ภาคที่ 1 บทที่ 36 เรื่องในอดีต

มู่หนานจือ

หญิงที่มาแจ้งข่าวทบทวนความทรงจำอย่างละเอียด และเอ่ยว่า “เหมือนจะมีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง…”

นั่นคือแม่นมฟางอย่างไม่ต้องสงสัย!

จ้าวอี้เคยชมนางว่าไฝนั้นเรียกว่าซ่อนมุกในพุ่มไม้[1] แล้วก็เรียกว่านกสาลิกาปากดำปีนกิ่งไม้[2] หน้าตาเป็นมงคลมากและอายุยืน

เจียงเซี่ยนก้าวออกมาทันที

ในใจของนางเหมือนฟืนที่ถูกจุดไฟเผา

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!

ที่แท้จ้าวสี่เป็นลูกของจ้าวอี้กับคนสกุลฟาง

เวลานี้เหล่าปริศนาที่แก้ไม่ได้ในชาติก่อนต่างได้คำตอบแล้ว

ทำไมตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางถึงไม่เคยสงสัยเลย?

เพราะนางมั่นใจในตนเองเกินไป?

หรือเพราะนางทะนงตนเกินไป?

มิน่าเล่าเซียวหรงเหนียงสนมผู้ได้รับความโปรดปรานแต่เพียงผู้เดียวกลับยังคงหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก ไม่กล้าเงยหน้ามองคน และไม่กล้าเอ่ยปากพูดจาเช่นเดิม!

มิน่าเล่าซ่งเสียนอี๋ที่ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายจ้าวอี้ถึงได้เสียชีวิตอย่างน่าประหลาด!

มิน่าเล่าคนสกุลฟางถึงกล้าแอบอ้างบารมีข่มเหงคนอื่นต่อหน้าตนเอง และมีเหตุผลพอที่จะเข้ามาก้าวก่ายวังทั้งหกและเรื่องภายในแคว้นได้อย่างเต็มที่!

นางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น และเดินไปเดินมาในห้องส่วนตัวเหมือนสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรง ทั้งฉุนเฉียว โกรธแค้น และโมโห

ป่าไผ่นอกหน้าต่างบดบังแสงแดดของฤดูใบไม้ร่วง และสะท้อนสีเขียวเข้มไปทั่วห้อง เหมือนตำหนักใหญ่ที่แขวนผ้าม่านไหมสีเขียวเอาไว้ ทั้งมืด ชื้น และเย็นเยียบ

มือทั้งสองข้างของเจียงเซี่ยนสั่นเทา เสียงหัวเราะที่ออดอ้อนปนหลงระเริงของผู้หญิงและเสียงหอบเบาๆ ของผู้ชายดังขึ้นข้างหู

เหมือนนางกลับไปยังศาลาโอ่วเซียงที่ตำหนักอวี้หลานอีกครั้ง

คนสกุลฟางกับจ้าวอี้กลิ้งอยู่บนผ้าปูพื้นซึ่งเป็นผ้าดิ้นสี่ฤดูสีแดงเข้ม สองแขนที่อวบอัดราวกับหิมะพันอยู่บนหลังของจ้าวอี้เหมือนงู ผมยาวสีดำขลับกระจัดกระจายอยู่บนผ้าห่มและฟูกลายสองมังกรล่อแก้วสีเหลืองอมชมพู…

นางยืนอยู่ข้างฉากกั้นห้องดอกอวี้หลานที่แกะสลักงาช้างสีขาว มองทั้งสองคนที่อยู่กลางตำหนักใหญ่อย่างแน่นิ่ง ร่างกายเหมือนแช่อยู่ในน้ำทะเลสาบช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง

