“หมายความว่า ที่นี่เป็นต้นตอของสิ่งของที่พวกเราต้องการหาอย่างนั้นหรือ” ต้วนหรงหรงกระซิบถาม
“ปราณหยินที่ระดับนี้และเข้มข้นแบบนี้… ไม่แน่” เหยียนไคส่ายหน้าเล็กน้อย
ตอนนี้ลู่เซิ่งเริ่มเชิญให้ผู้มีความสามารถทั้งหลาย ได้แสดงทักษะที่ตัวเองถนัด
นักพรตที่ก่อนหน้านี้พูดพร้อมกับหัวเราะเหอะๆ
“ความสามารถของข้าคือสิ่งนี้”
เขายื่นมือมาออกมากวักไปวูบหนึ่ง ไม่ทราบว่าได้ก้อนหินก้อนหนึ่งมาจากไหน พลันบีบมืออย่างดุดัน
กราว…
เศษหินเล็กละเอียดพลันร่วงออกมาจากร่องนิ้วของเขา ลอยไปตามลม
คนที่เหลือรอบๆ ซึ่งมาด้วยกัน มองเขาอย่างแตกตื่นและประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าความสามารถแบบนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือหลายคนที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองเก้าประสานก็ไม่แน่ว่าจะทำได้
จอมยุทธ์ที่เป็นสตรีปลอมเป็นบุรุษ ทั้งสองตาเคร่งขรึมขณะมองนักพรตผู้นี้
แม้แต่เหยียนไคเองก็ให้ความสำคัญกับนักพรตคนนี้
พละกำลังระดับนี้ สามารถบีบหินจนเป็นผุยผง จำเป็นต้องมีวิชากำลังภายในที่แข็งแกร่งจึงจะทำได้ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอยอดฝีมือระดับนี้ที่นี่
ผู้คุ้มกันและหญิงรับใช้ที่อยู่รอบๆ มีคนอดส่งเสียงอุทานเบาๆ ออกมาไม่ได้
ลู่เซิ่งมองนักพรตคนนั้น ไม่พูดจา เพียงขมวดคิ้ว
นักพรตหัวเราะหึๆ
“เป็นอย่างไร คุณชายใหญ่ ฝีมือนี้ของข้าเข้าตาท่านหรือไม่”
ลู่เซิ่งค่อยๆ พ่นลมหายใจ
ฉับพลันประกายตาพลันกลายเป็นดุดัน
“นี่เป็นกลิ่นผงฮว่าฉือ (ฟอสซิล)! เป็นนักพรตหลอกลวงจากที่ใด กล้ามาหลอกข้า! จับมันเอาไว้!”
คนรอบๆ งงงัน
ยังไม่รอให้พวกเขาตอบสนอง ผู้คุ้มกันแข็งแกร่งสองคนก็พุ่งเข้าไปกดนักพรตผู้นั้นไว้กับพื้น
นักพรตตะโกนดิ้นรน แต่ตอนนี้ถูกคนสองคนกดไว้ ไหนเลยจะมีกำลังภายในที่แข็งกร้าว บีบหินให้เป็นผุยผงได้เหมือนเมื่อครู่
เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
ผู้คุ้มกันร่างใหญ่ที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงด่าอย่างหยาบคาย เมื่อคืนเขาเห็นคุณชายใหญ่สำแดงอภินิหาร กำจัดปีศาจสาวที่สิงหนึ่งในผู้คุ้มกันด้วยตาตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นองครักษ์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของคุณชายใหญ่ลู่เซิ่งโดยสมบูรณ์แล้ว
“คุณชายใหญ่ คนผู้นี้จัดการอย่างไร ต้องแจ้งคนของที่ว่าการหรือไม่”
ลู่เซิ่งมองนักพรตที่ดิ้นรนอยู่บนพื้นอย่างรังเกียจ
“ไม่ต้องส่งตัวให้พวกขุนนาง ลากออกไปตัดหัว”
“อย่านะ! คุณชายใหญ่ ข้าน้อยเพียงสมองเลอะเลือนไปชั่วขณะ คิดหาเงินประทังชีวิต! เพียงแค่ภูตผีดลใจเท่านั้น!”
