ลุกเป็นไฟด้วยรสชาติแสนเลิศล้ำแน่!” โอวหยางเจินพูดพร้อมตบบ่าโอวหยางอู๋

“ฮ่า! ขอบคุณนะพี่ใหญ่! ด้วยต่อมรับรสที่ตายด้านเช่นนี้ มีเพียงสุราเท่านั้นที่เราจะดื่มด่ำกับรสชาติได้!” โอวหยางอู๋ยิ้มเผล่

ระหว่างที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกันนั้น ปู้ฟางก็กำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัว

ปลาทะเลน้ำแข็งต้องหมักเอาไว้ก่อนที่จะทำปลาดองเหล้า เขาเตรียมปลาเอาไว้เพียงสองตัวเมื่อคืน  และตัวแรกก็ทำให้ลูกค้ากินไปแล้ว จึงเหลืออยู่เพียงตัวเดียว แต่ในเมื่อมีคนสั่งอีกครั้งก็ต้องนำออกมาทำ

หลังจากเอาธัญพืชหมักเหล้าออกจากผิวของปลาแล้ว ชายหนุ่มก็บั้งปลาสองครั้ง แล้วเอาใส่ซึ้งไม้ไผ่เพื่อนึ่งให้สุก

ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มทำข้าวผัดไข่กับน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา

กลิ่นของข้าวผัดไข่นั้นหอมมาก กลิ่นหอมลอยออกจากครัวเข้าห้อมล้อมสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางเอาไว้ทันทีราวกับเป็นผ้าไหมอ่อนนุ่ม ทั้งสามเริ่มดมจมูกฟุดฟิด

“กลิ่นหอมเป็นบ้า! ดูเหมือนว่าไอ้ขี้กะโล้โท้นี่จะมีความสามารถอยู่เหมือนกัน” โอวหยางตี้เอ่ย สีหน้าดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของอาหาร

อีกสองคนนั่งเงียบ ไม่ได้สนใจกลิ่นหอมมากนัก ไม่ว่าอาหารจะหอมเพียงใด เมื่อมาเจอเข้ากับต่อมรับรสพังแสนพังของพวกเขา ทุกอย่างก็รสชาติเหมือนน้ำเปล่าอยู่ดี

เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้ไม่อยู่แถวนั้น ปู้ฟางก็ต้องนำอาหารออกมาให้ลูกค้าด้วยตนเอง เขาวางข้าวผัดไข่ลงบนโต๊ะพร้อมเอ่ยออกมา “เอ่อ… ใครสั่งข้าวผัดไข่ก็กินให้อร่อยแล้วกันนะ”

ในเมื่อคนทั้งสามหน้าเหมือนเตียวหุยเหมือนกันไปหมดสำหรับปู้ฟาง ที่มีปัญหาเรื่องการแยกแยะใบหน้าคนอยู่แล้วเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงบอกไม่ได้ว่าใครเป็นใคร

“ของข้า” โอวหยางอู๋หรี่ตา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ข้าวผัดไข่แล้วสูดหายใจเข้าลึก กลิ่นหอมพุ่งเข้าโพรงจมูกของเขาทันที ชายหนุ่มหน้าเถื่อนพลันคิดว่าอาหารชามนี้ช่างหอมเสียจริง

และแล้วโอวหยางอู๋ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตักข้าวผัดไข่ขึ้นมาเต็มช้อนแล้วเอาเข้าปาก เมื่อไข่ข้นที่เหมือนของเหลวเข้าปากมันก็จับตัวแข็งทันที พอผสมเข้ากับข้าวไข่มุก ทุกอย่างก็กระเด้งกระดอนในปากของชายหนุ่ม ให้ความรู้สึกประหลาดที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“เอื๊อก”

หลังจากที่กลืนข้าวผัดไข่ลงไปเรียบร้อย ใบหน้าของโอวหยางอู๋ก็นิ่งสนิท แม้สัมผัสของอาหารจะเลิศล้ำ แต่กลับไม่มีรสชาติแม้แต่น้อย

