ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 18 อย่าแย่งของสุ่มสี่สุ่มห้า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ซือคงจิงอ้าปากตาค้าง

องครักษ์ชุดดำของเยี่ยนจ้าวเกอเองก็อ้าปากตาค้าง

บรรดาศิษย์แห่งเขากว่างเฉิงก็อ้าปากตาค้างเช่นกัน

เยี่ยจิ่งผู้อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งสับสนทำตัวไม่ถูก!

ที่อีกฝ่ายเรียกเมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็น…เจ้าเด็กแซ่เยี่ยน

นั่นคงจะหมายถึงเยี่ยนจ้าวเกอกระมัง

เช่นนั้นสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมองออกไป เห็นในมือของเยี่ยจิ่งยังคงถือเชื้อไฟสัจจะอัคคีที่จู่ๆ ก็โหมรุนแรงมากยิ่งขึ้น และดิ้นไม่หยุดเหมือนกับจะหลุดออกจากมือเยี่ยจิ่งได้ทุกเมื่อ

คลื่นอากาศดุจมรสุมเพลิงผลาญที่อยู่รอบๆ กำลังตอบรับกับเชื้อไฟสัจจะอัคนีอย่างชัดเจน

‘เขาใช้เชื้อไฟสัจจะอัคคีเป็นตัวกำหนดเป้าหมาย ต่อให้อยู่ห่างจากปราการมังกรก็ยังกำหนดตำแหน่งได้’ เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจในทันที ‘เชื้อไฟสัจจะอัคนีนี้ เขาคงจะหามันเจอก่อนแล้ว และจัดการวางกับดักไว้เป็นเหยื่อล่อข้า’

‘มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ เขาที่ซุ่มดักรออยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงการดูดกลืนพลังจากเชื้อไฟสัจจะอัคคีก็คิดว่าเป็นข้า จึงจัดการลงมือ และเข้ามาถึงอย่างกะทันหันเช่นนี้ ท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกก็คงไม่ทันสังเกตและหยุดยั้งไม่ทันแน่’

เยี่ยนจ้าวเกอได้สติกลับมา สีหน้าแปลกประหลาดไปบ้างเล็กน้อย

คาดว่าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงเองก็คงรู้ตัวถึงการมาของผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของเขากว่างเฉิงแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกรั้งไว้ จึงทำได้เพียงตัดสินใจลงมือให้เด็ดขาดโดยเร็ว

ปล่อยหมัดให้ตกลงมาจากข้างนอกหุบเขาตรงๆ โดยที่ไม่เข้ามาในปราการมังกร!

เขาคงคิดไม่ถึงว่าสิ่งของที่เยี่ยนจ้าวเกอต้องการนั้น จะโดนคนอื่นชิงตัดหน้าไปเสียแล้ว…

ตัวเยี่ยจิ่งเองยิ่งคาดไม่ถึงเลย ว่าโชคลาภที่สวรรค์ประทานให้ จู่ๆ จะกลับตาลปัตรกลายเป็นเคราะห์ร้ายไปในพริบตา

เขาได้เชื้อไฟมา แต่กลับต้องรับหมัดแทนเยี่ยนจ้าวเกอ!

“อ๊าก!” เยี่ยจิ่งที่อยู่ใจกลางเตาหลอม รู้สึกเพียงเหมือนถูกไฟแผดเผาทั้งร่างกาย

เมื่อเทียบเขากับเฉาหยวนหลงในตอนนี้ ทั้งคู่เป็นเหมือนความแตกต่างระหว่างแสงอันน้อยนิดของหิ่งห้อย กับแสงที่โชติช่วงของดวงตะวัน

คลื่นพลังอันบ้าคลั่งค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ซือคงจิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างเยี่ยจิ่งเองก็ทรมานไม่ใช่น้อย เพราะต่างโดนผลักกระเด็นไปข้างหลัง ซือคงจิงเจตนาดีจะเข้าไปช่วย ทว่าไม่สามารถต้านพลังมหาปรมาจารย์ของหัวหน้าค่ายห้าวิญญาณได้ ลำพังแค่คลื่นพลังรอบนอกก็กดดันจนทำให้นางขยับตัวไม่ได้แล้ว

ความห่างชั้นของทั้งสองฝ่ายมากเกินไป อีกทั้งยังเกินขีดจำกัดมาก

เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่ระดับชั้นที่พวกเขาสามารถแตะต้องได้ในตอนนี้ นอกจากจะเป็นฝ่ายหาเรื่องมหาปรมาจารย์ก่อน มิเช่นนั้นจะมีมหาปรมาจารย์สักกี่คนที่จะให้จอมยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกายมาเป็นคู่ต่อสู้

ทั้งสองฝ่ายจะพบหน้ากันสักครั้งหนึ่งยังเป็นเรื่องที่ยากเลย

สำหรับจอมยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกายนั้น มหาปรมาจารย์เป็นดั่งบุคคลในตำนาน

ส่วนปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในอย่างเยี่ยนจ้าวเกอเอง ได้กลายเป็นเป้าหมายที่ใช้ระบายความแค้นของหัวหน้าค่ายชื่อหลิง เพราะบิดาของตนเอง

เยี่ยจิ่งที่กำลังร้องครวญครางยกมือขวาของตนขึ้น แหวนสีแดงคล้ำที่อยู่บนนิ้วมือพลันเกิดแสงสีเพลิงต้านการโจมตีของหัวหน้าค่ายชื่อหลิง

การลงมือโดยที่มีปราการมังกรคั่นกลาง ทำให้การโจมตีของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงลดทอนลงมาก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น อานุภาพของมันก็มากพอที่จะฆ่าเยี่ยจิ่งได้ในเสี้ยววินาที!