คนสกุลฟางปรายตามองมา เลิกคิ้วขึ้น และมองนางด้วยสายตาท้าทาย

นางหันตัวออกจากศาลาโอ่วเซียงทันที

เหมือนเช่นตอนมา เงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงใด

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น จ้าวอี้ไปว่าราชการ

นางพาเหล่านางในที่เลือกมาจากกองพิจารณาคดีไปตำหนักอี๋อวิ๋นที่คนสกุลฟางอาศัยอยู่

คนสกุลฟางยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง

พอเห็นนางมา คนสกุลฟางก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างเกียจคร้าน และยิ้มพลางเอ่ยอย่างไม่มีความเคารพแม้แต่นิดเดียวว่า “ทำไมฮองเฮาถึงเสด็จมาเช้าขนาดนี้เพคะ? ให้หม่อมฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปคารวะฮองเฮาในตำหนักหลักเถอะเพคะ”

นางนั่งยิ้มเยาะอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนาง

นางในจากกองพิจารณาคดีเข้าไปจับตัวคนสกุลฟางไว้ แล้วบีบคางนางกรอกสารหนูลงไป

คนสกุลฟางกรีดร้องเสียงดังและดิ้นไม่หยุด

ทว่าไม่นานก็ถูกเหล่านางในจากกองพิจารณาคดีกดลงบนเตียง

นางในและขันทีที่รับใช้คนสกุลฟางกรีดร้องอย่างตกใจ และหนีกันกระเจิดกระเจิง

นางในจากกองพิจารณาคดีสีหน้าหวาดหวั่น และเอ่ยเสียงเบาว่า “ฮองเฮา ทางฝ่าบาท…”

นางเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ปล่อยพวกเขาไป หากบุกไปถึงตำหนักจินหลวนก็ยิ่งดี ให้เหล่าขุนนางพากันมาตัดสินถูกผิด เห็นฝ่าบาทนอนกับแม่นมของตนเองแล้ว ในบันทึกประวัติศาสตร์จะกล่าวอย่างไร? ในบันทึกพระราชดำรัสและพระราชจริยวัตรของฝ่าบาทจะเขียนอย่างไร? หากฝ่าบาทจะตำหนิก็ต้องมาหาข้าอย่างแน่นอน พวกเจ้าวางใจได้ คนที่ทำงานกับข้า มีแต่ถูกลงโทษเพราะทำงานพลาดกับยังทำงานไม่เสร็จเท่านั้น ในเมื่อข้ากล้าลงมือก็ไม่กลัวฝ่าบาทสืบสวน”

เหล่านางในจากกองพิจารณาคดีต่างโล่งอก

คนสกุลฟางพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ด่าทอเสียงดังว่าเจียงเซี่ยนเป็นคนโหดเหี้ยม และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเจ้าไปหรอก”

แต่เจียงเซี่ยนไม่คิดเช่นนั้น และสั่งนางในจากกองพิจารณาคดีอย่างแผ่วเบา “กรอกสารหนูให้นางอีกขวดหนึ่งเถอะ! ข้าได้ยินว่าตอนที่ลงโทษขุนนางใหญ่ต่างก็ใช้สารหนู ของที่ไร้ศีลธรรมอย่างนาง ใช้สารหนูกับนางเป็นการสิ้นเปลืองก็จริง แต่หากมอบผ้าแพรขาวให้แขวนคอฆ่าตัวตาย ซึ่งถีบทีเดียวก็ตายแล้ว ข้าก็รู้สึกว่าปล่อยผู้หญิงคนนี้ไปง่ายเกินไป จึงจำเป็นต้องใช้สารหนูกับนาง ว่ากันว่าคนที่ใช้สารหนูต่างเจ็บปวดเจียนตาย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าสารหนูนี้จะไม่ตายทันที และต้องเจ็บไปหลายชั่วยาม ข้ารอหลายชั่วยามไม่ไหว พวกเจ้าเพิ่มยาอีกหน่อยก็น่าจะรอจนฝ่าบาทเสด็จมาได้ ทำให้พวกเขาเห็นฉากสุดท้ายพอดี ข้าจะได้ฟังว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรจะสั่งเสีย ฝ่าบาทจะได้ไม่แอบไปทำลับหลังข้าอีก ข้ารู้สึกไม่สบายใจ”