นักพรตผู้นั้นได้ยินพลันตกใจ ร้องขอชีวิตเสียงดัง ทั่วร่างเขาสั่นเทิ้ม สีหน้าซีดขาว เหงื่อกาฬไหลหลั่งออกมา
“คุณชายใหญ่ ไว้ชีวิตด้วย!”
“ขอรับ!”
ผู้คุ้มกันร่างใหญ่ไม่สนใจ นำคนมาลากตัวนักพรตออกไปจากลาน
ด้านข้างของลานฝึกยังมีห้องลงทัณฑ์ที่เอาไว้ประหารคนโดยเฉพาะ
ตระกูลลู่ร่ำรวยมีอำนาจมาก ประหารคนไม่กี่คน ที่ว่าการจึงปิดตาข้างลืมตาข้าง
คนอื่นๆ เช่นพวกเหยียนไคจิตใจแตกตื่น มองนักพรตผู้นั้นที่ถูกลากออกไป ไม่ทันไรก็แว่วเสียงโหยหวนดังมาจากด้านนอก
“เอาล่ะ ทุกท่าน จัดการคนที่เอาตาปลามาหลอกเป็นมุกแล้ว ตอนนี้ขอให้ท่านต่อไปแสดงความสามารถของตัวเองออกมา”
ลู่เซิ่งแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนก่อนหน้าอีกครั้ง
คนที่เหลือเข้าใจนิสัยของคุณชายใหญ่ตระกูลลู่ผู้นี้ล้ำลึกกว่าเดิม
ดูเหมือนร่างกายอ่อนแอเป็นโรค แต่บอกพลิกหน้าก็พลิกหน้า กระทำการอย่างเด็ดขาด ลงมืออย่างอำมหิต เป็นคนร้ายกาจจริงๆ
เงียบเสียงไปครู่หนึ่ง คนที่สองก็เดินออกมา เป็นพระอาจารย์เจินถาน ภิกษุจากวัดบัวแดง พระอาจารย์ท่านนี้มือสั่นอยู่บ้าง แต่ยังคงกล้าเดินออกมา
“อาตมา… อาตมานึกขึ้นได้ว่า ในวัดยังมีเรื่องด่วนต้องจัดการ…”
ท่านออกมา ไม่ได้จะแสดงความสามารถ แต่เตรียมหนีแล้ว
พระอาจารย์เจินถานท่านนี้เผชิญหน้ากับลู่เซิ่ง ตอนพูดจา หน้าผากกลับมีเหงื่อไหลโชก
ภิกษุอายุยังน้อยที่อยู่ด้านหลังของท่าน ไม่ใช่แค่หน้าผากเหงื่อไหล สีหน้ายังซีดขาว สองขาสั่นไม่หยุด
“ในเมื่อพระอาจารย์มีเรื่องต้องจัดการ เช่นนั้นก็เชิญไปก่อนเถอะ”
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ยังคงอบอุ่นมีมารยาท ไม่ได้สร้างความลำบากใจแก่คนทั้งสอง ให้หญิงรับใช้ส่งพวกพระอาจารย์เจินถานจากไป
ครู่เดียวจากไปแล้วสามคน
อีกสามคนที่เหลือ แบ่งเป็นจอมยุทธ์ผู้นั้น กับพวกเหยียนไคสองคน
“ต่อไป ให้ข้าแสดงก็แล้วกัน”
จอมยุทธ์ที่เป็นสตรีแต่งกายเป็นบุรุษผู้นั้นเดินออกมาด้านหน้า ชักมีดคู่ออกจากเอว
“ข้าถนัดวิชาตัวเบา การบุกจู่โจมระยะใกล้และระยะไกล สามารถสะกดรอยตรวจสอบ ต้องการหาผู้สูญหาย สมควรมีข้าคอยช่วยเหลือ”
“อ้อ? เช่นนั้น ไม่ทราบคุณหนูท่านนี้มีคำเรียกหาว่าอะไร”
ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“จวนเฟิง”
“ฉวนเฟิง?” ลู่เซิ่งงุนงง
จอมยุทธ์หญิงใช้มือขีดคำสองคำบนโต๊ะหินอย่างรวดเร็ว
ทุกคนค่อยกระจ่างว่าแซ่ของนางคือแซ่จวน
“เช่นนั้นแม่นางจวนเฟิง ไม่ทราบจะแสดงความสามารถท่านอย่างไร”
ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าสงสัยเล็กน้อย
จวนเฟิงสูดจมูก นั่งยองๆลงตรวจสอบพื้นอย่างละเอียด จากนั้นใช้หูแนบไปกับพื้น
สักพักหนึ่งนางก็ยืนขึ้น
“ข้าตรวจสอบได้ว่า คุณชายใหญ่ลู่ กับพวกท่านหลายคนที่นี่ มาถึงลานแห่งนี้ ไม่เกินสองชั่วยาม
“ที่นี่ ด้านหน้าถึงด้านหลังมีหญิงรับใช้และคนคุ้มกันสองกลุ่มเข้าออก ทำความสะอาด จำนวนคนไม่เกินสิบคน เวลาสมควรเป็นหนึ่งชั่วยามก่อนหน้า
“จากนั้นคุณชายใหญ่ท่านค่อยมาถึง หนำซ้ำคุณชายใหญ่กับผู้คุ้มกันหลายคนรอบๆ ตัวท่าน ไม่มีสักคนเข้าไปในลาน
“แสดงให้เห็นว่าลานแห่งนี้เปิดชั่วคราวเพื่อใช้ทดสอบพวกเราโดยเฉพาะ แม้แต่พวกท่านก็ไม่ทันเข้ามา”
คำพูดนี้พอกล่าวออกไป
ลู่เซิ่งกับคนที่เหลือพลันลืมตาโต มิใช่แค่พวกเขา ผู้คุ้มกันกับหญิงรับใช้ที่เฝ้าอยู่รอบๆ ต่างมีสีหน้าเหมือนเห็นผี
เพียงแค่คลานบนพื้น มองดู ฟังเสียง ดมกลิ่น ก็ตรวจสอบเรื่องราวมากมายขนาดนี้ได้
คุณหนูจวนเฟิงผู้นี้เป็นคนมีความสามารถจริงๆ!
“ร้ายกาจ!”
ลู่เซิ่งปรบมือเบาๆ
“คุณหนูจวนเฟิง ไม่ว่าท่านตรวจสอบออกมาได้อย่างไร ท่านผ่านด่านแล้ว ต่อมา เป็นสองท่านนี้…”
เขามองไปยังพวกเหยียนไค
เหยียนไคยังดีอยู่ ต้วนหรงหรงกลับถูกคุณชายใหญ่ลู่ผู้นี้มองจนขนลุกไปทั้งตัว
คนที่เมื่อครู่ยังยิ้มแฉ่ง กล่าวพลิกหน้าก็พลิกหน้า ลากตัวนักพรตคนนั้นไปฟันศีรษะทิ้งทันที
คนแบบนี้ต่อให้เขายิ้มให้ท่าน ท่านล้วนไม่ทราบว่าเขาจะสังหารท่านในวินาทีถัดไปหรือไม่
ต้วนหรงหรงนิยามคุณชายลู่ผู้นี้เป็นบุคคลอันตรายในใจแล้ว
เหยียนไคกลับมีสีหน้าสงบนิ่ง เดินหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว
“ถ้าข้าทายไม่ผิดล่ะก็”
เขามองลู่เซิ่งดวงตาเป็นประกาย
“อาการบาดเจ็บของคุณชายลู่ ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกปราณหยินเล่นงานกระมัง”
“อ้อ?”
ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว ครั้งนี้เขาสนใจจริงๆ แล้ว
คนตรงหน้าผู้นี้ถึงกับมองอันใดออกบ้างจริงๆ
“อาการบาดเจ็บสมควรอยู่ที่ท้องน้อย แต่ยังดีไม่บาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน เพียงแต่ปราณหยินเข้าร่าง ไม่ดำเนินการขับไล่ สุดท้ายจะกระทบถึงปราณหยาง
“นี่เป็นน้ำคืนอาทิตย์เพียงเล็กน้อยที่ข้าทำขึ้นเอง ถ้าคุณชายใหญ่มีความกล้า โปรดทดลองกินดูได้”
เขาหยิบขวดกระเบื้องสีดำเล็กๆ ขวดหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมา แล้วส่งไป
หญิงรับใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามารับ วางไว้บนถาดรอง ประคองถึงหน้าลู่เซิ่ง
“ดื่มเสร็จแล้ว คืนขวดให้ข้าด้วย” เหยียนไคพูดเสริมหนึ่งประโยค
ลู่เซิ่งมองขวดกระเบื้อง ถือมาถอดจุกไม้ออก ยื่นถึงจมูกดมๆ ดู
เพียงแค่ดมเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าปราณหยินในร่างถูกขับให้สลายไปไม่น้อย กลิ่นเผ็ดฉุนสายหนึ่งลอยจากขวดมุดเข้าสู่รูจมูก ทำให้ทั่วร่างของเขาร้อนขึ้น
เป็นเพราะก่อนหน้านี้ท้องน้อยของเขาถูกกระแทกหนึ่งฝ่ามือ หลังกลับห้องมาพักผ่อน ทั่วร่างก็เย็นขึ้นจริงๆ อาการบาดเจ็บบนร่างของเขาเป็นเรื่องรอง เรื่องหลักคือความเย็นสายนี้พัวพันอยู่ในร่างตลอด ไม่ว่าจะกินยาเสริมหยาง หรือว่าออกกำลังใต้แสงอาทิตย์ก็ไม่มีประโยชน์
หลังจากกินยาเสริมหยางหรือว่าหลังจากออกกำลังกาย มีผลให้ทั่วร่างอบอุ่นอยู่บ้าง แต่พอพักผ่อน ความรู้สึกเย็นเยือกในร่างก็จะกลับมาใหม่
ขณะมองขวดกระเบื้องตรงหน้า ลู่เซิ่งยิ้มเล็กน้อย ไม่มีลังเล ยกขึ้นแล้วเทเข้าปาก
รสชาติฝาดเฝื่อนจางๆ สายหนึ่งแผ่ไปทั่วปาก จากนั้นตามมาด้วยรสเผ็ดร้อน กระแสความร้อนสายหนึ่งไหลจากปากเข้าสู่ลำคอ
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจออกยาวๆ ทั่วร่างรู้สึกอบอุ่น เหมือนกับดวงอาทิตย์ตอนเก้าโมงสิบโมงในหน้าร้อนอาบอยู่บนร่าง รู้สึกอุ่นสบาย
ความเย็นเยือกก่อนหน้าเหมือนกับหิมะฤดูวสันต์หลอมละลายอย่างรวดเร็วภายใต้แสงอาทิตย์ ไม่ทันไรก็สัมผัสไม่ได้
“เต้าจ่างร้ายกาจจริงๆ” ครั้งนี้ลู่เซิ่งรู้ว่าตนได้พานพบยอดฝีมือแล้ว “น้ำคืนอาทิตย์ขวดนี้ ข้าน้อยจะคิดคำนวณเพิ่มไว้ในเงินรางวัล”
“เช่นนั้นนับว่าข้าผ่านด่านแล้วใช่หรือไม่”
เหยียนไคถาม
“แน่นอน! ทั้งสามท่านตามข้ามา”
ลู่เซิ่งค่อยๆ ยืนขึ้น ให้ผู้คุ้มกันประคอง นำทั้งสามคนเข้าไปในห้องด้านในลานกระเรียนเหลือง
เหล่าหญิงรับใช้พากันจากไป ผู้คุ้มกันเองก็ออกไปจนหมดสิ้น มีแต่ชายฉกรรจ์ร่างกำยำก่อนหน้าผู้นั้นรั้งอยู่ เฝ้าอยู่ข้างกายลู่เซิ่ง
แกร่ก
ประตูห้องปิดลง
ในห้องมีคนแค่ห้าคน
“เหตุการณ์ที่เป็นจริง คืออย่างนี้…”
ลู่เซิ่งเริ่มเล่าตั้งแต่เกิดเรื่องคนหายตัวเป็นครั้งแรกก่อนหน้า
พวกเหยียนไคทั้งสามต่างตั้งใจฟัง ถามไถ่รายละเอียดปัญหาส่วนหนึ่งตลอดเวลา
สิ่งที่ทราบลู่เซิ่งตอบทีละข้อๆ สิ่งที่ไม่ทราบ ยังมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำด้านข้างเสริม
การสนทนาใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม
หลังจากเหยียนไคเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ก็ก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง
สักพักเขาก็เงยหน้าขึ้น
“ปีศาจที่คุณชายเจอ ข้าเรียกมันว่าปีศาจล่อลวง”
“ปีศาจล่อลวงหรือ” นี่เป็นสิ่งใด”
ลู่เซิ่งถามกลับ เขานับว่าได้สัมผัสด้านลี้ลับของโลกใบนี้เป็นครั้งแรกอย่างแท้จริงแล้ว
“มันเดิมทีไม่ใช่เกิดขึ้นหลังจากคนตายแล้ว แต่เป็นปีศาจที่อารมณ์ต่างๆ เช่นความแค้น ความริษยา ความชิงชัง ความอัปยศ ดึงดูดพลังงานลี้ลับส่วนหนึ่งในสภาพแวดล้อมรอบๆ ผนึกตัวออกมา” เหยียนไคกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ปีศาจล่อลวงเพียงหนึ่งตัวหรือสองตัวยังจัดการได้ เกิดว่าเวลานานไป ปล่อยไว้ไม่จัดการ มันจะแผ่ขยายกระจายเชื้ออย่างต่อเนื่อง ทำร้ายคนจนตายมากกว่าเดิม จากนั้นคนที่ตายก็จะเปลี่ยนเป็นปีศาจล่อลวงด้วย
ดูจากระดับความเข้มข้นของปราณหยินบนร่างของคุณชายใหญ่ ปีศาจล่อลวงตัวที่ท่านสัมผัส สมควรถูกปล่อยออกมาเป็นเวลาไม่น้อยแล้ว”
“ปล่อยออกมาระยะหนึ่งแล้วหรือ กล่าวแบบนี้ ในเมืองเก้าประสานไม่ทราบว่าจะมีปีศาจล่อลวงกี่ตัวกัน”
ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเอ่ยขึ้น
“มีความเป็นไปได้ที่สุด” เหยียนไคพยักหน้า “เอาล่ะ เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการ คุณชายรักษาอาการบาดเจ็บดีๆ ที่บ้านก็พอ ทว่าข้าเพียงรับผิดชอบจัดการปีศาจล่อลวง ส่วนเรื่องหาคน…”
“เรื่องหาคนให้ข้าจัดการเอง” จวนเฟิงส่งเสียง “เรื่องภูตผีเช่นนี้ ข้าเคยเจออยู่สองสามครั้ง มีประสบการณ์อยู่บ้าง”
ลู่เซิ่งพยักหน้าตอบรับ
“เช่นนั้นเต้าจ่าง ไม่ทราบว่าข้าทำอะไรให้พวกท่านได้บ้าง”
ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าเหยียนไคเต้าจ่างตรงหน้าผู้นี้สมควรเป็นมืออาชีพในเรื่องเล่าขาน
“ภูตผีเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านจะรับมือได้ ภารกิจเร่งด่วนคือเมื่อพวกท่านเจอเข้าแล้ว ทางที่ดีให้ย้ายออกจากเมืองเก้าประสาน หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงภูตผี”
เหยียนไคกล่าวเรียบๆ
“นอกจากนี้ที่พวกเรามาที่นี่ ยังต้องตรวจสอบต้นสายปลายเหตุเกี่ยวกับคดีล้างตระกูลสวีด้วย”
“ข้าน้อยอยากจะใช้ความสามารถอันน้อยนิดช่วยด้วยเหมือนกัน”
ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างจริงจัง
“ข้าบอกว่าไม่ต้องคือไม่ต้อง คนทั่วไปมีมากก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้ท่านฝึกฝนวรยุทธ์มาเล็กน้อย มีแต่จะกลายเป็นตัวถ่วงพวกเรา
เก่งวรยุทธ์ไม่มีประโยชน์กับการปราบปีศาจ!”
เหยียนไคไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ขมวดคิ้วกล่าวตามตรง
ต้วนหรงหรงที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินพลันเหงื่อกาฬไหลหลั่ง เกิดทำให้คุณชายใหญ่ลู่ตรงหน้าผู้นี้มีโทสะล่ะก็…
ลู่เซิ่งยังคิดจะพูดต่อ แต่ก็ถูกเหยียนไคตัดบท
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านคนธรรมดาจะเข้ามายุ่งได้”
………………………………………….