ตอนที่ 27 วิญญาณเทพเหมันต์กับความลำบากในการบรรลุช่วงพลัง Ink Stone_Romance
ดินแดนเหมันต์ หลิวหลีทวนสี่คำนี้วนไปมา มีวิญญาณเทพเหมันต์ หนานกงเวิ่นเทียนสามารถสัมผัสได้ นี่คือหลักการอะไรกัน หรือเป็นเพราะเสี่ยวเทียนมีแกนวิญญาณเหมันต์หรือ หลิวหลีรู้สึกว่าสมองของตัวเองสับสนไปเล็กน้อย
หนานกงเวิ่นเทียนผงกศีรษะ เริ่มหลับตาลงเพื่อสัมผัสวิญญาณเทพเหมันต์ หลิวหลีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะนำกระดานค่ายกลออกมา แล้วก็คิดดูอีกครั้งและนำหินวิญญาณคุณภาพระดับสูงร้อยชิ้นออกมา หลิวหลีทรุดตัวนั่งลงเช่นกัน แล้วเริ่มบำเพ็ญเพียร นางไม่มีแกนวิญญาณเหมันต์จึงไม่สามารถสัมผัสวิญญาณเทพเหมันต์ได้ ไม่สู้บำเพ็ญเพียรยังจะดีเสียกว่า ว่าแต่แกนวิญญาณคืออะไรกันแน่
หนานกงเวิ่นเทียนพยายามสัมผัสวิญญาณเทพเหมันต์ ของศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเช่นนี้สัมผัสได้ยากนัก หลิวหลีเข้าสู่สภาวะบำเพ็ญเพียรอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนการบำเพ็ญเพียร แต่จริงๆแล้วหลิวหลีทำสองอย่างไปพร้อมกัน แกนวิญญาณคืออะไร ว่ากันว่าแกนวิญญาณคือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และเพราะมีแกนวิญญาณจึงจะเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรได้ ถ้าอย่างนั้นทำไมแกนวิญญาณต้องแบ่งเป็น 5 สาย นางคือแกนวิญญาณอัคคี อัคคีคืออะไร หลิวหลีเริ่มคิด ได้ยินมาว่าในโบราณกาล ไม่มีไฟ แต่เพราะมีฟ้าผ่าลงท่อนไม้เกิดเป็นประกายไฟ จึงเกิดเป็นไฟขึ้นมา ภายหลังคนสามารถปั่นไม้จุดไฟได้ จึงสามารถจุดไฟขึ้นเองได้ ไฟคืออะไร เป็นความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในช่วงหน้าหนาวโดยเฉพาะที่นี่ เมื่อมีไฟแล้วถึงจะมีความอบอุ่นมากขึ้นเป็นพิเศษ อุกกาบาตลูกหนึ่งสามารถทำให้เกิดไฟลุกโหมกระหน่ำได้ อยู่ๆหลิวหลีก็คิดถึงเพลิงบุปผาเหมันต์ในร่างตน ถึงแม้จะหนาวเหน็บแต่ก็ยังร้อนระอุ แผดเผาสิ่งแปดปื้อนได้ทั้งมวล
เอ๋าเลี่ยที่อยู่ในมิติอสูรภูต สัมผัสระลอกพลังเซียนได้ทันที เด็กนี่กำลังพินิจหาความหมายของไฟ เพียงแต่ว่าสีหน้าของเอ๋าเลี่ยแปลกไปน้อยๆ มาพินิจความหมายของไฟในดินแดนเหมันต์ หลิวหลี เจ้าล้อเล่นมากเกินไปหรือเปล่า
หลิวหลียังคงพินิจต่อ หนานกงเวิ่นเทียนสัมผัสได้ถึงความร้อนข้างตัว นังหนูกำลังพิจารณาวิถีธาตุอัคคีหรือ? เอ่อ ผิดที่ผิดทางไปหน่อยกระมัง
