บทที่ 33 เจ้าร้ายกาจถึงเพียงนั้น

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยเหลือบตามองเขาครั้งหนึ่ง “ท่านแน่ใจว่าท่านเป็นท่านหมอ?”

เซียวเยี่ยนเดินเข้ามากล่าวว่า “นำมาให้เปิ่นหวางดู” เขามองด้วยสายตาเรียบเฉย จากนั้นอ่านตัวอักษรบนเทียบยานั้นออกมาทีละตัว ให้ท่านหมอเขียนใหม่อีกครั้ง “หงเถิง[1] ปั้นจือเหลียน[2] อย่างละครึ่งตำลึงเงิน ไป๋โถวเวิง[3]ครึ่งตำลึงเงิน หญ้าลิ้นงูสองตำลึงเงิน…”

เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่านี่คือสตรีที่เต็มไปด้วยปริศนานางหนึ่ง ดูมือของนางขณะฝังเข็มนั้นไร้ความลังเลใจ ไม่รู้ว่าความมั่นใจที่ปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นั้นมาจากที่ใดกัน ทว่ากลับทำให้ผู้คนมิอาจเลื่อนสายตาไปได้ ยังมีตัวอักษรของนางอีก ลายมือตวัดไปมาราวกับต้นหญ้าไม่เหมือนตัวอักษรที่เขียนโดยสตรีอายุสิบหกปีนางหนึ่ง

เมื่อคัดลอกเทียบยาเรียบร้อยแล้วหมอหลวงกล่าวว่า “นี่ นี่…เทียบยาลักษณะเช่นนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนนี่นา…”

หลินชิงเวยบีบนวดหน้าผาก อธิบายอย่างอดทนว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อนใช่หรือไม่ เช่นนั้นท่านมานี่ ข้าถีบท่านสักสองหนแล้วค่อยบอกกับท่าน”

การแพทย์แผนจีนทั้งล้ำลึกและกว้างขวาง มิใช่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณจากรุ่นสู่รุ่นหรือ คนผู้นี้กลับบอกว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนช่างเป็นเรื่องขายหน้าบรรพบุรุษโดยแท้จริง

เมื่อหลินชิงเวยหันกายจะเดินไป หมอหลวงปาดเหงื่ออีกครั้ง “ครึ่งชั่วโมง…หมายถึงครึ่งชั่วยามใช่หรือไม่?”

หลินชิงเวยไม่ได้หันกลับไปทว่าตอบอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ครึ่งของครึ่ง”

ออกมาจากตำหนักบรรทมของเซียวจิ่น หลินชิงเวยนับว่าได้สูดลมหายใจอันสดชื่นเข้าปอดเสียที เมื่อสักครู่ขณะที่นางฝังเข็มให้กับเซียวจิ่นนั้นได้ใช้พละกำลังไปทั้งหมด เวลานี้เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงจึงรู้สึกหมดเรี่ยวแรงทั้งเหนื่อยทั้งหิว เซียวเยี่ยนเดินตามหลังออกมายืนอยู่ข้างกายหลินชิงเวยครู่หนึ่ง เขาใช้หางตามองประเมินหลินชิงเวยครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “ครึ่งชั่วยาม น่าจะเป็นหนึ่งชั่วโมงที่เจ้าพูดถึง เพียงแต่การนับเวลาเป็นชั่วโมงนั้นต้าเซี่ยไม่เคยมีมาก่อน ผู้ใดสอนเจ้า?”

หลินชิงเวยเหนื่อยเสียจนจะกระอักน้ำย่อยออกมาอยู่แล้ว ดังนั้นอารมณ์จึงไม่ได้ดีสักเท่าใดนัก นางกลอกตาขาวใส่เขา “มารดาท่าน”

เซียวเยี่ยน “…”

หลินชิงเวยนั่งลงบันไดหน้าประตูครู่หนึ่ง พลันรู้สึกว่าขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง จึงถามขึ้นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “ซินหรูเล่า?”

อ้อ นางคิดออกแล้ว ซินหรูถูกเซียวเยี่ยนทิ้งไว้ข้างหลังนี่นา

วังหลวงกว้างใหญ่เช่นนี้ นางไม่เคยออกมาจะรู้ทางได้อย่าง ดังนั้นหลินชิงเวยจึงลุกขึ้นพรวด ปัดๆ ก้นแล้วเตรียมจะเดินออกไป เดินไปได้สองก้าวจึงชะงักหันกลับมามองเซียวเยี่ยนที่ยืนนิ่ง “ท่านอ๋องจะพาข้าไปตามหาซินหรูได้หรือไม่?”

เซียวเยี่ยนมองนางด้วยสายตาดูแคลนชนิดหนึ่งพร้อมกับหลุบตาลง “เจ้าร้ายกาจถึงเพียงนั้น เจ้าไปหาเอง”

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเมื่อสักครู่เป็นเซียวเยี่ยนที่พานางเหินกายข้ามมา ต่อให้ปล่อยให้นางเดินมาเองก็ไม่แน่ว่านางจะจำทางได้ว่าต้องเดินกลับไปหาซินหรูอย่างไร จนปัญญาที่นางกลัวความสูงและจำทิศทางไม่ได้

คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องท่านนี้จะใจแคบเช่นนี้

นางได้แต่หันหน้ากลับไป เดินไปข้างหน้าต่อ “คนบางคนใช้ประโยชน์จากผู้อื่นเสร็จแล้วก็ไม่สนใจ ชิ คิดว่าการรักษาเพียงครั้งเดียวจะสามารถรักษาอาการเจ็บปวดของฮ่องเต้น้อยให้หายแล้วหรือ ทางเดินข้างหน้ายังอีกยาวไกลพวกเรารอดูกันต่อไปก็แล้วกัน ต้องมีสักวันที่ท่านต้องมาขอร้องข้า”

เดินไปเดินไปพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่แผ่มาจากด้านหลัง หลินชิงเวยใช้หางตามองไปเห็นเพียงเงาร่างสูงใหญ่นั้นมองตามตนเองมา ขณะที่นางเดินมาถึงทางแยกกำลังจะเลี้ยวซ้ายนั้น เสียงจากข้างหลังดังขึ้น “ไปทางขวา”

จิตใจที่เหนื่อยล้าของหลินชิงเวยพลันรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด จึงหันไปยิ้มกับเขา “เซ่อเจิ้งอ๋องมิใช่ไม่ไปพร้อมกับข้าหรือไร ท่านอ๋องงานยุ่งเช่นนี้ ไหนเลยจะมีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนสตรีตัวเล็กๆ เช่นข้า”

[1] หงเถิง หรือ เลือดเต็ง มีสรรพคุณ ขับร้อน ขับพิษ ช่วยให้เลือดไหวเวียนดี แก้ปวด รสชาติขม มีคุณสมบัติเป็นกลาง เข้าสู่เส้นลมปราณ ตับ ลำไส้ใหญ่

[2] ปั้นจือเหลียน หรือ ปัวกิน้อย เป็นหญ้าชนิดหนึ่งที่เป็นยาช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ถอนพิษ ดับพิษไข้ คลายความร้อนในร่างกาย สามารถช่วยในเรื่องของมะเร็งได้ในระดับหนึ่ง

[3] ไป๋โถวเวิง หรือ แปะเถ่าอง เป็นรากแห้งของพืช ใช้ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