ตอนที่ 9 หลี่ตายแทนถาว

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 9 หลี่ตายแทนถาว

ปี้จูได้ฟังเช่นนั้นก็รีบเดินเข้ามาหาอันหลิงเกอในทันที โดยที่มือทั้งสองยังถือไม้ปัดฝุ่นเอาไว้

“คุณหนูเจ้าคะ ท่านใจกว้างถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? วันนี้คนของจวนอ๋องมู่มาเยี่ยมเยือนยังจวนโหวนะเจ้าคะ ถึงแม้ฝ่าบาทจะทรงพระราชทานสมรสให้ แต่ก็ทรงตรัสเพียงจวนโหวและจวนอ๋องมู่ แต่มิได้ตรัสว่าเป็นผู้ใด หากมู่ซื่อจื่อถูกตาต้องใจคุณหนูรองจะทำเยี่ยงไรล่ะเจ้าคะ ? ”

อันหลิงเกอนึกมิถึงว่าคนซื่อบื้ออย่างปี้จูจะคิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้นมาได้ จากนั้นจึงได้ลุกขึ้นนั่งและกล่าวว่า “มิเลวนี่ เจ้าเริ่มเข้าใจอันใดขึ้นมาบ้างแล้วสินะ”

ปี้จูได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกร้อนรน “คุณหนูทราบดีว่าฮูหยินรองและคุณหนูรอง พวกนางตั้งใจวางแผนเอาไว้ เหตุใดถึงได้ปล่อยให้พวกนางสมปรารถนาได้ล่ะเจ้าคะ”

อันหลิงเกอตบลงที่มือของปี้จูเบา ๆ อย่างปลอบโยน

“ปี้จู ของบางอย่าง แย่งก็เหมือนมิแย่ง มิแย่งก็เหมือนแย่ง ยิ่งไปกว่านั้นหากมู่ซื่อจื่อนั้นถูกตาต้องใจน้องหญิงจริง เป็นเยี่ยงนั้นแล้วคนสายตาเยี่ยงเขา จะคู่ควรกับข้าได้เยี่ยงไร ? ”

อันหลิงเกอกล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากบริเวณกำแพง ลู่จิงอวี่ที่กวาดลานอยู่รีบเข้ามาคุ้มกันอันหลิงเกอในทันที นายบ่าวสามคนเงยหน้าขึ้นก็ได้พบกับบุคคลผู้หนึ่งที่มีใบหน้าชวนมอง

อันหลิงเกอจำได้ในทันทีว่านั่นคือคนสนิทของมู่จวินฮาน ซูม่อ นั่นเอง เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่เรือนฉีอู๋ได้ ?

ขณะที่ซูม่อกำลังกระโดดขึ้นกำแพงนั้นก็ได้ยินอันหลิงเกอพูดว่านายของตนมิคู่ควรกับนาง ในใจรู้สึกโมโหขึ้นมาจนทนมิไหว

“คุณหนูอันอายุยังน้อย แต่ปากกล้ามิเบา หากซื่อจื่อมิคู่ควร ไหนท่านลองบอกมาซิว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีผู้ใดคู่ควรกับคุณหนูอันหรือ ? ”

ซูม่อกระโดดลงมาจากกำแพง อันหลิงเกอกำลังจะเปิดปากตอบโต้ ซูม่อเกรงว่าจะเป็นการดึงดูดผู้อื่น จึงรีบสกัดจุดใบ้ของนางเอาไว้

“คุณหนูเจ้าคะ ! ”

ลู่จิงอวี่ที่กำลังจะพุ่งเข้าหาซูม่อ เพียงแค่ซูม่อขยับปลายนิ้วเล็กน้อย หินสองก้อนก็โจมตีไปที่เข่าของเขาอย่างแม่นยำ ลู่จิงอวี่ล้มลงกับพื้น แต่มิยอมแพ้และพุ่งตัวไปทางซูม่อและอันหลิงเกออีกครา