อัคคี แข็งแกร่งทรงพลัง สามารถเผาทำลายได้ทุกสิ่ง มีพลังทำลายล้างแถมยังทรงพลานุภาพ เพียงแค่ลูกไฟลูกเล็กๆก็สามารถก่อให้เกิดกองไฟโหมกระหน่ำ เผาทำลายสิ่งสกปรกทั้งปวง ในความแข็งกร้าวนั้นมีความอ่อนโยนแฝงอยู่ หลิงหลีนึกถึงสรรพชีวิตที่เกิดขึ้นหลังไฟโหมกระหน่ำ ในความแข็งกร้าวแฝงไปด้วยความอ่อนโยน เมื่อหลิวหลีคิดได้เช่นนี้ ไฟในตัวก็เผาผลาญแรงกล้า หนานกงเวิ่นเทียนจำเป็นต้องเปิดตามอง ลูกกลมสีคล้ายน้ำแข็งลอยผ่านมา ที่นี่มีกลิ่นอายที่มันไม่ชอบใจนัก เพียงแต่กลิ่นอายออกจะแข็งแกร่งเกินไป มันอ่อนแอจนไม่อาจต้านทานได้ ฮือ ทำไมถึงได้มีสิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายเช่นนี้ เฟิ่งอิงเสวี่ยกับเอ๋าเลี่ยมองดูวิญญาณเทพเหมันต์ที่ลอยมา ไม่รู้จะยิ้มหรือจะร้องไห้ดี ที่โดนไฟไล่มาจนถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเลยจริงๆ
วิญญาณเทพเหมันต์อยากจะหนีเอาตัวรอดแต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ไฟล้อมรอบมันจนไปไหนไม่ได้ ข้างบนก็เป็นกำแพงไฟ เจ้าคนชั่ว วิญญาณเทพเหมันต์ร้อนใจวนไปมาเป็นวงกลม เจ้าเป็นร่างไฟจะเอาวิญญาณเทพเหมันต์ของเขาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ วิญญาณเทพเหมันต์หมุนวนต่ออีกหลายรอบก่อนจะค้นพบว่าเขาออกไปไหนไม่ได้จริงๆ แต่เมื่อเห็นแกนวิญญาณน้ำแข็งของหนานกงเวิ่นเทียนก็ราวกับพบโลกใบใหม่ ถึงแม้ไม่ได้พิจารณาถึงเหมันต์แต่ก็ยังดีกว่าไฟก็แล้วกัน วิญญาณเทพเหมันต์กลัวเหลือเกินว่าหลิวหลีจะขัดขวางจึงรีบพุ่งเข้าร่างหนานกงเวิ่นเทียนทันที
หนานกงเวิ่นเทียนตกตะลึง และในเวลานี้เองหลิวหลีก็ลืมตาขึ้น “เร็ว รีบซึมซับเร็วเข้า” หลิวหลีตื่นจากการบำเพ็ญ ที่แท้หลิวหลีพิจารณาวิถีธาตุอัคคีเพื่อล่อให้วิญญาณเทพเหมันต์ออกมา และจงใจสร้างกำแพงเพลิงขึ้นด้วยกลัวว่ามันจะหนีไป เพื่อไม่ให้มันมีทางออก และตนเองไม่เหมาะสมอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นหนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆก็จะหลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และสุดท้ายผลก็ออกมาอย่างที่คิด แล้วภายในก้นบึ้งสติของนางมีมนุษย์ไฟร่างเล็กอยู่ตนหนึ่ง ลักษณะเหมือนกับนาง เป็นดวงจิตในการบำเพ็ญของนาง คราวนี้ถ้ามีคนอยากจะขโมยร่างนางก็สามารถเผาอีกฝ่ายให้วอดวายได้โดยไม่ต้องใช้เพลิงอัคคี
