บทที่ 15 ชื่อของข้าคืออู๋เสี่ยวฟาง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 15 ชื่อของข้าคืออู๋เสี่ยวฟาง

ณ มุมหนึ่งที่เงียบสงบของสถานศึกษา มู่ซินเยว่และอู๋เสี่ยวฟางกำลังกระซิบกระซาบกันอย่างเงียบ ๆ

“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าคนแบบหลินเป่ยเฉินจะเก็บซ่อนพลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นไว้และเอาชนะเฝิงหลุนได้”

“มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก แต่ข้าว่าจริง ๆ เขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเฝิงหลุนขนาดนั้นหรอก”

“ศิษย์พี่อู๋ เจ้าคนชั่วร้ายคนนี้ มันรู้วิธีปิดบังความสามารถของตัวเอง เขาไม่ใช่แค่คนกระจอก ๆ แบบที่เห็นแน่ คิดว่าจะทำให้เขาตกหลุมพรางแล้วลงนามในสัญญาทาสของเราได้ง่าย ๆ งั้นหรือ?”

“ฮ่า ๆ อย่าห่วงไปเลยศิษย์น้องมู่ ดีแล้วละที่เขาไม่ได้กระจอกขนาดนั้น เงินของเราจะได้ดูมีค่าขึ้นมาอีกหน่อย เจ้ามั่นใจได้เลยศิษย์น้องมู่ ข้ามีเป็นร้อยเป็นพันหนทาง ที่จะหลอกเจ้าโง่นั่นให้ติดกับได้สำเร็จ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ข้าจะรอฟังข่าวดีนะศิษย์พี่อู๋”

แดดจ้าในช่วงเที่ยงของต้นฤดูร้อนนั้นสุดแสนจะร้อนระอุ

และในเวลาอาหารเที่ยง ทั้งภายในและภายนอกโรงอาหารของเหล่าศิษย์ชั้นปีที่ 2 คลาคล่ำไปด้วยบรรดาศิษย์ทั้งชายหญิง

หลินเป่ยเฉินและพ่อบ้านชรากำลังนั่งยอง ๆ อยู่ห่างจากประตูโรงอาหารไปราว ๆ 30 ผิง

พวกเขาทั้งคู่ต่างนั่งกลืนน้ำลายด้วยความหิว

บรรดาศิษย์ที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารต่างมองมาทางเขาจากทุกทิศทุกทาง

เจ้าแกะดำหลินเป่ยเฉินกำลังเจอปัญหาในชีวิตจริง ๆ เข้าเสียแล้ว

แต่เขาก็สมควรได้รับมันแล้วล่ะ!

นี่เลยเป็นภาพที่น่าอภิรมย์ทีเดียวสำหรับบรรดาผู้เฝ้ามองจากโรงอาหาร

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ และหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้รู้สึกสับสนในใจน้อยลงไปเลย

เด็กหนุ่มหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว

ความหิวกำลังทำให้เขากลายเป็นบ้า

“โธ่เว้ย!”

“ช่างแม่งแล้ว”

“ยังไงก็ต้องหาของกินให้ได้”

“เราจะไม่ทนหิวอีกต่อไป”

“ที่นี่คงไม่ว่าอะไรหรอกใช่ไหม ถ้าจะไปจิ๊กอาหารจากเพื่อนร่วมสถาบันมาสักเล็ก ๆ น้อย ๆ ”

หลินเป่ยเฉินขบฟันแน่น ทั้งความโกรธและความหิวทำให้ในใจเขาผุดความคิดที่จะทำเรื่องชั่ว ๆ ขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน

แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรลงไป เสียงนุ่ม ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“ให้ตายเถอะ หลินเป่ยเฉิน ท่านั่งของเจ้าน่ะดูทุเรศทุรังซะไม่มี”

หลินเป่ยเฉินมองขึ้นไปเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของสหายร่วมสถานศึกษาที่เดินตรงมา

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีดวงตาสดใสประดับด้วยเรียวคิ้วคมเข้ม

ผิวขาวละเอียดรับกันดีกับใบหน้าอันหล่อเหลา บนใบหน้านั้นแต้มไปด้วยรอยแดงจาง ดูคล้ายรอยปานโดยกำเนิด

แต่รอยปานนั่นไม่ได้ทำให้เขาดูหล่อเหลาน้อยลงเลย ในทางกลับกัน ปานแดงนั่นกลับทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูโดดเด่นขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ท่าทางและการแสดงออกของเขานั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง

“หลินเป่ยเฉิน ข้าว่าเจ้ารู้จักข้านะ”

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างราวกับภูมิใจเสียเต็มประดา

เขานั้นดูแสนจะภาคภูมิเหลือเกิน

หลังจากที่เด็กหนุ่มคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมา สายตาของบรรดาศิษย์รอบ ๆ ก็ดูราวกับแผดเผาไปด้วยประกายไฟแห่งความชื่นชม

ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะมายังโลกใบนี้ เขาเคยเห็นแววตาแบบนี้จากสายตาของบรรดาแฟนคลับในคอนเสิร์ต

หลินเป่ยเฉินลุกยืนขึ้น

“ไอ้หมอนี่เป็นใครอีกเนี่ย?”

