ตอนที่ 29 ถึงรอบสุดท้ายแล้ว

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ร้อยโทสงบอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเอง เขาสังเกตการกระทำของเด็กทั้งสองคนในหน้าจอด้วยความจริงจัง ท้ายที่สุดเขาก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมาและกล่าวว่า “จบการสอบของพวกเขา ให้พวกเขาออกมาเถอะ”

จ่าสิบเอกที่รับหน้าที่ดูแลกลุ่มของหลิงหลานรู้สึกไม่แน่ใจและเอ่ยถามว่า “ถ้าอย่างนั้นจะให้คะแนนยังไงครับ”

ร้อยโทจ้องมองด้วยความโมโห “ยังต้องให้ฉันสอนนายอีกเหรอ พวกเขาใช้เวลาเท่าไรในการเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด ตอนนี้กำลังกายเป็นยังไง”

แววตาของจ่าสิบเอกเปล่งประกาย “เข้าใจแล้วครับ ท่าน”

ทางด้านหลิงหลาน เด็กทั้งสิบคนฝืนอดทนวิ่งกันต่อไปได้หลายรอบ เวลานี้ฉีหลงกับลั่วล่างที่แสดงความเข้มแข็งองอาจมาตลอดก็รู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน การแบกคนวิ่งกับการวิ่งตัวเปล่าแตกต่างกันคนละแบบโดยสิ้นเชิง พวกเขาวิ่งไปได้แค่ไม่กี่รอบก็รู้สึกว่าใช้พลังกายของตัวเองไปเท่าตัว เดิมทีพวกเขายังคิดว่าสามารถยืนหยัดวิ่งได้อีกสิบรอบยี่สิบรอบ ทว่าตอนนี้พวกเขาไม่กล้าแน่ใจขนาดนั้นแล้ว

คนที่มีสภาพดีที่สุดในหมู่เด็กทั้งสิบคนก็คือหลิงหลาน น่าจะพูดว่าเธอไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะว่าเธอโคจรลมปราณบำรุงร่างกายตั้งแต่ที่เริ่มวิ่ง

ตั้งแต่ที่เธอได้ลิ้มรสข้อดีที่อยู่ในพลังนั้นแล้ว หลิงหลานก็สงสัยว่าเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายยังมีความลับอื่นที่เธอไม่รู้ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจลองโคจรลมปราณบำรุงร่างกายอีกครั้งในตอนที่สอบวิ่ง ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่า การตัดสินใจของเธอถูกต้องอย่างยิ่ง เธอวิ่งจนมาถึงตอนนี้ พลังกายก็ยังคงเต็มเปี่ยม ตัวเลขทุกส่วนของร่างกายยังคงอยู่ในระดับเดียวกับตอนที่เธอยังไม่ได้วิ่ง

เสี่ยวซื่อเป็นคนจัดทำตัวเลขพวกนี้มาให้ ตอนที่หลิงหลานพบของสิ่งใหม่ครั้งแรก เสี่ยวซื่อก็สะบัดตูดวิ่งเข้ามา พูดจาดิบดีว่าจะช่วยหลิงหลานวิจัยเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกาย เป็นผู้ช่วยที่ทำสัญญาเติบโตได้ตามมาตรฐาน…แต่ความจริงแล้ว เสี่ยวซื่อเบื่อเพราะว่าไม่สามารถเข้าไปโลกออนไลน์เสมือนจริงเลยอยากหาเรื่องทำฆ่าเวลา

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีเสี่ยวซื่อช่วยเหลือทำให้หลิงหลานเข้าใจความลับของเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายได้รวดเร็ว เดิมทีวิชาลมปราณบำรุงร่างกายสามารถฟื้นฟูพลังที่ใช้ไปได้ และยังสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของสภาพร่างกาย ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเป็นเวลานานได้