วิญญาณเทพเหมันต์เข้าไปในร่างของหนานกงเวิ่นเทียนอย่างรวดเร็ว เพราะมีหลิวหลีคนน่ารังเกียจอยู่ วิญญาณเหมันต์บริสุทธ์จึงหลอมรวมเข้ากับแกนวิญญาณในร่างหนานกงเวิ่นเทียนอย่างว่าง่าย มันขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายออกทั้งหมด หนานกงเวิ่นขบฟันแน่น เพราะความเจ็บปวดบนแกนวิญญาณทำให้เขาขบริมฝีปากจนเลือดซิบ เนื่องจากนิสัยเยือกเย็นที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด ก็ไม่ส่งเสียงออกมา หลิวหลีมองดูแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทำได้เพียงแอบเปลี่ยนหินวิญญาณ โชคดีที่อาจารย์ให้หินวิญญาณมาก็ไม่น้อย
เพราะการสลายไปของวิญญาณเทพเหมันต์ หุบเขาน้ำแข็งจึงกลับคืนสู่สภาพเดิม คนที่เกือบจะแข็งตายก็พบว่าพลังเซียนในร่างฟื้นกลับมา ต่างทยอยเตรียมตัวออกไป พวกพี่น้องโจวอีก็เช่นกันกัน ก่อนพวกเขาจะจากไปก็ส่งข้อความให้หลิวหลี เพราะค่ายกลของหลิวหลีอยู่ในระดับค่อนข้างสูง หลายคนที่เดินผ่านค่ายกลก็จะไม่เห็นนาง
“เอ่อ กลับมาเป็นปกติแล้ว ไม่รู้ว่าหลิวหลีมาแล้วหรือยัง” โจวอีพูดขึ้น
“น่าจะได้รับข้อความที่เราส่งไป ยังเหลือเวลาอีก 5 วัน พวกเราไปเดินดูรอบๆอาจได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปด้วย” โจวมั่วเสนอขึ้น ตั้งแต่รู้สถานะที่แท้จริงของหลิวหลี พวกพี่ๆต่างก็ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ไม่กับรวมกลุ่มกับสหายน่าจะดีกว่า
หลิวหลีย่อมต้องได้รับข้อความจากคนอื่นๆ นางถอนหายใจ คนอื่นๆปลอดภัยแล้ว
“นังหนูเจ้าเกือบจะบรรลุไปช่วงบำเพ็ญศีลแล้ว” เอ๋าเลี่ยเห็นพลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีก็อดที่จะตกใจไม่ได้ สมกับเป็นผู้ถูกเลือกจริงๆ
“อืม ที่จริงควรอยู่ในช่วงบำเพ็ญศีลระยะต้นขั้นสุดยอดแล้ว แต่เพราะสภาพแวดล้อมที่นี่เป็นอุปสรรค อีกอย่างข้าจำเป็นจะต้องบอกข่าวร้ายกับเจ้า อาเลี่ย เป็นเพราะข้าฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ ถ้าไม่มีเพลิงอัคคีข้าก็ไม่สามารถบรรลุไปช่วงบำเพ็ญศีลได้ แต่ก็เก็บสะสมไปได้เรื่อยๆ” หลิวหลีพูดอย่างจนปัญญา เฮ้อ คัมภีร์เคล็ดวิชามังกรนพเก้าขั้นที่ 2 ยังไม่ได้ฝึกเลย คิดว่าเพลิงอัคคีเป็นผักกาดขาวหรืออย่างไร นางจะไปหาเพลิงอัคคีมาจากไหน ตอนนี้นางใช้เพลิงอัคคีม่วงของสำนักไม่ได้ด้วยซ้ำ รำคาญจะแย่
“นังหนู เจ้าล้อเล่นกระมัง” เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าสวรรค์กำลังเล่นตลกกับเขา เมื่อครู่ยังบอกว่าเป็นผู้ถูกเลือกอยู่หยกๆ แต่กลับบรรลุไปช่วงพลังที่สูงขึ้นไม่ได้ นังหนูเจ้าเห็นเพลิงอัคคีเป็นผักกาดหรือนี่
“นังหนูกลับไปแล้วเจ้าค่อยไปขออาจารย์เจ้านำเพลิงอัคคีม่วงมาให้สิ”
