บทที่ 36 ว่าที่สามีโผล่มาช่วย

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 36

ว่าที่สามีโผล่มาช่วย

มหาเสนาบดีหลินจ้องไปที่หลินซีเหยียนอย่างโมโห “เอาไปเลย จวนมหาเสนาบดีแห่งนี้เป็นของเจ้าแล้ว”

“ท่านมหาเสนาบดีไม่น่าทำเช่นนี้เลย หลินซีเหยียนเองก็ไม่ใช่คนโลภมากอะไร ถ้ามีไม่ถึง3,000ตำลึงทอง จะผ่อนจ่ายให้ข้าก็ได้นะ” หลินซีเหยียนกล่าวและมองอาหารเลิศหรูมากมายที่อยู่ตรงหน้านาง

แต่น่าเสียดายที่ อาหารเหล่านี้แม้จะดีเลิศเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่สำหรับนาง หลินซีเหยียนกล่าว “ข้าหวังว่าท่านมหาเสนาบดีจะหาเงินได้โดยเร็วไวแล้วเอามาให้ข้าที่ตำหนักเชียนเหยียนนะเจ้าคะ”

จากนั้นนางก็ได้ลุกขึ้นยืนเตรียมที่จะออกจากตำหนักไป แต่ทว่านางกลับถูกขวางทางเสียก่อน

ผู้ที่โผล่มายืนขวางนางนั้น สวมชุดผ้าไหมปักดอกอย่างดี ติดปิ่นปักผมทำจากไม้จันทน์แดง ในมือถือลูกประคำ มีคิ้วขมวดอยู่บนใบหน้าของนางและดูท่าทางน่าเกรงขามนัก

หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับนาง ในการที่จะฟื้นตัวจากหนี้สินนี้ได้ ทำให้หญิงชราที่ห่างหายไปนานหลายปีต้องโผล่หัวออกมา คนที่ออกมาขวางนางนั้นคือแม่ของมหาเสนาบดีหลินและเป็นย่าของหลินซีเหยียนนั่นเอง

ดูเหมือนว่าเราจะเจอตัวใหญ่เข้าเสียแล้ว หลินซีเหยียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ในใจของนาง

“ท่านแม่ ท่านมาทำอะไรที่นี่” เมื่อมหาเสนาบดีหลินเห็นเข้าก็ได้สูญเสียอารมณ์โกรธเมื่อสักครู่ไป เหลือไว้แต่ความเคารพเท่านั้น

แล้วหญิงชราแห่งบ้านมหาเสนาบดีผู้ซึ่งเป็นคนเข้มงวดก็ได้มองไปที่ลูกชายเพียงคนเดียวของนาง แล้วไม้เท้าสีแดงในมือของนางก็ได้กระแทกลงที่พื้นอย่างแรงแล้วกล่าว “ก็ถ้าข้าไม่มา จวนแห่งนี้ก็คงจะสูญเสียไปเพราะเจ้ายังไงล่ะ”

จากนั้นนางก็ได้หันไปมองหลินซีเหยียนด้วยใบหน้าที่ใจดี “หลานเหยียน ข้าไม่ได้เห็นเจ้าเสียนาน เจ้าช่างสวยกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย”

“ท่านผู้เฒ่ากล่าวชมเกินไปแล้ว” หลินซีเหยียนคิ้วขมวดขึ้นมาแต่ยังรักษาอารมณ์สงบเอาไว้ได้ นางนั้นอยากที่จะรู้ว่าหญิงชราผู้นี้ต้องการที่จะทำอะไรกันแน่ เพราะนางนั้นเกลียดแม่ของหลินซีเหยียนมาก

แน่นอนว่านางก็ไม่ชอบหลินซีเหยียนด้วย แล้วยิ่งตอนที่หลินซีเหยียนเสียแม่ของนางไปแล้วนั้น นางก็ได้ประกาศว่า หลินซีเหยียนนั้นไร้การศึกษา และไม่อนุญาตให้เข้าไปในตำหนักของนาง

แต่หลินซีเหยียนก็พอจะเดาได้ว่า นางนั้นอยากที่จะพูดอะไร

“หลานเหยียน เรื่องในวันนี้ให้ย่าจัดการเองเถอะ ข้าจะสั่งสอนเฉิงอวี้เอง แล้วขอให้จบเรื่องนี้แต่โดยดีได้ไหม?” หญิงชรามองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว

หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างสมควรให้กับหญิงชราแล้วกล่าว “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่าจะสั่งสอนนายน้อยสี่ยังไงเหรอเจ้าคะ?”

หญิงชราก็ได้ก้มหน้าคิดแล้วกล่าว “ก็ขังเขาเอาไว้ที่ห้องบรรพชนเพื่อให้เขาสำนึกผิดเป็นเวลาสัก 3 วัน เจ้าคิดว่าดีไหม?”