นางในจากกองพิจารณาคดีกรอกยาให้คนสกุลฟางอีกขวดหนึ่ง

คนสกุลฟางเจ็บจนเหงื่อตกเต็มศีรษะ และด่านางไม่หยุดว่านางไม่มีวันได้ตายดี

นางนั่งดื่มชารอจ้าวอี้อยู่ตรงนั้นอย่างเยือกเย็น

จ้าวอี้มาได้เร็วมากทีเดียว

เขาจัดการข้อราชการอยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่วตรงประตูวังทางทิศตะวันออก เพียงแค่หนึ่งชั่วยามก็มาถึงแล้ว

ระหว่างนั้นเจียงเซี่ยนก็ให้คนป้อนสารหนูให้คนสกุลฟางอีกขวดหนึ่ง นางจึงเจ็บจนพูดไม่ออกแล้ว

จ้าวอี้กอดคนสกุลฟางไว้และร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบหน้า

นางถามจ้าวอี้ “จะให้หม่อมฉันเรียกหมอหลวงมาให้หรือไม่เพคะ?”

จ้าวอี้หันกลับมาจ้องนางอย่างโกรธจัด พลางตะโกนเสียงดัง “ข้าจะปลดเจ้า ข้าจะให้ม้าแยกร่าง[3]เจ้า ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นหมู[4]”

นางหัวเราะและเอ่ยว่า “เอาสิ! ฝ่าบาทออกคำสั่งปลดหม่อมฉันเลย ส่งหม่อมฉันให้กรมอาญาแยกร่างเลย แต่ฝ่าบาทจะเขียนราชโองการนี้อย่างไรหรือ? มีความสัมพันธ์กับแม่นมของตนเอง แล้วถูกฮองเฮาของฝ่าบาทพบเข้า ฝ่าบาทเลยจะปลดนาง แถมยังจะทำให้นางกลายเป็นหมู!”

จ้าวอี้อึ้งไปตรงนั้น

นางยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “เสด็จพี่ พวกเรามาคุยกันดีๆ เถอะ! หม่อมฉันก็ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน พวกเราเป็นสามีภรรยากัน เสด็จพี่ไม่มีหน้า แล้วหม่อมฉันจะมีหน้าอย่างนั้นหรือ? นี่หากแพร่งพรายออกไป ไม่เพียงแต่หม่อมฉันจะถูกคนอื่นเห็นเป็นตัวตลก จวนเจิ้นกั๋วกงก็จะถูกคนอื่นเห็นเป็นตัวตลกด้วย ต่อให้หม่อมฉันไม่คิดเพื่อตนเอง ก็ต้องคิดเพื่อท่านลุงและท่านพี่ของหม่อมฉันเช่นกันเพคะ!”

บางทีชื่อของจวนเจิ้นกั๋วกงอาจจะควบคุมเขาได้

จ้าวอี้มองนางอย่างงุนงง เหมือนทำอะไรไม่ถูก

นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหยุดอยู่ห่างจากจ้าวอี้สิบก้าว พลางเอ่ยเสียงเบาแบบที่คนสกุลฟางสามารถได้ยินได้ว่า “เสด็จพี่ หม่อมฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว หม่อมฉันขอเพียงลูกชายคนเดียว ต่อไปเสด็จพี่จะทำอะไร หม่อมฉันก็จะไม่ยุ่งทั้งนั้น แต่คนสกุลฟางจะอยู่ไม่ได้ หากนางยังอยู่ก็จะเป็นจุดอ่อนของเสด็จพี่ ชาตินี้เสด็จพี่ก็เลิกคิดที่จะเป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาสามารถไปได้เลย เสด็จพี่เพิ่งจะว่าราชการด้วยพระองค์เองสามปี ทว่าคนที่ควบคุมกรมวังคือท่านปู่อ๋องเจี่ยน พอคิดว่าตอนนั้นที่ไทเฮากุมอำนาจ พวกเราใช้ชีวิตกันลำบากแค่ไหน หม่อมฉันก็ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้วเพคะ”

สีหน้าของจ้าวอี้อารมณ์ไม่มั่นคงนัก

คนสกุลฟางอยากพูดอะไรบางอย่าง คอที่ผ่านการร้องไห้และกรีดร้องเสียงดังมาเป็นเวลานานก็พูดไม่ออกเสียแล้ว