ซูม่อทอประกายแววตาชื่นชมเพียงแวบหนึ่ง แล้วปากกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “หากเจ้าเข้ามาอีก ข้าจะมิเกรงใจนางแล้วนะ ! ”

ลู่จิงอวี่และปี้จูได้ฟังเยี่ยงนั้นจึงมิกล้าขยับตัว อันหลิงเกอส่งสายตาให้ปี้จู แต่เด็กคนนั้นมิเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จึงตกตะลึงงันจนทำอันใดมิถูกไปซะแล้ว ในตอนนี้เองซูม่อจึงได้เอ่ยถามสิ่งที่ตัวเองสงสัย

“วันนี้จวนโหวได้จัดงานเลี้ยงและเชิญท่านอ๋องมู่และซื่อจื่อมา เหตุคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวถึงยังอยู่ที่นี่ ? ”

ปี้จูที่ตกใจจนอกสั่นขวัญหาย เมื่อได้รับฟังก็ตอบคำถามออกมา “ฮูหยินรองและคุณหนูรองมิชอบคุณหนูมาแต่หนใดแล้ว งานใหญ่เพียงนี้มีหรือจะยอมให้คุณหนูเข้าร่วมงาน ? ”

“เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง” เมื่อได้ฟังคำตอบ ซูม่อก็หมุนตัวกลับไปมองอันหลิงเกอ “ท่านเป็นถึงบุตรีฮูหยินใหญ่ แต่กลับใช้ชีวิตในบ้านตัวเองอย่างอึดอัดเช่นนี้ ช่างลำบากยิ่งนัก”

อันหลิงเกอจ้องมองซูม่ออย่างตำหนิ

“ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าอยากให้คุณหนูของเจ้าแต่งงานกับนายท่านของข้าหรือไม่ ? ”

ปี้จูได้ฟังก็ตกตะลึงงันไปอีกครา พร้อมเผยสีหน้าที่ดูลำบากใจมิน้อย และลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ต้องอยากอยู่แล้วเจ้าค่ะ ได้ยินว่าท่านอ๋องมู่นำทหารไปทำศึกยังชายแดน สร้างคุณงามความดีไว้มากมาย

มู่ซื่อจื่อเป็นทายาทเพียงคนเดียวของเขา และเป็นที่โปรดปรานของฮองเต้ หากมีซื่อจื่อคอยรักและปกป้องคุณหนูของข้าแล้ว คุณหนูจะได้มิถูกฮูหยินรองและคุณหนูรองรังแกอีก”

ซูม่อได้ฟังเช่นนั้นก็อดหัวเราะเสียงดังออกมามิได้ และมองไปยังอันหลิงเกออีกครา “คิดมิถึงว่าสาวใช้ของคุณหนูอันจะมองการณ์ไกลถึงเพียงนี้”

ในขณะนั้นเอง ซูม่อจึงได้ยื่นมือไปคลายจุดให้กับนาง

“ ข้าน้อย ซูม่อ ขออภัย ข้าน้อยมิได้ตั้งใจจะล่วงเกินคุณหนูอันเพียงอย่างใด ได้โปรดเตรียมตัวเถิดขอรับ อีกสักครู่จะมีคนมาเชิญพวกท่านไปที่ห้องรับแขกอย่างแน่นอน ! ” เมื่อพูดจบ เขาก็ออกจากเรือนฉีอู๋ไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม

ปี้จูประคองอันหลิงเกอเอาไว้ พร้อมทั้งบ่นพึมพำกับตัวเองออกมา “คนผู้นี้เป็นคนบ้าไปแล้วหรือเยี่ยงไร ? ”

อันหลิงเกอได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยออกมาว่า “ปี้จู ช่วยข้าแต่งตัวหน่อย”

