บทที่ 35: การเดินทาง

น้ำหอมบางเบาส่งกลิ่นหอมฟุ้งอยู่ภายในรถม้าอันหรูหราที่กำลังแล่นไปตามทาง โดยมีเด็กสาวตัวเล็กผมสีเงินกำลังหลับนั่งมาด้วยกันอยู่เคียงข้างให้ความรู้สึกอันอบอุ่นแก่เขา

สภาพแวดล้อมนี้คือสิ่งที่โรเอลลืมตาขึ้นมาเห็นตลอดในช่วงสามวันที่ผ่านมา มองไปด้านบนก็มีเพียงเพดานเก่า ๆ อันเดิมเท่านั้น

ขณะนี้เป็นเวลาสองเดือนแล้วนับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว โดยพวกเขาทั้งสองกำลังเดินทางไกลด้วยรถม้า

โรเอลผู้ซึ่งแทบไม่เคยได้ออกจากเขตการปกครองแอสคาร์ดมาก่อนเลย กำลังเดินทางไปงานเลี้ยงประจำปีของเหล่าขุนนางที่เริ่มต้นเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว นั่นก็คืองานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิงนอร่า

ในฐานะผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลเซไซต์ นอร่า เซไซต์ จึงได้รับความโปรดปรานเป็นอย่างมากจากปู่ของเธอ ชายผู้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท จอห์น เซไซต์ ด้วยเหตุนี้การเปิดตัวทางสังคมของนอร่าในงานฉลองวันคล้ายวันเกิดปีที่แล้วจึงยิ่งใหญ่มาก

คำว่า ‘เปิดตัว’ นั้นอาจจะฟังดูเหมือนการปรากฏตัวออกสื่อครั้งแรกของไอดอล แต่คำอธิบายที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับมันก็คือ ในโลกนี้การเปิดตัวทางสังคมของชนชั้นสูง หมายถึงครั้งแรกที่เขาหรือเธอปรากฏตัวขึ้นในที่สาธารณะ หรือพูดง่าย ๆ ก็คืองานเลี้ยงครั้งแรกที่พวกเขาไปเข้าร่วม

เด็ก ๆ จากตระกูลชนชั้นสูงล้วนต้องผ่านการเข้าชั้นเรียนเรื่องมารยาท จนกระทั่งพ่อแม่รู้สึกว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะไปปรากฏตัวต่อหน้าแวดวงขุนนาง จากนั้นผู้ปกครองก็จะหาโอกาสอันเหมาะสมสำหรับการจัดงานเลี้ยงและเชิญแขกต่าง ๆ มาแนะนำบุตรหลานให้เป็นที่รู้จัก

โอกาสที่ใช้กันมากที่สุดสำหรับการเปิดตัวทางสังคมก็คือวันคล้ายวันเกิด เนื่องจากมันเป็นการเฉลิมฉลองที่สำคัญ

ทางตระกูลแอสคาร์ดเองก็เคยจัดงานเลี้ยงสำหรับการเปิดตัวทางสังคมของโรเอลไปเมื่อต้นปีก่อน และมันก็เป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน

ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่คนส่วนใหญ่คิด อันที่จริงแล้วเหล่าขุนนางไม่ค่อยได้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองสักเท่าไหร่ หากไม่มีวาระสำคัญลึกซึ้ง เนื่องจากงานเลี้ยงเฉลิมฉลองนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

นอร่า เซไซต์ ได้เปิดตัวทางสังคมไปแล้วเมื่อปีก่อน ดังนั้นมันจึงน่าจะมีวาระที่แตกต่างกันอยู่สำหรับงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเธอในปีนี้ และในปีต่อ ๆ ไปเองก็เช่นกัน

หากอ้างอิงจากคำพูดของตระกูลเซไซต์ นี่คือโอกาสที่พวกเขาจะได้รวบรวมชนชั้นขุนนางตระกูลต่าง ๆ ทุกตระกูลให้มาเจอกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์สำหรับทำงานร่วมกัน นำพาจักรวรรดิเซนต์เมซิทไปสู่อนาคตอันสดใส หรือก็คือเพื่อการสร้างสายสัมพันธ์และมิตรภาพนั่นเอง