“จะมาหัวเราะเยาะฉันอีกคนหรือยังไง”

“ถ้าเราต้อง ‘คีพ ลุค’ ต่อไป ก็ต้องยอมมีเรื่องกับหมอนี่สักหน่อยใช่ไหม”

สามคำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวของหลินเป่ยเฉิน แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะทำใจเย็นไว้และไม่หุนหันพลันแล่น

เขาต้องรักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อน

หลินเป่ยเฉินเหลือบตามองและเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่รู้จักเจ้า นี่เจ้าเป็นใครรึ”

เด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามไม่แม้แต่จะหุบยิ้ม และยังคงยืนอยู่ในท่าเดิม “ข้าชื่ออู๋เสี่ยวฟางยังไงล่ะ”

อู๋เสี่ยวฟางงั้นหรือ?

หนึ่งในสามผู้ที่เก่งที่สุดของสถานศึกษาวิชากระบี่ที่สาม?

ชื่อนี้ราวกับพายุโหมกระหน่ำเข้ามาในสองรูหูของหลินเป่ยเฉิน

ในตอนนี้ อู๋เสี่ยวฟางกำลังแสยะยิ้ม “หลินเป่ยเฉิน ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้า”

“หา? มาที่นี่เพื่อช่วยข้างั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินกอดอกและถามด้วยความสงสัย “แล้ว…เราเคยสนิทกันมาก่อนหรือเปล่า?”

นั่นเป็นเพราะความทรงจำต่าง ๆ ของเขายังไม่เข้าที่ดีนัก

นี่ความสัมพันธ์ของเขากับไอ้หน้าวอกคนนี้เป็นยังไงมาก่อนนะ?

อู๋เสี่ยวฟางส่ายหน้ายิ้มบาง ๆ ก่อนกล่าวว่า “ก็ไม่ดีขนาดนั้นหรอก…แต่การช่วยเหลือของข้า มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในอดีตของพวกเราเลย”

“แล้วข้าต้องทำอะไรบ้างล่ะ”

“นั่นมันก็ขึ้นกับอารมณ์ของข้าด้วยน่ะนะ”

“อารมณ์ของเจ้างั้นหรือ?”

“ก็นะ…เวลาที่ข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าจะไม่ทำข้อตกลงอะไรกับใครเด็ดขาดต่อให้พวกเขาคุกเข่าอ้อนวอนข้าแค่ไหนก็ตาม แต่เวลาที่ข้าอารมณ์ดีน่ะนะ ฮะฮ่า ๆ แม้จะเป็นเพียงหมาที่หิวโหยอยู่ข้างถนน ข้าก็ยินดีจะช่วยโดยไม่มีข้อแม้”

“นี่เจ้ากล้าดียังไงมายั่วยุข้า เจ้าคนชั้นต่ำ เจ้ากำลังบอกว่าข้าเป็นหมาหิวโหยข้างถนนงั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความเดือดดาลจนแทบคลั่ง

อู๋เสี่ยวฟางส่ายหัวพร้อมยิ้มและอธิบายต่อ “อย่าเข้าใจผิดสิ ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น อันที่จริงแล้ว…ในสายตาของข้า เจ้าน่ะน่าสมเพชยิ่งกว่าหมาจรจัดข้างถนนเสียอีก”

พูดจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ

ศิษย์พี่อู๋นี่ช่างฉลาดเสียจริง ๆ

เขาด่าคนได้เจ็บแสบนัก โดยไม่ต้องใช้คำหยาบคายเลย

“เจ้าอยากมีเรื่องใช่ไหม”

หลินเป่ยเฉินยังคงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

แต่ที่จริงแล้ว หลินเป่ยเฉินแอบตื่นเต้นอยู่ลึก ๆ เพราะเขาแน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง

อู๋เสี่ยวฟางไม่ใช่หนึ่งในคนพวกนั้นที่สนใจแต่เรื่องรูปร่างหน้าตาของเขา

ไอ้หมอนี่เกลียดหลินเป่ยเฉินคนเก่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังเสนอตัวยื่นมือมาช่วยเหลือ