ขณะเดียวกันภายในห้องรับแขกที่กำลังคึกคัก มู่จวินฮานนั่งอยู่ข้างอ๋องมู่ ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาท่าทางสง่าผ่าเผย ดวงตาของอันหลิงอีมิได้ละสายตาไปจากเขาเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นหลี่ซื่อเองที่คอยดึงชายเสื้อของนางจึงได้หยุดมอง

“ได้ยินว่าท่านอ๋องไปประจำการที่ม่อเป่ยเพื่อรักษาชายแดนนานถึง 3 ปี ข้าน้อยจึงได้เชิญพ่อครัวจากม่อเป่ยมาสอนทำอาหารของทางเหนือ ขอท่านอ๋องช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อพูดจบ อันหลิงอีก็ลุกขึ้นรับจานจากสาวรับใช้ แล้วเดินไปทางอ๋องมู่ อ๋องมู่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้น สบกับใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของอันหลิงอีเข้าพอดี ผิวพรรณอันผุดผ่องเข้ากับผ้าไหมเนื้อบาง ยิ่งเสริมให้นางดูอ่อนช้อยและน่ามอง

เมื่อเห็นว่าอ๋องมู่พยักหน้ารับ ในใจของหลี่ซื่อนั้นดีใจเป็นอย่างมาก รีบส่งสายตาให้กับอันหลิงอีทันที นางจึงรีบยกอาหารไปยังเบื้องหน้าของอ๋องมู่

“ท่านอ๋องโปรดลองชิมดูสิเจ้าคะ”

อันหลิงอีกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน ดูเขินอายเล็กน้อยยิ่งส่งให้นางดูน่ารักยิ่งขึ้นไปอีก

อ๋องมู่ชิมไปหนึ่งคำ แล้วเอ่ยขึ้นทันทีว่า “มิเลว ฝีมือเหมือนต้นตำรับยิ่งนัก” เมื่อกล่าวจบก็หันไปทางอันอิงเฉิง แล้วกล่าวชื่นชมว่า “ท่านโหวช่างสอนบุตรีได้ดียิ่งนัก”

อันอิงเฉิงได้ยินก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า “อีเอ๋อยังห่างไกลนัก วันหน้าได้โปรดให้ท่านอ๋องช่วยอบรมสั่งสอนด้วย”

ประโยคนี้แม้มิชัดเจน แต่แฝงความหมายว่าให้อ๋องมู่ยอมรับลูกสะใภ้คนนี้

อ๋องมู่แม้จะเป็นทหาร แต่เขาอยู่ในราชสำนักมานาน ในใจย่อมรู้ดี เขาเงยหน้าขึ้นมองอันหลิงอี ดุจดังมีเปลวไฟอยู่ในแววตา จนทำให้อันหลิงอีเขินจนตัวแดงไปหมด แต่นางถอยมิได้ นางจะต้องเป็นว่าที่ชายาของจวนอ๋องมู่แทนอันหลิงเกอให้จงได้ !

ในขณะนั้นเองซูม่อเดินเข้ามาตรงข้างกายของมู่จวินฮานแล้วกระซิบเบา ๆ เขาพยักหน้าเล็กน้อยจึงได้ยืดตัวขึ้น พร้อมยกจอกเหล้าขึ้นดื่มจนหมด ใบหน้าที่เยือกเย็นนานครั้งจะปรากฏรอยยิ้ม พอดีกับที่อันหลิงอีเห็นเข้า จึงคิดว่าเขายิ้มให้ตนเองจนอดมิได้ที่จะหน้าแดง

หลี่ซื่อเห็นดังนั้นภายในใจก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง กำลังคิดว่าแผนการหลี่ตายแทนถาวที่ตนเองวางเอาไว้นั้นช่างเยี่ยมยอดยิ่งนัก ภายในงานเงียบสงบลงชั่วครู่ มีเพียงเสียงขับร้องจากบนเวทีที่ยังคงส่งเสียงอยู่