โอวหยางเจินและโอวหยางตี้ก็ลองชิมเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็ขมวดคิ้ว

“นี่มันบ้าอะไรกัน มันต้องอร่อยรึ… ไม่เห็นมีรสชาติบ้าบออะไรเลย” โอวหยางเจินเม้มปาก จากนั้นก็โยนช้อนทิ้งแล้วก่นด่า

ปู้ฟางชะงัก “เป็นไปได้อย่างไร ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงเนี่ยนะไม่อร่อย”

นี่คือครั้งแรกที่ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงของเขาชนะใจลูกค้าไม่ได้

ปู้ฟางดมกลิ่นข้าวผัดไข่ในอากาศ กลิ่นนั้นยังคงหอมเข้มนุ่มนวลเหมือนผ้าไหมอ่อนนุ่มที่สัมผัสใบหน้าเขา “รสชาติก็ไม่ควรมีปัญหานี่!”

“หรือเพราะไอ้สามคนนี้มีต่อมรับรสไม่เหมือนชาวบ้าน” ชายหนุ่มคิด

“ไอ้ขี้กะโล้โท้ รีบๆ โยนผ้ากันเปื้อนทิ้งแล้วเอาตัวน้องหญิงของพวกข้าคืนมาได้แล้ว ทำออกมากี่จานพวกข้าก็ไม่รู้สึกถึงความอร่อยหรอก” โอวหยางตี้พูดอย่างโอ้อวดด้วยรอยยิ้ม

ความจริงที่ว่าทั้งสามกินข้าวผัดไข่ไปเพียงคนละช้อนนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของปู้ฟางไปมาก

กระทั่งสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่หน้าร้านยังเงยหน้าขึ้นมองอย่างสนใจ

“รอสักครู่” ปู้ฟางมีสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกได้ว่าทักษะการทำอาหารของตนกำลังถูกทดสอบครั้งใหญ่

เขาเดินกลับเข้าครัวไปเพื่อทำน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาออกมาวางต่อ ชายหนุ่มค่อยๆ เทน้ำแกงลงในชามกระเบื้องสีฟ้าขาวส่วนปลาดองเหล้านั้นยังต้องนึ่งอีกสักพัก เขาจึงนำน้ำแกงออกมาให้ก่อน

“นี่น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางพูดสีหน้าจริงจัง

กลิ่นของน้ำแกงเต้าหู้หัวปลานั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากลิ่นข้าวผัดไข่แม้แต่น้อย เนื้อปลามีกลิ่นสดชื่นผสมกับกลิ่นอ่อนๆ ของเต้าหู้ให้ความรู้สึกนุ่มนวลราวผ้าบางที่เข้าสัมผัสผิวกาย น้ำแกงสีขาวน้ำนมและเต้าหู้ใสเหมือนผลึกทอประกายสวยงามภายใต้แสงไฟ

เพียงแค่เห็นหน้าตาของอาหาร สามพี่น้องก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจจนหิวขึ้นมา ทว่าหลังจากที่ลองซดน้ำดูสีหน้าก็กลับไปตายด้านอีกครั้ง รู้สึกราวกับกินน้ำเปล่า

“ไม่! น้ำแกงปลาเจ้าก็ไม่อร่อย” สามพี่น้องตระกูลโอวหยางพูดพร้อมกันพลางส่ายหน้า

“น่าสนใจ” ปู้ฟางยังคงมีสีหน้าตายด้าน แต่ภายในกลับกำลังเครียดขึงถึงขีดสุด เขามองสามพี่น้องด้วยสายตาเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนเดินกลับเข้าครัวไป ชายหนุ่มยังเหลืออาหารอีกจานที่ต้องทำ หากจานนี้ยังไม่อร่อยแปลว่าเหลือข้อสรุปเดียวแล้ว

“นั่นคือไอ้สามคนนี้ต่อมรับรสพัง”

ในฐานะพ่อครัว ปู้ฟางมั่นใจในรสชาติอาหารของตน แม้ปฏิกิริยาของสามพี่น้องจะทำให้เขาประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาสงสัยในความสามารถของตนเองแต่อย่างใด