อำนาจของตระกูลเซไซต์จะยิ่งใหญ่ทรงอิทธิพลในฐานะราชวงศ์ชนชั้นปกครอง แต่มันก็ยังมีปัญหาอีกมากมายที่พวกเขาต้องการการสนับสนุนจากเหล่าขุนนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตระกูลขุนนางระดับสูงทั้งห้า เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนมีอิทธิพลมากมายด้วยเชื้อสายประวัติศาสตร์อันยาวนานของพวกเขา ดังนั้นแม้แต่ตระกูลราชวงศ์เองก็จะต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับพวกเขาเหล่านั้นเอาไว้ให้ดี

สำหรับขุนนางชั้นรอง… บทบาทของพวกเขาก็คือการมาเพื่อแสดงความเคารพต่อราชวงศ์ และเพื่อมารู้จักหน้าค่าตาของชนชั้นสูงคนอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลมากเป็นอันดับต้น ๆ ของจักรวรรดิ เพื่อหลีกเลี่ยงการไปขัดแข้งขัดขาของพวกเขาในอนาคต

เนื่องจากอาการป่วย โรเอลจึงไม่ได้มาในงานเลี้ยงอันแสนสำคัญนี้เมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นต่อให้เขาจะไม่ได้รับความสามารถพิเศษอย่าง ‘ระบบ’ มา เขาก็คงไม่มีทางที่จะรอดพ้นจากงานเลี้ยงนี้ได้อยู่ดี นอกจากนี้โรเอลเองก็เป็น ‘เพื่อนสนิท’ ของนอร่า เซไซต์ ในทางทฤษฎีด้วยเช่นกัน

เพื่อนสนิทอะไรกันเล่า?!

โรเอลตอบโต้อย่างเยือกเย็นในใจพลางยืดตัวตั้งหลังตรง จ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่างรถม้า ในขณะที่อุณหภูมิภายนอกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าจำนวนผู้คนที่เดินทางออกจากบ้านช่วงนี้น้อยลงแค่ไหน โดยเฉพาะในเขตชานเมือง

ถนนที่พวกเขาสัญจรไปมานั้นมีหิมะปกคลุมอยู่ค่อนข้างสูง แต่โชคดีที่รถม้าของตระกูลแอสคาร์ดเป็นวัตถุเวทมนตร์ชั้นยอด นอกจากความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกระดับสูงสุดแล้ว มันยังสามารถเดินทางด้วยความเร็วเหนือกว่ารถม้าทั่ว ๆ ไป และขับผ่านภูมิประเทศอันขรุขระได้โดยไม่ลำบากอีกด้วย

อย่างไรก็ตามแม้เส้นทางการจราจรจะไม่มีสิ่งกีดขวาง แต่พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าสามวันในการเดินทางจากเขตการปกครองแอสคาร์ดไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

คณะเดินทางได้หยุดพักผ่อนในเมืองก่อนหน้านี้ ดังนั้นความเร็วในการเดินทางของพวกเขาจึงช้าลงมาก เดิมทีตระกูลแอสคาร์ดได้เตรียมรถม้าเอาไว้สองคันสำหรับการเดินทางครั้งนี้ คันแรกสำหรับโรเอลและอีกคันสำหรับอลิเซีย แต่ด้วยความเบื่อหน่าย ในที่สุดอลิเซียก็ปีนขึ้นไปบนรถม้าของโรเอล

“พี่ใหญ่โรเอล หนูเหงา”

“มาเถอะ มานั่งกับฉันที่นี่ก็ได้”

เมื่อเด็กชายเห็นใบหน้ามุ่ยอันแสนจะน่ารักของอลิเซีย โรเอลก็ยอมทำตามคำขอของเธอในทันที ทำให้พวกเขาเดินทางต่อไปด้วยรถม้าเพียงคันเดียว นับจากนั้นเวลาก็ดูเหมือนจะผ่านไปเร็วขึ้น เมื่อมีเพื่อนร่วมทาง