เอ๋าเลี่ยคิดได้ว่าที่สำนักเมฆาคล้อยก็มีเพลิงอัคคีม่วง
“เอ่อ.. อาเลี่ย ข้าจะบอกข่าวร้ายกว่าให้เจ้าฟัง เพราะเคล็ดวิชาและคุณสมบัติร่างกายทำให้ข้าจำเป็นต้องใช้เพลิงนพเก้ากลืนนภาซึ่งเป็นเพลิงลำดับที่หนึ่งในลำดับรายชื่อเพลิงอัคคีเท่านั้น” เอ่อ นั่นเพลิงอัคคีลำดับหนึ่งในตำนาน ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครเลือกฝึกเจ้านี่ ระดับของเพลิงอัคคีม่วงไม่เพียงพอ
เอ๋าเลี่ยตกตะลึงไปเล็กน้อย นี่ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง ใครจะไปรู้ว่าเพลิงอัคคีลำดับหนึ่งมันอยู่ที่ไหน
สิ่งที่นางยังไม่ได้บอกอาเลี่ยก็คือ เดิมทีไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆนางก็ฝึกดวงจิตขึ้นมา เงื่อนไขก็เลยสูงขึ้นมาเสียอย่างนั้น อีกทั้งนางยังแอบรู้สึกว่าเส้นลมปราณหลักทั้ง 9 ของตน น่าจะคู่กับเพลิงอัคคีทั้ง 9 อย่างเพลิงบุปผาเหมันต์ ถึงจะเป็นเพลิงอัคคี แต่ก็เป็นธาตุเหมันต์ เพลิงวิญญาณพฤกษาที่นางได้มาก็เหมาะสมอยู่ แต่นั่นมันเป็นแผนที่ครึ่งแผ่นจะเอาไปหาอะไรได้ ไม่รู้ว่าแผนที่อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน หนทางภายหน้าช่างลำบากแสนเข็ญ ทำให้นางอดทอดถอนใจไม่ได้
เอ๋าเลี่ยกับหลิวหลีต่างก็พูดไม่ออก การชะล้างแกนวิญญาณของหนานกงเวิ่นเทียนมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว แกนวิญญาณเหมันต์ที่สะอาดบริสุทธิ์ จนสามารถเรียกว่า ร่างวิญญาณเหมันต์ พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงบำเพ็ญศีลระยะปลาย ด้อยกว่าพลังบำเพ็ญของเขาในอดีตเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เพราะการฟื้นฟูของพลังบำเพ็ญเพียรทำให้หนานกงเวิ่นเทียนในตอนนี้ดูมีอายุประมาณ 17-18 ปี โครงหน้าชัดขึ้นจากคุณสมบัติของร่างกาย บวกกับการบรรลุที่รวดเร็วเกินไป ทำให้เสื้อผ้าไม่พอดีตัว หลิวหลีรู้สึกว่าเสี่ยวเทียนดูอ่อนแอขึ้นมาเสียเฉยๆ ความรู้สึกอยากปกป้องนี้คืออะไรนะ นางจับลูบหน้าผากตนเองอย่างเผลอไผล ต้องเป็นเพราะติดอยู่ที่นี่นานเกินไป จนเกิดภาพหลอน เสี่ยวเทียนจะต้องการการปกป้องได้อย่างไรกัน ตอนนี้กระทั่งพลังบำเพ็ญเพียรของเขานางยังดูไม่ออกเลย
หลิวหลีไม่รู้เลยว่า นี่คือการดึงดูดของร่างกายที่เหมาะสมกัน ฝั่งที่แข็งแกร่งก็อยากปกป้องฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะแกร่งกล้าปานใด เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าก็จะมีท่าทีอ่อนแอบอบบาง
……………………………………………………….