นางปรายตามองคนสกุลฟาง เลิกคิ้วขึ้น และมองอีกฝ่ายด้วยสายตาท้าทาย

คนสกุลฟางเกลียดจนตาแดงไปหมด

จ้าวอี้ก็เอ่ยทันทีว่า “ได้! ข้ารับปากเจ้า ข้าจะมอบลูกชายให้เจ้าคนหนึ่ง แล้วต่อไปเจ้าก็ห้ามยุ่งเรื่องของข้าอีก”

นางยิ้มพลางขานรับ “เพคะ” และออกจากตำหนักอี๋อวิ๋นไปโดยไม่หันกลับมาอีก

ตอนกลางคืน จ้าวอี้มาที่ตำหนักเล่ออี๋ที่นางอาศัยอยู่

เฉินเหม่ยเหรินที่รูปร่างผอมบางสวมเสื้อผ้าเนื้อบางคุกเข่ารอจ้าวอี้อยู่บนเตียง

จ้าวอี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันใด และชี้นางพลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

นางลูบภาพเป็ดแมนดารินเล่นน้ำที่ปักอยู่บนผ้าแพรเช็ดหน้าสีขาวเบาๆ และเอ่ยอย่างดูถูกว่า “หม่อมฉันเห็นฝ่าบาทก็รู้สึกขยะแขยง จึงต้องให้คนอื่นมาปรนนิบัติฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทวางพระทัยได้ หากเฉินเหม่ยเหรินให้กำเนิดลูกชาย หม่อมฉันจะอบรมเลี้ยงดูเขาเหมือนเป็นลูกชายแท้ๆ ของตนเอง ฝ่าบาทคิดว่าเฉินเหม่ยเหรินเป็นหม่อมฉันก็พอ”

จ้าวอี้สะบัดแขนเสื้อจะจากไป

นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พรุ่งนี้ก็วันที่สิบห้าแล้ว ตามกฎ การประชุมข้อราชการของเช้าวันที่สิบห้านั้น ฮองเฮาจะรับการคารวะจากสตรีบรรดาศักดิ์ข้างในและข้างนอก ฝ่าบาทประทับที่ตำหนักของหม่อมฉันดีกว่า! พรุ่งนี้พวกเราสองสามีภรรยาจะได้ไปร่วมประชุมด้วยกัน”

เวลานั้นลุงของนางคุมกองบัญชาการห้าทัพและค่ายทหารภูเขาตะวันตกอยู่ เจียงลวี่พี่ชายของนางดำรงตำแหน่งแม่ทัพต้าถง หวังจ้านพี่ชายของนางอีกคนหนึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการฐานที่มั่นเทียนจิน เกาหลิ่งหัวหน้าหน่วยองครักษ์เป็นคนสนิทของจ้าวอี้ ทว่าเขากินอะไรไม่ค่อยดีลงไป ตอนบ่ายจึงลางานและออกจากวังไปแล้ว

———————————-

[1] ซ่อนมุกในพุ่มไม้ หมายถึง ไฝที่อยู่กลางคิ้ว

[2] นกสาลิกาปากดำปีนกิ่งไม้ หมายถึง ไฝที่อยู่กลางคิ้ว

[3] ม้าแยกร่าง วิธีการลงโทษอันแสนโหดเหี้ยมในสมัยโบราณ โดยผูกม้า 5 ตัวกับศีรษะและแขนขา แล้วให้ม้าวิ่งไปคนละทาง เพื่อกระชากร่างออกจากกัน

[4] ทำให้คนกลายเป็นหมู วิธีการลงโทษอันแสนโหดเหี้ยมในสมัยโบราณ โดยตัดแขนขา ควักลูกตา กรอกทองแดงเข้าไปในหูเพื่อให้หูหนวก กรอกยาที่ทำให้เป็นใบ้ลงไปในคอ ตัดลิ้น ทำลายเส้นเสียง ทำให้พูดไม่ได้ แล้วทิ้งไว้ในห้องน้ำ แถมบางทียังจะตัดจมูก โกนศีรษะ โกนขนคิ้ว และทายาที่ทำให้ขนไม่งอกขึ้นใหม่ด้วย