โดยปราศจากซึ่งใบหน้าสีแดงและหัวใจที่เต้นเร็ว หลินซีเหยียนรู้สึกช่วยไม่ได้และชื่นชมกับใบหน้าที่หนาของหญิงชราเมื่อนางได้บอกการลงโทษที่เบามากเช่นนี้ออกมา

“ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นหญิงชรา แต่ท่านก็เป็นคนมีเหตุผลข้าจึงคิดที่จะฟังท่าน แต่น่าเสียดายที่ท่านผู้เฒ่าไร้ซึ่งความยุติธรรม ท่านควรจะเสียเงินซะเถอะเจ้าค่ะ!” เสียงของ หลินซีเหยียนนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความโกรธ เมื่อนึกถึงเมื่อก่อนยามที่นางหิวจัดและกำลังมองหาอะไรทาน แต่แล้วนางก็ได้บังเอิญเข้าไปที่ตำหนักเหลียนซินของหญิงชราเข้า นางจึงได้ถูกขังอยู่ในห้องบรรพชนเป็นเวลา 7 วัน และให้แต่น้ำไม่ให้อาหารนางเลย

“นังเด็กอวดดี” แล้วหญิงชราที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงมาอย่างยาวนานนั้น นางนั้นเคยชินกับการที่มีคนอื่นคอยเชื่อฟังและอ่อนน้อมกับนางมาโดยตลอด แต่ในเวลานี้เมื่อนางได้ยินคนที่โต้แย้งกับนางเช่นนี้จึงทำให้นางโมโหขึ้นมา

และแน่นอนอยู่แล้วว่าหญิงชราผู้นี้ไม่เคยปรานีกับ หลินซีเหยียนอยู่แล้วด้วย จะให้นางมีความอดทนได้อย่างไร?

“ดูเหมือนว่าท่านผู้เฒ่าคงอยากที่จะบังคับข้าให้ได้สินะ?” หลินซีเหยียนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็พูดตรงไปตรงมามากขึ้นเรื่อยๆ และพยายามไม่ให้สูญเสียความได้เปรียบของนางไป

“ย่านั้นไม่ได้อยากบังคับเจ้า แต่เพราะเจ้ายังเด็กและยังต้องการคนดูแลอยู่” แล้วหญิงชราก็ได้โบกมือบอกให้สาวใช้ไปเอาเก้าอี้มาให้นาง

หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวในใจ หึ จะดูแลข้างั้นเหรอ? ไม่ต้องทำมาเป็นพูดอ้อมค้อมหรอกนางก็แค่ไม่อยากเสียเงินเท่านั้นแหละ

“ขอบคุณในความใจดีของท่านผู้เฒ่าด้วย แต่ข้าไม่ใช่เด็กแล้วและถึงวัยแต่งงานแล้วด้วย ดังนั้นข้าสามารถดูแลตัวเองได้เจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนที่มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งก็ได้กล่าวอย่างอดทน

“ถ้าเจ้าไม่ยอมมอบหนังสือสัญญานั่นมา ข้าก็จะไล่เจ้าออกไปจากบ้านหลังนี้!” หญิงชรากล่าวด้วยสีหน้าที่มืดมน ในเวลานี้นางกลายเป็นคนแก่ที่น่ารังเกียจและชั่วร้าย ไร้ซึ่งความใจดีแบบเมื่อสักครู่แล้ว

“พระชายาของเปิ่นหวาง ใครกันที่กล้าไล่เจ้าออกไป”

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังคิดจะใช้กำลังฝ่าออกไปนั้นเอง เสียงของเจียงหวายเย่ก็ได้ดังขึ้นมาเข้าหูของนาง ถึงแม้ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่เย็นชา แต่ก็รู้สึกไร้กังวลอย่างน่าประหลาด

“องค์ชาย ท่านมาทำอะไรที่นี่ พ่ะย่ะค่ะ?” มหาเสนาบดีหลินได้รีบไปก้มหัวทักทายเขาทันที

ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าฐานะของเทพสงครามองค์ชายเย่นั้นจะไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ตาม แต่อูฐที่ผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี

เจียงหวายเย่ก็ได้ขยับรถเข็นตัวเองไปอยู่ข้างๆ หลินซีเหยียน แล้วหยิบเอาไปใบสัญญาออกมาจากมือของ หลินซีเหยียนแล้วก็จ้องไปที่มหาเสนาบดีหลินแล้วกล่าว “ถึงแม้ว่าเปิ่นหวางจะเป็นแค่คนพิการ แต่เปิ่นหวางก็ไม่อาจปล่อยให้ว่าที่พระชายาของเปิ่นหวางต้องถูกทำร้ายเพราะความไม่ยุติธรรมได้ ท่านมหาเสนาบดีคิดว่าเปิ่นหวางพูดถูกต้องใช่หรือไม่?”