แต่มู่จวินฮานกลับเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการถากถางทำลายความเงียบขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าท่านโหวเย่มีบุตรสาว 2 คน เหตุใดวันนี้จึงเห็นเพียงคนเดียวเล่า ? ”

อันอิงเฉิงได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป

หลี่ซื่อจึงรีบกล่าวตอบออกไปว่า  “ด้วยเหตุบังเอิญ วันนี้เกอเอ๋อมิค่อยสบายเจ้าค่ะ”

“มิสบายวันนี้พอดีน่ะหรือ ? ” สีหน้ามู่จวินฮานเข้มขึ้นในทันที “ท่านโหว นี่ท่านดูถูกพวกเราจวนอ๋องมู่หรือเยี่ยงไร ? ทั้งที่งานแต่งระหว่างจวนทั้งสองก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ มิว่าเยี่ยงไรก็ควรจะออกมาพบปะกันสักหน่อยมิใช่หรือ ? ”

อันอิงเฉิงเมื่อถูกเอ่ยถามเช่นนี้ก็มิรู้ว่าควรจะตอบเยี่ยงไรดี มิว่าเยี่ยงไรก็ตามครอบครัวว่าที่สามีมาเยือนก็ควรจะมาให้เห็นหน้าค่าตาเสียหน่อย เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นจึงได้สั่งออกไปด้วยเสียงอันหนักแน่น

“ยังมิรีบไปเรียกคุณหนูใหญ่ออกมาอีก ? ! ”

เมื่ออันหลิงเกอมาถึงยังห้องรับแขก อ๋องมู่กำลังพูดคุยกับอันอิงเฉิงอย่างออกรสออกชาติ ส่วนคนสำคัญอย่างมู่จวินฮานนั้นก็กำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ จนกระทั่งอันหลิงเกอปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เขาจึงได้หันหน้าไปมองนางเพียงเล็กน้อย

อันหลิงเกอคารวะทุกคนเล็กน้อย แต่อันอิงเฉิงนั้นมิรู้ถึงแผนการของหลี่ซื่อและอันหลิงอี จึงได้กล่าวตำหนิต่อหน้าคนของจวนอ๋องมู่

แต่อันหลิงเกอกลับมิได้เดือดเนื้อร้อนใจอันใด พร้อมกล่าวตอบกลับไปอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกมิทราบว่าวันนี้คนของจวนอ๋องมู่จะมาเยี่ยมเยือนที่จวน ลูกเองก็พึ่งจะทราบจากพ่อบ้านที่ไปรายงานเมื่อครู่นี้เช่นกัน”

 อันอิงเฉิงได้ฟังเยี่ยงนั้นก็หันไปมองหลี่ซื่อทันที

ใบหน้าอันซีดขาวของนางแสดงถึงความกังวลขึ้นมาฉับพลัน “นายท่าน…”

อันอิงเฉิงจ้องไปที่หลี่ซื่อด้วยสายตาดุดัน แล้วกล่าวปนเสียงหัวเราะว่า “ในจวนคงวุ่นวายกับการเตรียมต้อนรับท่านอ๋องจนหลงลืมเกอเอ๋อไป ตั้งแต่เล็กร่างกายของนางมิค่อยแข็งแรงและมิชอบความวุ่นวายจึงได้อยู่ไกลหน่อย”

“แต่เยี่ยงไรซะ คุณหนูอันหลิงเกอก็เป็นบุตรีฮูหยินใหญ่ของตระกูล ? ”

ในตอนนั้นเอง คาดมิถึงว่าซูม่อที่อยู่ด้านหลังของมู่จวินฮานจะกล่าวออกมาเยี่ยงนั้น ขณะที่พูดยังมองไปทางอันหลิงอีแล้ว แฝงความโดยนัยว่าอันหลิงอีนั้นเป็นเพียงบุตรีของอนุเพียงเท่านั้น

*หลี่ตายแทนถาว หมายถึงกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ เพื่อแปรเปลี่ยนจากการเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้เป็นฝ่ายได้เปรียบ