พวกเขาทั้งสองคนใช้เวลาส่วนมากไปกับการพูดคุยกัน ไม่ก็เล่นหมากรุก จากนั้นพวกเขาก็จะนอนพร้อม ๆ กันเมื่อรู้สึกเหนื่อย

ทว่าเวลาสามวันที่ขลุกอยู่แต่ในรถม้าก็ยังยากเกินกว่าที่โรเอลจะแบกรับได้

“นายน้อยคะ พวกเรากำลังจะถึงที่หมายในเร็ว ๆ นี้ ได้โปรดอดทนรออีกสักหน่อยนะคะ” แอนนาพูดปลอบเด็กชายผู้กลอกตามองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกอย่างเบื่อหน่าย

ช่วงสองวันที่ผ่านมา ด้วยการมาถึงของอลิเซีย แอนนาจึงได้มอบแต้มความสนใจจำนวนมากให้แก่โรเอล การได้มองดูชื่นชมคู่รักหนุ่มสาวตัวน้อยคู่นี้อย่างใกล้ชิด ทำให้เธอตื่นเต้น

รอยยิ้มของผู้ใหญ่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาวใช้ถี่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ระดับที่แม้แต่การนั่งรถม้าตลอดสามวันก็ไม่สามารถบั่นทอนกำลังใจของแอนนาได้เลย

“ตอนนี้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนน่าจะเต็มไปด้วยพวกขุนนางใช่ไหม? แล้วพวกเราจะไปพักที่ไหนกันล่ะ?”

“นายน้อยไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ตระกูลแอสคาร์ดของพวกเรามีคฤหาสน์เป็นของตัวเองในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ มันถูกซื้อมาโดยบรรพบุรุษของท่าน โดยมีคนรับใช้คอยดูแลที่นั่นอยู่เสมอ”

“อย่างนี้นี่เอง”

โรเอลรู้สึกโล่งใจหลังจากได้ยินคำพูดของแอนนา ทั้งสองคนคุยกันต่อไปอีกหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่คนขับรถม้าจะแจ้งให้ทราบว่าในที่สุดการเดินทางตลอดสามวันก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว

เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ลอเรน สถานที่ซึ่งเป็นเขตการปกครองและโฉมหน้าของตระกูลเซไซต์นั้นทั้งยิ่งใหญ่และโอ่อ่า กำแพงเมืองตั้งตระหง่านสูงกว่า 10 เมตร สร้างขึ้นโดยการเอาหินสีขาวขนาดใหญ่มากองทับกัน ภายนอกสีขาวอันสง่างามทำให้มันดูเหมือนฐานที่มั่นอันศักดิ์สิทธิ์ของมวลมนุษย์ โดยได้รับการเสริมบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ด้วยกองทหารชุดเกราะเต็มตัวที่คอยลาดตระเวนไปมาในพื้นที่

แต่มันก็เป็นเพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้น

แม้ว่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนจะได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาเพียงใด แต่มันก็ไม่เคยถูกปิดล้อมจริง ๆ มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพีผู้สร้างเซีย มันจึงเป็นสถานที่ซึ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของผู้คนที่เคารพบูชาเทพีเซีย

นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความเชื่อจากลัทธิโบสถ์แห่งเทพีเซียได้แทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณของมวลมนุษย์มากเพียงใด ถึงขนาดที่ไม่เคยมีใครกล้าลุกฮือขึ้นมาบุกรุกโจมตีสถานที่แห่งนี้

ดังนั้นแล้วกองทหารที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับสงครามจะแข็งแกร่งได้แค่ไหนกันเชียว? โรเอลรู้สึกว่าที่นี่มีหลายอย่างคล้ายกับเมืองในประวัติศาสตร์โลกที่ชาติก่อนเขาเคยอาศัยอยู่ ทำให้คำตอบนั้นค่อนข้างจะชัดเจนสำหรับเขา

ขณะที่รถม้าแล่นไปข้างหน้าเรื่อย ๆ กำแพงเมืองอันสูงตระหง่านก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา การตกแต่งอันหรูหราของรถม้าตระกูลแอสคาร์ดดึงดูดความสนใจของผู้คนที่อยู่แถบหน้าประตูเมืองอย่างรวดเร็ว

“ช่างเป็นรถม้าที่สวยงามจริง ๆ! ขุนนางคนนี้มาจากที่ไหนกันนะ?”