แสดงว่าต้องวางแผนอะไรอยู่แน่นอน

ชัดเจนว่ามีลับลมคมในแอบแฝง หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่าควรจะตีตัวออกห่างเลยดีหรือไม่

ไม่ล่ะ เขาควรไปไหลตามน้ำต่อไปดีกว่า

“อย่าโกรธไปเลย ฮ่า ๆ ข้าคิดว่าเจ้าอาจขาดแคลนเงินในช่วงนี้ ใช่ไหมล่ะ? อยากจะยืมเงินสักหน่อยไหม?” อู๋เสี่ยวฟางกล่าวต่อ

“หืม? ให้ยืมเงินงั้นหรือ? จริงสิ ดีมากเลย ดี…ดี”

หลินเป่ยเฉินแสร้งทำเป็นตื่นเต้นจนทนไม่ไหว

เขาแสร้งเล่นละครสุดตัว

อู๋เสี่ยวฟางหัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิม

“ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะราบรื่นขนาดนี้”

“หลินเป่ยเฉินนี่มันไม่มีสมองจริง ๆ ”

“แถมยังมีปัญหาเรื่องเงินอย่างหนักเสียด้วย”

“ข้าก็แค่ขุดหลุมเท่านั้น แต่เจ้าแกะดำก็โดดลงไปเองเลยหรือ?”

“จริงสิ ขอแค่บอกมาว่าเจ้าอยากจะยืมเท่าไหร่” อู๋เสี่ยวฟางถามขึ้น

“ก็…ไม่มากนักหรอก ซัก 20 เหรียญทองคำได้จะดีมากเลย” หลินเป่ยเฉินตอบ

ทุกคนรอบ ๆ ตัวต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน

เจ้าแกะดำนี่มันจะเกินไปแล้ว… 20 เหรียญทองคำเนี่ยนะ! พูดออกมาได้อย่างไรกัน

แต่นั่นยังน่าตกใจไม่พอ เมื่ออู๋เสี่ยวฟางกลับพยักหน้าและกล่าวว่า “20 เหรียญทองคำงั้นหรือ? ไม่มีปัญหาเลย สบายมาก…เพียงแต่มีเงื่อนไขเดียวเท่านั้น”

“อะไรล่ะ”

หลินเป่ยเฉินหรี่ตามอง

นี่อู๋เสี่ยวฟางจะให้เขายืมเงินมากขนาดนั้นจริง ๆ หรือ?

น่าสนใจมากทีเดียว

“ข้าให้เจ้ายืม 20 เหรียญทองได้ตอนนี้เลย แต่เจ้าต้องคืนข้า 40 เหรียญทองเป็นค่าดอกเบี้ยภายใน 1 เดือน…ว่ายังไงล่ะ”

“เจ้าคิดจะทรมานข้าให้ตกตายภายใต้กองดอกเบี้ยหรืออย่างไร?”

“แน่ล่ะว่าข้าต้องเก็บดอกเบี้ย แต่หลินเป่ยเฉิน ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วนะ ทั้งสถานศึกษาแห่งนี้ คงไม่มีใครเต็มใจให้เจ้ายืมเงินได้อีกแล้ว และเจ้าก็คงอยู่ไม่รอดถ้าไม่มีเงิน อย่างเดียวที่เจ้าทำตอนนี้ คือหดหัวหลบอยู่ในสถานศึกษานี่ จะออกไปไหนก็ไม่ได้อีกแล้ว”

“เจ้าไม่คิดว่าดอกเบี้ยมันสูงไปหน่อยหรือไง?”

“ถ้าเจ้าไม่สนใจข้อตกลงนั่น ข้ายังมีอีกทางเลือกที่น่าสนใจมานำเสนอ”

“อะไรล่ะ?”

“ทำไมเราไม่มาพนันกันสักหน่อย ถ้าหากเจ้าเอาชนะการสอบกลางภาคในวันมะรืนนี้ได้ เจ้าไม่ต้องจ่ายข้าคืนเลยสักแดงเดียว แต่หากเจ้าแพ้ละก็ เจ้าไม่ต้องจ่าย 20 เหรียญทองนั่นคืนมาหรอก แต่เจ้าต้องลงนามในสัญญา มาเป็นทาสของข้าไปตลอดชีวิต ว่าไง…เจ้าสนใจข้อเสนอนี้ไหม” อู๋เสี่ยวฟางกล่าวพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

หลินเป่ยเฉินดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ในใจของเขานั้นหยุดหัวเราะไม่ได้เลย

ในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการอะไร

นี่อู๋เสี่ยวฟางคงพยายามวางกับดักเขาอยู่สินะ