มหาเสนาบดีหลินก็ได้รีบผงกหัวอย่างเร่งรีบ “องค์ชายพูดถูกต้องแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้น…..” เจียงหวายเย่ก็ได้หยุดพูดกะทันหัน และสะบัดหนังสือสัญญาในมือของเขาไปมา

“ข้าน้อยจะรีบจัดการรวบรวมมาให้โดยเร็วที่สุดแล้วส่งมอบให้กับพระชายา พ่ะย่ะค่ะ” มหาเสนาบดีหลินได้ตอบอย่างรวดเร็ว

หลินซีเหยียนที่เห็นเช่นนี้ก็ได้แอบยิ้มที่มุมปากของนาง ถึงแม้ว่านางจะเคยเห็นการโดนรังแกมามาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกดีกับการได้รังแกเช่นนี้ ถ้านางทำได้นางก็ไม่เกี่ยงที่จะใช้อำนาจของเจียงหวายเย่

“เดิมทีเปิ่นหวางนั้นคิดที่จะลดราคาให้ท่านมหาเสนาบดีบ้าง แต่เมื่อเห็นว่าท่านมหาเสนาบดีกล่าวอย่างแข็งขันเช่นนี้แล้ว เปิ่นหวางก็คงจะไม่ก้าวก่ายอะไรอีก” เจียงหวายเย่กล่าวอย่างสงบนิ่ง

ด้วยการพูดเช่นนี้เป็นการพูดแบบใช้ลูกเล่นเพื่อให้ขายได้แพง ซึ่งทำให้มหาเสนาบดีนั้นถึงกับพูดอะไรไม่ออก หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่สีหน้าที่เศร้าสลดของมหาเสนาบดีหลินเขานั้นได้ฝืนยิ้มรับอย่างหน้าแดงๆ

หลินซีเหยียนนั้นเดิมทีเป็นคนสวยมาก ถึงแม้ว่าในเวลานี้นางจะแต่งหน้าให้ดูโทรมๆ แต่ก็ไม่อาจซ่อนดวงตาหงส์ไฟของนางที่กำลังยิ้มอย่างชาญฉลาดได้ ทำให้เจียงหวายเย่ต้องจ้องไปที่นางอยู่สักพักใหญ่

“ไม่ทราบว่าองค์ชายมาที่นี่อย่างกะทันหันเช่นนี้ มีธุระอะไรหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?” มหาเสนาบดีหลินที่กระอักเลือดอยู่ที่คอแต่ไม่สามารถพ่นออกมาได้นั้น ก็ได้ฝืนถามออกไปด้วยรอยยิ้ม

“เปิ่นหวางมาที่นี่เพื่อมาหาว่าที่พระชายาของเปิ่นหวางเท่านั้น” เจียงหวายเย่ตอบด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยก็ไม่ขอรบกวนองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ” จากนั้นมหาเสนาบดีหลินก็ได้ออกไป

แล้วคนอื่นๆเองต่างก็ไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรอีก เป็นถึงองค์ชายของอาณาจักรนี้และยังเป็นเทพสงครามในใจของใครอีกหลายคน พวกเขาจึงได้พากันถอนตัวอย่างตัวสั่นๆ

หลังจากงานเลี้ยงครอบครัวจบลงอย่างไร้ความสุขแล้ว หลินซีเหยียนก็แอบรู้สึกขึ้นมาว่าก็ดีเหมือนกันที่ได้เกี่ยวดองกันกับเจียงหวายเย่

“องค์ชายมาตามหาข้าในเวลานี้ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรเหรอเจ้าคะ?” หลินซีเหยียนได้เข็นรถพาเขากลับมายังตำหนักเชียนเหยียน

เพราะตำหนักเชียนเหยียนนั้นมีเจ้านายที่ดี จึงทำให้บรรยากาศของที่นี่มีชีวิตชีวาขึ้นมาในเวลานี้ แต่หลังจากที่พบว่าองค์ชายเย่มา ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่จริงจังและนอบน้อมทันที

“เปิ่นหวางมาเพราะอยากพบกับว่าที่พระชายาของเราเท่านั้น!” ดูเหมือนว่าเจียงหวายเย่นั้นมาแค่ต้องการจะสานสัมพันธ์กับหลินซีเหยียนจริงๆ และมีรอยยิ้มที่น่าสงสารปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

ถึงแม้ว่าเจียงหวายเย่นั้นจะยิ้มยาก แต่ทุกครั้งที่เขายิ้มจะเต็มไปด้วยความสง่างามที่ไม่ธรรมดา และครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น ถึงแม้ว่าเขาจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้ แต่ยังทำให้หัวใจและวิญญาณของผู้คนเกิดความหวั่นไหวได้

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หลินซีเหยียนถอนหายใจออกมา ทำไมชายคนนี้ถึงได้เป็นคนที่งดงามขนาดที่ทำให้เหล่าทวยเทพต้องโมโหได้นะ!