ชายหนุ่มมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว เขารู้สึกเสียดายแทนอยู่บ้าง ‘เพราะอย่างนั้นถึงบอกว่าอย่าเที่ยวแย่งของไปมั่วซั่วอย่างไรเล่า’

‘แม้จะบอกว่าบุตรแห่งสวรรค์ที่มีรัศมีตัวเอกปกคลุมอยู่สามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ แต่การข้ามขั้นนี้ก็มีขีดจำกัด คงเป็นไปไม่ได้ที่มือใหม่จะเอาชนะหัวหน้าตัวฉกาจระดับสูงมากๆ ได้’

‘ระดับต่างกันจนเกินไป ความห่างชั้นของขั้นประจักษ์นภาและขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายของการฝึกยุทธ์หลอมกายสิบขั้น ก็ห่างกับระยะห่างของขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางถึงขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายมากแล้ว และความห่างชั้นระหว่างระดับปรมาจารย์กับขั้นประจักษ์นภา ก็ยิ่งมากกว่าขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายถึงขั้นประจักษ์นภา’

‘อีกทั้งหัวหน้าค่ายชื่อหลิงก็เป็นถึงมหาปรมาจารย์ ซึ่งหากนับกันตามความเป็นจริงแล้ว ระดับขั้นของเขาสูงกว่าเยี่ยจิ่งหลายสิบขั้น…’

ซึ่งความห่างชั้นไม่สามารถใช้คำว่าการบดขยี้ทางระดับวรยุทธ์มาบรรยายได้แล้ว

เห็นได้ชัดว่า ในขณะที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นนี้ เยี่ยจิ่งไม่สนใจการเก็บซ่อนความลับอีกต่อไปแล้ว จึงเผยพลังทั้งหมดที่ตนมีอยู่ออกมา

พลังอานุภาพในตอนนี้มากยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับเฉาหยวนหลงมากนัก

ทว่าน่าเสียดาย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความห่างชั้นที่มากกว่าหนึ่งกิโลเมตร การขยับจากหนึ่งเซนติเมตรเป็นสองเซนติเมตร สามเซนติเมตร จึงไม่เกิดผลใดๆ ทั้งนั้น

‘แต่เดี๋ยว ข้าขอคิดดูก่อน…เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ตัวเอกบางคนก็ยังคงตายยากอยู่ดีนั่นแหละ’ เยี่ยนจ้าวเกอคุ้มกันผู้คนที่อยู่รอบตัวไปพลาง ขยับเข้าไปใกล้ใจกลางมรสุมที่เยี่ยจิ่งอยู่ไปพลาง ‘ในเวลาเช่นนี้มักมีตัวเก่งโผล่ออกมาอย่างกะทันหันเสมอ และอาจช่วยให้ตัวเอกผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยเหตุผลนั่นนี่’

‘อาจเพราะมีพันธไมตรีมาก่อน อาจเป็นเพราะถูกตัวเอกหลอกใช้อำนาจให้เป็นที่กำบัง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกมาช่วยตัวเอกแน่นอน’

‘หลังจากนั้นก็อาจจะยังเป็นโอกาสที่ช่วยให้ตัวเอกประสบความสำเร็จด้วย’

ในขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอกำลังครุ่นคิด จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงการสั่นไหวรุนแรงจากส่วนลึกของปราการมังกร

มวลพลังหนึ่งอันน่าครั่นคร้ามจนถึงขีดสุดลอยออกมาจากในหมอกดำ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงอีกด้วย!

เยี่ยนจ้าวเกอเบิกตาโพลง ‘…โอ้โห เจ้านั่นยังมีจริงๆ หรือนี่?’

“ใครกันที่ทำลายเรื่องดีๆ ของข้า” เสียงฉุนเฉียวดังสะท้อนอยู่ในปราการมังกร สั่นสะเทือนจนวิญญาณของทุกคนราวกับจะหลุดออกจากร่างไป

เยี่ยจิ่งที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย กลับมีท่าทีดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงที่ดุร้ายนี่เข้า จึงดิ้นรนตะโกนออกมาว่า “ท่านพี่ใหญ่หาน!”

“เอ๊ะ เป็นน้องเยี่ยหรือ?” เสียงนั้นดังขึ้น “ใครบังอาจแตะต้องน้องเล็กของข้า”

มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหมอกดำท่ามกลางเสียงตะโกน พร้อมทั้งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้ามันก็กลายเป็นมือขนาดมหึมาช่วยกีดกันมรสุมไฟให้กับเยี่ยจิ่ง!