แน่นอนว่าเสี่ยวซื่อเองก็พูดไปแล้วว่า การปรากฏสภาพที่การบริโภคพลังงานและการผลิตพลังงานมีความสมดุลกันเช่นนี้ เป็นเพราะพลังงานที่หลิงหลานใช้วิ่งไม่ได้เยอะมาก ถ้าหากหลิงหลานแบกคนวิ่งเหมือนฉีหลงและลั่วล่าง คาดว่าเธอจะไปถึงจุดสมดุลไม่ได้ หากแต่ใช้แรงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย อย่างไรก็ตามเสี่ยวซื่อก็บอกหลิงหลานอย่าท้อแท้ใจ ขอเพียงฝึกฝนเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายต่อไป พลังงานที่ฟื้นฟูก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายสุด มีความเป็นไปได้มากว่าเธอไม่ต้องกลัวเรื่องการใช้พลังงานแล้ว (แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเรื่องในอีกหลายสิบปีให้หลัง…เสี่ยวซื่อลบประโยคสุดท้ายนี้ทิ้งไปโดยไม่ลังเล)

หลิงหลานที่พลังกายสมบูรณ์เห็นหน้าผากของฉีหลงกับลั่วล่างมีเหงื่อท่วม ฝีเท้าก็ค่อยๆ เริ่มช้าลง เธอก็รู้แล้วว่าตอนนี้พลังกายของพวกเขามีปัญหาแล้วเหมือนกัน บางทีอาจจะประคับประคองไม่อยู่แล้ว หลิงหลานลังเลอยู่เล็กน้อยว่าควรจะไปแทนที่พวกเขาดีหรือไม่ แต่เธอก็กลัวว่าตัวเองจะแสดงความสามารถมากเกินไป ทำให้คนช่างสังเกตสนใจขึ้นมาก็จะไม่ใช่เรื่องดีแล้ว

ควรทราบว่าภายใต้การช่วยเหลือของเสี่ยวซื่อ สภาพภายนอกทั้งตัวของหลิงหลานแทบจะไม่ต่างจากหานจี้จวิน เหงื่อไหลโซมกายหอบหายใจแฮกๆ ถึงอย่างไรเธอก็ช่วยเหลือเด็กผู้ชายที่มีพลังกายด้อยที่สุดในกลุ่มมาตลอด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเหมือนฉีหลงที่แบกคนวิ่ง แต่พลังกายที่ใช้ในการพาคนไปด้วยก็มากกว่าการวิ่งตัวเปล่าอยู่นิดหน่อย

ปีศาจและเทวดาในหัวของหลิงหลานกำลังตีกันอยู่ ยังไม่ทันตัดสินผลแพ้ชนะ โลกด้านนอกก็ช่วยหลิงหลานทำการตัดสินใจแล้ว

ลั่วล่างชี้ไปที่ด้านข้างด้วยความตื่นเต้นยินดีและตะโกนเสียงดังว่า “ฉันเห็นป้ายเตือนแล้ว เหลืออีกหนึ่งรอบ”

คำพูดของลั่วล่างก็เหมือนกับยาใจ ทำให้เด็กที่เดิมทียืนหยัดต่อไปไม่ไหวรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมา

หลิงหลานมองไปตามทิศทางที่ลั่วล่างชี้ ก่อนจะเห็นผู้คุมสอบคนหนึ่งชูหน้าจอขึ้นสูง ข้างในมีตัวเลขอารบิก ‘1’ อยู่หนึ่งตัว นี่หมายถึงว่าพวกเขาเหลือแค่รอบสุดท้ายเท่านั้น

หานจี้จวินเห็นดังนั้นก็กล่าวปลุกใจทันทีว่า “ยังเหลือรอบสุดท้าย ไม่ว่ายังไงก็ต้องยืนหยัดต่อไปให้ได้ จะให้ใครหลุดออกจากกลุ่มไม่ได้เป็นอันเด็ดขาด”

“ได้!” เด็กคนอื่นๆ อีกเก้าคนที่รวมหลิงหลานอยู่ข้างในด้วยต่างตอบรับเสียงดัง รอบสุดท้ายแล้วไม่ว่ายังไงก็ต้องสู้

หานซู่หย่าสูดลมหายใจฉับพลัน เธอตะโกนว่า “ฉีหลง วางฉันลง”