ปู้ฟางนำปลาดองเหล้าออกจากซึ้ง กลิ่นสุราหอมเข้มพลันพุ่งออกจากครัวเข้าห้อมล้อมทั้งร้านทันที

สามพี่น้องตระกูลโอวหยางที่กำลังดื่มด่ำกับชัยชนะพลันตัวแข็งทื่อ ราวกับว่าวิญญาณถูกกระชากออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น

“พ… พี่ใหญ่! กลิ่นสุรา… หอมฟุ้งนี่มัน!” โอวหยางตี้รู้สึกได้ว่าปากของตนเริ่มแห้งผาก ดวงตาเบิกโตเหมือนไข่ห่าน ทันทีที่กลิ่นสุราพุ่งออกจากห้องครัว จิตใจของเขาก็พลันถูกครอบงำ

โอวหยางอู๋และโอวหยางเจินเองก็เช่นกัน พวกเขารู้สึกกระสับกระส่ายอยากสุราราวกับมีมดมาไต่อยู่ในกางเกงชั้นใน

“นี่มันกลิ่นสุราชั้นยอดแน่นอน! มีเพียง ‘สุราเพลิงชัชวาลหอมชั้นเยี่ยม’ ของวังหลวงเท่านั้นที่สูสีกับกลิ่นนี้! ร้านนี้มีสุราชั้นเลิศถึงเพียงนี้เชียวรึ” โอวหยางเจินกลืนน้ำลายเอื๊อกพร้อมพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว

ทั้งสามจ้องไปที่ทางเข้าครัว ในตอนนั้นเองร่างผอมก็เดินออกมา

ปู้ฟางมีสีหน้าจริงจังขณะค่อยๆ เดินถือจานปลาดองเหล้าออกมา

ทว่าดวงตาทั้งสามคู่ที่จับจองมาทางเขาเหมือนสัตว์ร้ายมองเหยื่อก็ทำให้ชายหนุ่มตกใจ “อาเพศอะไรกันนี่!”

“นี่ปลาดองเหล้าที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางมองทั้งสามจากนั้นก็วางจานปลาลงบนโต๊ะ พร้อมพูดเสียงขรึม

“มันคือปลาดองเหล้า! มิใช่สุราหรอกรึ!” สามพี่น้องตระกูลโอวหยางร้องออกมาพร้อมกัน น้ำเสียงฟังดูผิดหวัง

“ข้าก็บอกไปแล้วอย่างไรว่าเราไม่มีสุราขาย” ชายหนุ่มเจ้าของร้านตอบหน้าตาย

“ไอ้ขี้กะโล้โท้ เจ้าแพ้แล้ว หากไม่มีสุราก็ทำให้พวกข้าประทับใจไม่ได้ รีบๆ ส่งตัวน้องหญิงของพวกข้ามาแต่โดยดี” โอวหยางอู๋ถอนใจ ดวงตามองปลาดองเหล้าเบื้องหน้าอย่างผิดหวัง

“ลองกินดูก่อน” ชายหนุ่มพูดเรียบๆ สีหน้าแข็งแกร่งอดทน

ตอนนั้นเองโอวหยางเสี่ยวอี้ที่ก่อนหน้านี้วิ่งหนีเข้าห้องไป พลันเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “ทิ้งนายท่านตัวเหม็นไปดื้อๆ เช่นนี้ไม่มีเกียรติเอาเสียเลย… หากหมอนั่นโดนพี่ชายข้าอัดร่วงเล่า”

โอวหยางเสี่ยวอี้รู้ดีว่าบรรดาพี่ชายของนางเลือดร้อนเพียงใด จึงรู้สึกผิดเล็กน้อย

“นายท่านตัวเหม็น อดทนก่อน อย่าเพิ่งตายจนกว่าข้าจะไปถึงนะ” นางภาวนาในใจก่อนรีบวิ่งออกจากห้องไปยังห้องอาหาร

เด็กหญิงแอบมองผ่านประตูเข้าไปยังบริเวณที่ใช้รับลูกค้า ภาพที่เห็นทำให้ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

……………………………….