ปราการมังกรพลันเกิดแผ่นดินไหวในทันที

บรรดาศิษย์เขากว่างเฉิงคนอื่นๆ เห็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในชั่วพริบตา จึงอึ้งงันไปชั่วขณะ

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาวครั้งหนึ่ง ‘เยี่ยม พี่น้องร่วมสาบานอะไรอีก หรือจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานระดับมหาปรมาจารย์กับระดับยุทธ์หลอมกาย? เจ้าเองก็มองเห็นรัศมีตัวเอกของเขาเช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่’

“…ช้าก่อน เตาผลึกหินชั้นในของข้า!”

ในสถานการณ์ที่อันตรายจนถึงขีดสุด ผู้ที่มาเยือนช่วยรับการโจมตีของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงแทนเยี่ยจิ่ง การประมือของมหาปรมาจารย์ทั้งสองจึงทำให้พื้นที่รอบข้างราบเป็นหน้ากลองในทันที

หมอกดำในปราการมังกรสั่นกระเพื่อมดั่งคลื่นยักษ์ที่กำลังถาโถม ส่งผลให้พื้นที่ในสภาพแวดล้อมพิเศษของที่นี่เริ่มผิดเพี้ยนและบิดเบือน เมื่อได้รับการกระตุ้นดังกล่าว

หน้าผาล้มลงระเนระนาดแตกเป็นเสี่ยงๆ เตาผลึกหินชั้นในของเยี่ยนจ้าวเกอเองก็ได้รับผลกระทบ และตกลงสู่หุบเหวด้านล่างของปราการมังกร!

หลังจากโดนสกัดกั้นการโจมตีแล้ว หัวหน้าค่ายชื่อหลิงก็พลันโกรธเกรี้ยว ส่วนเจ้าของมือขนาดมหึมาผู้นั้นเป็นคนอารมณ์ร้อน จึงกลายร่างเป็นสายฟ้าผ่าอยู่ด้านบนของปราการมังกร ก่อนจะมุ่งตรงไปจัดการกับหัวหน้าค่ายชื่อหลิง

ในวินาทีนั้นเอง มีพลังยิ่งใหญ่ดุจท้องนภาและมหาสมุทรอันน่าหวั่นเกรงสายหนึ่ง มาจากด้านนอกของปราการมังกร

ในที่สุดผู้คุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกของสำนักเขากว่างเฉิงก็มาถึง

แต่ขณะที่ศิษย์ทั้งหลายของเขากว่างเฉิงที่กำลังเตรียมจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังสนั่นฟ้าดินมาจากด้านนอกหุบเขาอีก

“เจ้าเหยียน!”

“ปีศาจหาน? เจ้ายังไม่ตายหรือนี่?”

“เจ้าเหยียน ขอบใจเจ้ามาก ข้ารอดตายมีชีวิตใหม่ขึ้นมาได้แล้ว วันนี้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า!”

ด้านนอกปราการมังกร เกิดการต่อสู้ซึ่งๆ หน้าระหว่างมหาปรามาจารย์ที่ทรงพลังกว่าเมื่อครู่ขึ้น และส่งผลกระทบออกไปไกลในทันที!

ทุกคนที่อยู่ในหุบเหวต่างพากันตกใจ เพราะไม่มีใครคิดเลยกว่าปีศาจหานที่เพิ่งช่วยชีวิตเยี่ยจิ่งไปเมื่อครู่นี้ จะหันไปสู้กับอาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกของสำนักตนอย่างดุเดือดภายในพริบตาเดียว!

มหาปรมาจารย์ทั้งสองที่มาถึงในตอนท้ายสู้กันไม่ยั้ง ส่วนหัวหน้าค่ายชื่อหลิงที่เข้ามาคุกคามในตอนแรกนั้นถูกมองข้ามไปแล้ว

เมื่อเขาเห็นว่าผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของสำนักเขากว่างเฉิงและผู้อาวุโสเหยียนมาถึงแล้ว และถึงแม้ทั้งสองคนนั้นจะไม่สนใจเขาในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป

ยอดฝีมือที่ประจำการณ์อยู่ที่อาณาจักรถังตะวันออกและเกาะนภาตะวันออกคนอื่นๆ ของสำนักเขากว่างเฉิงก็กำลังเดินทางมาที่นี่ด้วยความรวดเร็ว

ฝ่ายหัวหน้าค่ายชื่อหลิงไม่ได้เข้าสู่ปราการมังกร เพียงแต่ทิ้งระยะห่างอยู่บนหน้าผา หลังจากปล่อยหมัดสุดท้ายออกไปแล้ว เขาก็รีบหนีไปไกลในทันที โดยไม่อยู่รอดูผลลัพธ์

จุดหมายที่หมัดนั้นมุ่งไป…ยังคงเป็นเยี่ยจิ่งที่กำเชื้อไฟสัจจะอัคคีเอาไว้ในมือ

เยี่ยนจ้าวเกอเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ส่วนเยี่ยจิ่งนั้นแทบจะร้องไห้แล้ว

……………