“เกิดอะไรขึ้น” ฉีหลงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“รอบสุดท้าย ฉันทำได้” เป็นไปได้อย่างไรที่หานซู่หย่าจะไม่รับรู้ถึงความเหนื่อยล้าของฉีหลง เธอจะให้ตัวเองส่งผลกระทบต่อคะแนนของฉีหลงไม่ได้ ฉีหลงอยากเข้าห้องสเปเชียลเอ ต่อให้เธอจะวิ่งจนสลบไป รอบสุดท้ายเธอจะเป็นคนวิ่งเอง จะเป็นภาระให้ฉีหลงอีกไม่ได้

ทางด้านลั่วเฉาเองก็ให้ลั่วล่างวางตัวเองลงเหมือนกัน เหตุผลก็แทบจะไม่ต่างกันเลย นั่นก็คือไม่อยากให้ตัวเองส่งผลกระทบต่อคะแนนของพี่ชายอีก พวกเธออยากให้ฉีหลงกับลั่วล่างเร่งความเร็วในการวิ่งรอบสุดท้าย ช่วงชิงเวลาที่ดีที่สุดไป

หานจี้จวินเห็นดังนั้นก็เอ่ยห้ามปรามทันทีว่า “ถึงรอบสุดท้ายแล้ว ถ้าหากเราไม่สามารถวิ่งไปถึงเส้นชัยด้วยกันได้ งั้นการยืนหยัดของพวกเราก่อนหน้านี้ก็ไร้ความหมายแล้ว นอกจากนี้ พวกนายควรรู้ไว้ว่าสิ่งที่ต้องทำในการกลายเป็นทหารที่มีคุณสมบัติเหมาะสมก็คือ จะทอดทิ้งเพื่อนร่วมรบคนไหนไม่ได้เป็นอันขาด!”

คำพูดของหานจี้จวินทำให้จิตวิญญาณทุกคนสั่นสะท้าน เด็กที่มีไหวพริบหลายคนเข้าใจทันที หานซู่หย่ากับลั่วล่างที่เดิมทียังอยากคัดค้านก็เปลี่ยนความคิดเช่นกัน แล้วพวกเขาก็ได้ยินแค่เสียงของหานซู่หย่าที่กล่าวด้วยความร้อนใจว่า “ฉีหลง รีบดึงฉันวิ่งไป พวกเราเร็วหน่อย” ในเมื่อตัดสินใจจะวิ่งไปที่เส้นชัยด้วยกัน เช่นนั้นก็ไม่อาจเสียเวลาสักวินาทีได้อีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มของหลิงหลานก็ใช้วิธีคนที่พลังกายดีดึงคนที่พลังกายด้อยประคับประคองหลายคนในกลุ่มเพื่อมุ่งไปสู่รอบสุดท้ายอย่างสุดชีวิตเช่นนี้เอง และตอนนี้หลิงหลานก็ลากเด็กสองคนที่มีพลังกายด้อยที่สุดอย่างเงียบๆ หานจี้จวินมองเธอด้วยความซาบซึ้งใจแวบหนึ่ง การช่วยเหลือของหลิงหลานทำให้เขาสามารถวิ่งไปคนเดียวได้ พลังกายของเขาก็กำลังจะพังแล้วเหมือนกัน ถ้าหากพาคนไปด้วยอีกหนึ่งคน เขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าวิ่งรอบสุดท้ายนี้จบหรือเปล่า

…………

ด้านนอกห้องจำลองสภาพแวดล้อมเป็นห้องชากลางแจ้ง มีผู้คุมสอบไม่น้อยกำลังนั่งดื่มชาพูดคุยกันเป็นกระจุก ควรทราบว่าการสอบนี้จะไม่สิ้นสุดลงถ้าหากยังไม่ถึงสามหรือสี่ชั่วโมง ปกติแล้วพวกผู้คุมสอบที่ไม่สามารถหลับหูหลับตารอคอยอยู่ในห้องต่างก็มาดื่มชาร้อนๆ หรือว่ากาแฟที่นี่เพื่อฆ่าเวลา หรือไม่ก็สนทนากับเพื่อนร่วมรบที่สนิทสนมหลายคน