“เขาต้องมาจากตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงแน่ ๆ เลย”

ฝูงชนต่างหันหน้าพูดคุยกัน

กลับกันแล้วทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองต่างก็รู้ดีว่าตนเองต้องทำอะไร

“ดูที่ตราประจำตำแหน่งนั่นสิ!”

“ดวงตาแห่งเวลาสายัณห์ พวกเขาคือคนของตระกูลแอสคาร์ด!”

“ตระกูลแอสคาร์ดงั้นเหรอ? เร็วเข้า รีบเปิดประตู!”

ผู้คุมที่กำลังปฏิบัติหน้าที่รีบแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบถึงการมาถึงของตระกูลแอสคาร์ด และผู้บัญชาการก็ออกคำสั่งให้ทำการเปิดประตูเมืองในทันที

ระหว่างนั้นเองฝูงชนที่อยู่หน้าประตูเมืองก็กระจายตัวกันเปิดเส้นทางออกให้แก่พวกเขา ผู้คนต่างยืนเรียงกันสองข้างทางเฝ้าดูรถม้าวิ่งผ่านไป

โรเอลได้เข้าใจถึงอิทธิพลของตระกูลแอสคาร์ดที่มีในจักรวรรดิเซนต์เมซิทด้วยตาตนเอง เพียงแค่มองไปยังเหล่าผู้คนพลเรือนจากหน้าต่างรถม้า เขาก็สังเกตได้ว่าพลเรือนเหล่านี้ให้ความเคารพอย่างสูงต่อตระกูลแอสคาร์ด ยิ่งไปกว่านั้นผู้บัญชาการผู้รักษาประตูเมืองเองก็เช่นกัน หลังจากที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนพอสมควรกับคนขับรถม้าอย่างเป็นมิตรแล้ว ผู้บัญชาการก็ปล่อยให้พวกเขาไปต่อได้อย่างรวดเร็ว

“อืม ดูเหมือนว่าตระกูลของเราจะมีอิทธิพลในหมู่ทหารมากทีเดียวสินะ?”

“ตระกูลแอสคาร์ดมีอิทธิพลอย่างมากในแวดวงทหาร เนื่องจากท่านมาร์ควิสได้เข้าร่วมกองทัพมากว่า 20 ปีแล้วค่ะ”

คำตอบของแอนนาที่ตอบคำถามของโรเอล ทำให้ทั้งเขาและอลิเซียผู้ตื่นขึ้นมาได้รู้ว่าชื่อตระกูลของพวกเขานั้นหนักหนามากแค่ไหน

พวกเขาจะต้องปฏิบัติตัวให้ดีเพื่อที่จะไม่ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลแอสคาร์ดต้องเสื่อมเสีย

โรเอลเหลือบหันไปมองที่อลิเซีย จากนั้นทั้งสองคนก็พยักหน้าพร้อมกัน

รถม้าชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเข้าไปในตัวเมือง ฝูงชนตามถนนเองก็หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งพวกเขามุ่งหน้าเข้าไปในเมืองลึกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีการพูดคุยกันมากขึ้น

แม้ผู้คนที่สัญจรไปมาจะสังเกตเห็นตราประจำตำแหน่งของตระกูลแอสคาร์ดบนรถม้า แต่อย่างน้อย ๆ ก็มีคนคอยช่วยอธิบายให้เพื่อน ๆ ของตนฟังว่าตราประจำตำแหน่งนั้นเป็นตัวแทนของอะไร

ในไม่ช้ารถม้าก็แล่นออกจากพื้นที่ตลาดอันพลุกพล่านด้านหลัง มาถึงย่านที่อยู่อาศัยอันเงียบสงบสำหรับขุนนาง ที่นี่มีทิวทัศน์อันสวยงามมากมาย และหลังจากที่พวกเขาแล่นรถผ่านคฤหาสน์อันงดงามหลายหลังไป ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าคฤหาสน์อันสวยงามและดูเรียบง่าย

มันคือ คฤหาสน์เขาวงกตแห่งตระกูลแอสคาร์ด