ผู้คุมสนามสอบที่รับผิดชอบห้อง 72 กำลังพูดคุยกับเพื่อนทหารที่สนิทสนมอยู่หลายคน ในขณะที่เขากำลังพูดคุยอย่างคึกคัก อุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือก็เริ่มส่งเสียงดังขึ้นมา

เขากดปุ่มรับของอุปกรณ์สื่อสาร จากนั้นอุปกรณ์สื่อสารก็กระพริบแสงสีเงินขึ้นมา หน้าจอโฮโลแกรมปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ในขณะเดียวกันก็มีภาพใบหน้าของจ่าสิบเอกที่เดิมทีควบคุมดูแลห้อง 72 ปรากฏขึ้นด้านในจอภาพ

“แจ้งให้ทราบ ผู้เข้าสอบห้อง 72 กำลังจะสอบเสร็จแล้ว โปรดเตรียมตัวทำงาน”

ผู้คุมสนามสอบอึ้งไป “สอบเสร็จแล้ว? ยังไม่ถึงสองชั่วโมงเลยนะ? พูดจริงหรือพูดเล่นครับ?” ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่เชื่อ เพราว่ายังไม่เคยปรากฏเหตุการณ์สอบเสร็จภายในสองชั่วโมงในการสอบของลูกเสือ นอกเสียจากเด็กพวกนั้นไปได้ครึ่งทางก็ใช้พลังกายจนหมดและสลบไป ถึงได้ถูกส่งออกมาจากห้องในช่วงเวลาสั้นๆ

อย่างไรก็ตามจุดสัญลักษณ์ของเด็กที่แสดงขึ้นบนอุปกรณ์ของเขาไม่ได้ขึ้นสีแดงที่สื่อความหมายว่าสลบไป แม้กระทั่งจุดสีเหลืองที่สื่อถึงว่าใช้พลังกายจนหมดก็ไม่มีขึ้นมา ทั้งหมดต่างเป็นจุดสีเขียวที่แสดงความหมายว่าสติแจ่มใส พลังกายยังยืนหยัดต่อไปได้

จ่าสิบเอกที่ดูแลห้อง 72 เห็นสีหน้าไม่อาจทำใจเชื่อของผู้คุมสนามสอบก็ยิ้มขึ้นทันที เขาเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “รีบไปเถอะ ไม่งั้นจะไปไม่ทันนะ ใช่แล้ว เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กดี นายจะไม่มีทางผิดหวัง”

จ่าสิบเอกที่ดูแลห้อง 72 ไม่รอให้ผู้คุมสนามสอบสอบถามต่อก็ตัดวิดีโอคอล เขาเริงร่าเมื่อนึกถึงหน้าตะลึงงันของอีกฝ่าย จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการมาที่นี่เพื่อตรวจดูเด็กๆ เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อหน่ายขนาดนั้น

ผู้คุมสนามสอบเห็นหน้าจอมืดสนิทก็ทำหน้าพูดไม่ออก จ่าสิบเอกที่รับหน้าที่ควบคุมดูแลคนนี้จะอธิบายให้ชัดเจนสักครั้งไม่ได้เลยหรือไง

ผู้คุมสอบคนอื่นๆ ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็มองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ แน่นอนว่ามันยังมีความสงสัยและอยากนินทาอยู่ให้เห็นเต็มตาด้วย

“รู้แล้ว รอฉันไปจัดการให้ชัดเจนก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยมาบอกพวกนาย ตอนนี้ฉันไปทำงานล่ะ” ผู้คุมสนามสอบยืนขึ้นด้วยความกลัดกลุ้ม เขาคว้าหมวกทหารที่วางอยู่โต๊ะด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะสวมมันแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดินไปที่ห้อง 72

แม่งเอ๊ย หวังว่าเด็กๆ ด้านในจะไม่ทำให้เขาผิดหวังนะ! ผู้คุมสนามสอบสะกดกลั้นความตื่นเต้นที่เต็มหัวอก…เอาเถอะ อันที่จริงแล้วความสงบนิ่งของเขาเมื่อสักครู่นี้ก็เป็นการเสแสร้งทั้งนั้น

…………………………………………